บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1213: หายนะในเขตหวงห้าม
………………..
ตอนที่ 1213: หายนะในเขตหวงห้าม
ผ่านไปครึ่งปี
ซูอี้นั่งนิ่งราวรูปสลักหิน ไม่ขยับเคลื่อนอยู่บนเกาะร้างแห่งนั้น
ค่ายกลบนเกาะร้างถูกทำให้เสียหายสลายสิ้นท่ามกลางคลื่นลมจากการไร้ผู้ซ่อมแซมเนิ่นนาน
ช่างน่าอัศจรรย์ที่ยามพายุอสนีบาตร่วงหล่นลงนาน ๆ หนเข้าใกล้ซูอี้ มันก็ถูกสลายไปโดยอำนาจที่มองไม่เห็นบางอย่าง
มันคือพลังกฎเต๋าซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นซัดสาดเข้ามาเป็นระลอกอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะแหลกสลายหายไปอย่างสิ้นแรง
โดยมิได้ทำร้ายซูอี้แม้แต่น้อย
เปรี้ยง!
วันนี้ พายุลูกหนึ่งโหมกระหน่ำมาแต่ไกล ปะปนด้วยอสนีบาตดุดันพลิ้วไหว หมอกปราณฮุ่นตุ้นบนท้องนภารวนเร
ยามนี้เอง ซูอี้ผู้นิ่งเงียบดุจรูปปั้นดินเหนียวก็ลืมตาขึ้น
ในดวงตาลึกล้ำของเขาดูจะมีแสงแห่งการเวียนวัฏกระหวัดเกี่ยวกับเคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำให้เห็น
ยามนั้น ทั่วฟ้าดินดูราวถูกสยบด้วยอำนาจอันมองไม่เห็นสายหนึ่ง ทำให้มันสั่นสะท้านรุนแรง
ไกลออกไป พายุคลั่งพลันพัดผ่านแฉลบออกด้านข้างเกาะร้างไปราวตกใจกลัว
บนผืนน้ำส่วนอื่น กระแสน้ำซัดเข้ามาอย่างดุร้าย พายุโหมซัดรุนแรง
มีเพียงเกาะร้างหย่อมน้อยที่ซูอี้ประจำอยู่เท่านั้นที่สงบเงียบราบรื่น
“ขัดเกลาหัวใจเยี่ยงหยกยามสงบเงียบ คมกริบดุจคมดาบยามขยับ ในการแสวงหาวิถี หากจิตใจเปรอะเปื้อนมลทิน ต่อให้มีพื้นฐานร้ายกาจท้าทายสวรรค์ ความสามารถโดดเด่นแข็งแกร่งเช่นไร ท้ายที่สุดก็หาก้าวหน้าไม่…”
ซูอี้ลุกขึ้นปัดอาภรณ์อย่างเรียบง่าย
ผ่านไปแล้วครึ่งปี
การฝึกฝนของเขาไม่ขยับแม้เพียงคืบ
ทว่าสภาพจิตใจของเขาแปรเปลี่ยนราวกับเป็นคนละคน
การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจนี้ทำให้เขาเข้าใจวิถีของตนเองลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ทำสิ่งใดที่ต้องการ อย่าถลำลึกจนเกินไป ผู้สงบผ่อนคลายคือข้า และเป็นข้าที่บ้าคลั่งไร้กฎเกณฑ์ เป็นข้าผู้สังหารอย่างเฉียบขาด กระโดดออกจากกรงขังแห่งอดีตชาติ ละทิ้งความคิดที่มิใช่ของข้า ไยต้องมัวห่วงว่าข้าคือข้าด้วย…”
ซูอี้แย้มยิ้มเงียบ ๆ
เขายกไหสุราขึ้น จากนั้นก็ก้าวยาว ๆ ไปทางสมุทรฮุ่นตุ้น อาภรณ์งามกระพือพัด ร่างโดดเด่นเป็นสง่า
หมอกปราณฮุ่นตุ้นปกคลุมเต็มทั่วอากาศ สอดรับกับพลังปราณในร่างของซูอี้เป็นจังหวะ
มันนำเขาไปตามทางเยี่ยงราชันเสด็จเยือน ทุกที่ที่เขาผ่าน คลื่นลมจะมิเข้ามาแทรก อสนีบาตมิรบกวน ทุกสิ่งสงบเงียบ
เขาเดินทางไร้จุดหมายเหนือสมุทรฮุ่นตุ้น ทุกสิ่งที่เห็น สัมผัสและคิดถูกสะท้อนในใจ
ทันใดนั้น เสียงคำรามสะเทือนภพพลันเกิดจากระยะไกล คลื่นอำนาจทลายโลกาปะทุออก แสดงให้เห็นภาพอันปั่นป่วนโกลาหล
ซูอี้มองตามไป และพบว่า หมอกปราณฮุ่นตุ้นที่อยู่ห่างออกไปไกลมีความเบาบาง จากนั้นมันก็แปรเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิดแห่งผืนสมุทร ขวางหน้าหุบเหวมโหฬารหนึ่งไว้!
รอบหุบเหวมีเงาร่างชายหญิงสิบกว่าคนกำลังร่วมมือกันใช้ค่ายกลโบราณหนึ่ง
ค่ายกลนั้นร้ายกาจอย่างยิ่ง มันรวบรวมพลังของหมอกปราณฮุ่นตุ้นทั่วสารทิศแปรเปลี่ยนเป็นภาพหลอนเจดีย์สูงพันจั้ง ครอบลงบนนภาเหนือหุบเหวมโหฬาร
และเบื้องใต้หุบเหวนั้นมีแสงสว่างเจิดจรัสพุ่งออกมาสายหนึ่ง พยายามทำลายการสะกดกลั้นของเจดีย์พันจั้ง
เปรี้ยง!
ภาพมายาของเจดีย์สั่นสะท้าน สกัดกั้นแสงหายนะจากเบื้องใต้หุบเหวอย่างดุดัน
ในขณะที่ตัวตนสิบกว่าคนนั้นล้วนโจมตีสุดกำลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อตรวจสอบให้ดีก็พบว่ามีราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดสี่คน และขอบเขตคืนสู่สามัญเก้าคน!
“ดูเหมือนว่าหุบเหวใต้สมุทรจะเป็น ‘เขตหวงห้าม’ ที่ลู่เหยียนว่า”
ซูอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ตัวตนทั้งสิบสามนี้ก็คือผู้รักษาวิถีผู้พิทักษ์เขตหวงห้ามนี้
และแสงสว่างที่พุ่งออกมาจากใต้หุบเหวย่อมต้องเป็นอำนาจอันหลงเหลือจากหายนะครั้งนั้น!
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็เต้นระทึก เคลื่อนกายเข้าไปใกล้หุบเหวไกลออกไป
เมื่อระยะทางถูกร่นลง ซูอี้ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าอำนาจของผู้รักษาวิถีทั้งสิบสามทรงพลังเพียงไร
ช่างห่างไกลเกินเทียบได้กับราชันแห่งภูมิทั่วไป
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหายนะจากใต้หุบเหว ผู้รักษาวิถีทั้งสิบสามต้องเดินค่ายกลเพื่อรับมือมัน ซึ่งยิ่งทำให้อำนาจของหายนะนี้น่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
“หือ! ไฉนยามนี้จึงมีคนมาได้ล่ะ?”
ใครบางคนสังเกตเห็นซูอี้เข้ามาใกล้
เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่ในชุดนักรบ หนวดเครารุงรัง ปราณยิ่งใหญ่น่าทึ่ง เป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
“ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ?! นี่…”
ไม่นานนัก ใครบางคนก็อุทานอย่างแปลกใจ
ผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ ล้วนเงยหน้ามอง และต่างเห็นซูอี้เดินมาจากไกล ๆ
“เขาเป็นผู้รักษาวิถีคนใหม่เหมือนพวกเขาหรือไม่?”
“ไม่มีทาง หากเป็นผู้รักษาวิถี ก่อนที่เขาจะก้าวสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะจะไม่ส่งเขามาที่นี่หรอก”
“สังเกตกันหรือไม่ว่าเขาสามารถเดินบนสมุทรฮุ่นตุ้นได้โดยไม่ต้องใช้สมบัติใด!”
“จริงด้วย!”
…การปรากฏตัวของซูอี้ทำให้ผู้รักษาวิถีเหล่านั้นประหลาดใจ
และการอยู่ผิดที่ผิดทางของซูอี้ก็ยิ่งทำให้เหล่าราชันแห่งภูมิประหลาดใจขึ้นอีก
ตลอดกาลนานมา พวกเขาพิทักษ์ที่แห่งนี้ จะไม่รู้ได้เช่นไรว่าหากไร้การชี้นำของผู้บัญชาการสักการะ ต่อให้เป็นราชันแห่งภูมิเช่นพวกเขาก็พร้อมแหลกสลายได้ทุกเมื่อ?
ทว่ายามนี้ หนึ่งจักรพรรดิในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำดูจะทำเพียงเดินลอยชาย ปลอดภัยสบายดีเหนือสมุทรฮุ่นตุ้น ใครเล่าจะมิตกใจ?
“สหายเต๋าคือใครจากหนใด ไยจึงมาที่นี่ครานี้เล่า?”
ชายในชุดนักรบกล่าวเสียงลุ่มลึก
แม้ยามที่สนทนา เขากับผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ ก็หาได้หยุดการเคลื่อนไหวของพวกตนไม่ พวกเขาเดินค่ายกลอย่างสุดกำลังเพื่อหยุดแสงหายนะมิให้พุ่งหนีออกจากหุบเหวได้
“เป็นผู้ขัดเกลาที่หลงเข้ามาน่ะ”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉื่อยชา “พวกเจ้ามุ่งเน้นที่การเดินค่ายกลเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก”
หลังจากกล่าวคำ เขาก็เข้ามาใกล้แล้ว
ผู้ขัดเกลา?
นับตั้งแต่บรรพกาลเป็นต้นมา ผู้ขัดเกลาในขอบเขตจักรพรรดิคนใดบ้างที่สามารถข้ามสมุทรฮุ่นตุ้นรอดมาถึงเขตหวงห้ามนี้ได้?
ผู้รักษาวิถีทั้งหลายต่างระแวงมากขึ้นทุกขณะ
ทว่า เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้หยุดยืนอยู่ไม่ไกล และไม่ได้ก้าวเข้ามาอีก ผู้รักษาวิถีเหล่านี้ก็โล่งอก
เปรี้ยง!
เบื้องใต้หุบเหว แสงสว่างที่พุ่งออกมาทวีขนาดใหญ่โตขึ้นราวกับสายรุ้งสีขาว
เจดีย์พันจั้งที่ปกคลุมเหนือหุบเหวสะท้านสั่นจากแรงปะทะราวกับจะยื้อไม่อยู่อีกต่อไป
“บ้าเอ๊ย หอกศึกใต้หุบเหวร้ายแรงขึ้นทุกทีแล้ว!”
สตรีในอาภรณ์หลากสีหน้าซีดกัดฟันกล่าว
“ผิดปกติจริง ๆ หากไม่ไหวต้องรีบรายงานใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะนะ ให้ท่านลงมือด้วยตนเอง!”
ผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าจริงจัง
พวกเขาหาสนใจซูอี้ไม่ ต่างคนต่างเค้นพลังทั้งหมดเพื่อเรียกใช้ให้เจดีย์พันจั้งจากค่ายกลครอบทับหายนะมิให้พุ่งออกมาได้
ซูอี้ยืนมองจากระยะไกล พลางไพล่มือเอาไว้ด้านหลัง
แม้ว่าลำแสงหายนะจากใต้หุบเหวจะยังไม่อาจหนีออกมา แต่เมื่อมองจากระยะไกลก็ทำให้ซูอี้รู้สึกถึงอำนาจกดดันที่ลอยมาปะทะหน้าจนหัวใจกระตุกวูบแล้ว
“มิน่าเล่า หายนะดึกดำบรรพ์จึงทำให้กฎภูมิดาราฟ้าดินเสียหายหนักได้ และสามารถสังหารตัวตนในตำนานทั้งหลายให้ตายตกตามกัน ดูเหมือนอำนาจเช่นนี้จะร้ายกาจเกินเทียบจริงแท้…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อคิดไป หายนะลึกลับนั้นก็เกิดขึ้นมานานแล้ว
ทว่าวันนี้ เพียงอำนาจจากหอกศึกก็ยังต้องใช้ราชันแห่งภูมิสิบกว่าคนมาคอยยับยั้ง
นี่จะไม่น่าแปลกใจได้เช่นไร?
ทว่า เพราะเหตุนี้เองที่ซูอี้ใคร่รู้เกี่ยวกับหอกศึกนั้นมากขึ้น
จากวาจาของลู่เหยียน ตัวตนร้ายกาจนามฉินชงซูในสมัยบรรพกาลได้ใช้หอกศึกนั้นเรียกหายนะลึกลับมา!
และอาวุธสังหารซึ่งมิใช่ของยุคสมัยนี้ย่อมต้องมีที่มาเหนือธรรมดา
“บ้าเอ๊ย หกเดือนมานี้ หอกศึกนี้เปลี่ยนกลยุทธ์จะหนีเสียให้ได้ และยามนี้มันก็บ้าไปแล้ว”
หนึ่งเสียงสบถอย่างรำคาญใจดังขึ้น
สีหน้าของผู้รักษาวิถีทั้งหลายต่างบูดบึ้ง พวกเขาแสดงความเหนื่อยล้าออกมาอย่างชัดเจน เพราะยามนี้พวกตนสิ้นพลังจะขวางหายนะนี้ไว้ในหุบเหว
ทว่าไร้ผู้ใดชักมือกลับ ต่างคนต่างออกแรงสุดฝีมือ
ทว่าสีหน้าของพวกเขาต่างเผยความกระวนกระวายกันแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการขวางแสงใต้หุบเหวเป็นเวลานานทำให้เหล่าราชันแห่งภูมิเหล่านี้รู้สึกกดดันอย่างมิเคยเป็น
ยามนี้ หัวใจของซูอี้กระตุกอย่างแปลกใจ “พวกเจ้าบอกว่าหอกศึกใต้หุบเหวนี้เพิ่งเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อหกเดือนก่อนหรือ?”
“สหายเอ๋ย เรากำลังขวางหายนะ จะมีกะจิตกะใจมาคุยกับเจ้าหรือ? ข้าแนะนำให้เจ้าออกจากที่นี่ไปเสียก่อนเถิด!”
ชายชุดเหลืองผู้หนึ่งกล่าวอย่างร้อนใจ
ซูอี้แย้มยิ้มไม่เห็นด้วย “หากเจ้าตอบคำถามข้า ข้าจะไม่ถือที่จะช่วยเจ้า”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว เหล่าราชันแห่งภูมิล้วนตะลึงนิ่ง แทบสงสัยว่าตนหูฝาด
“เจ้าหรือ?”
สตรีในอาภรณ์หลากสีอดหัวเราะมิได้ “ใจปรารถนาดี แต่วาจานี้จะถูกมองว่าสามหาวไปนะ เอาล่ะ เราจะรับความปรารถนาดีไว้ ฟังคำแนะนำข้านะ หรือจะรีบไปเสียก็ได้”
กล่าวจบ นางก็มิสนใจซูอี้อีก เช่นเดียวกับผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ
การต่อกรกับแสงใต้หุบเหวทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าเหลือทน มีหรือจะมีอารมณ์มาสนใจผู้ขัดเกลาประหลาดที่เพิ่งมาถึงด้วย
ส่วนวาจาของซูอี้ พวกเขาล้วนถือว่าเป็นคำล้อเล่นของผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
ซูอี้แตะจมูกตน
นี่คือข้อเสียของการมีการฝึกฝนอ่อนด้อย ยามพบกับตัวตนซึ่งฝึกฝนมาสูงกว่าจะถูกมองข้ามอย่างเลี่ยงมิได้
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นชายชุดเหลืองหรือสตรีในชุดหลากสีก็ตามที แม้คำพูดจะสั้นห้วนมิถือมารยาท ทว่าก็ไร้ความมาดร้ายใด ๆ
ซูอี้จึงย่อมมิถือสาเรื่องเช่นนี้
“แย่แล้ว!!”
ทันใดนั้น ชายในชุดนักรบในขอบเขตไร้ขีดจำกัดก็อุทานขึ้น
ปรากฏว่าแสงหายนะทะลวงการกั้นขวางของเจดีย์พันจั้งหลุดออกมาได้!
ผู้รักษาวิถีคนอื่น ๆ ล้วนร้องลั่นในใจอย่างตะลึงอึ้ง
แสงหายนะนั้นยาวสิบกว่าจั้ง เป็นดั่งสายรุ้งสีขาวแผ่อำนาจร้ายกาจมหาศาล
เมื่อมันพุ่งออกมา มันก็ทำลายค่ายกลพุ่งเข้าหาสตรีในชุดหลากสีโดยพลัน
“หลบเร็ว!”
ชายในชุดนักรบร้องลั่น หัวใจดีดขึ้นจุกคอ
ทว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป สตรีในชุดหลากสีไร้โอกาสได้หลบ นางจึงทำได้เพียงพึ่งสัญชาตญาณ และปามีดเข้าปะทะอย่างแรง
ทว่ายามนั้นเอง…
เปรี้ยง!
มีดบินสีเงินตรงหน้าหญิงสาวชุดหลากสีพลันมลายหาย
และแสงหายนะนั้นก็พุ่งตรงเข้าใส่นาง!
ผู้อื่นไร้ช่วงให้เข้ามาช่วยเหลือ
ในยามชี้วัดเป็นตายนี้เอง ทันใดนั้นเศษเถาวัลย์อันคลุกไปด้วยฝุ่นก็พลันปรากฏตรงหน้าสตรีในชุดหลากสี
มันเป็นดั่งคมดาบที่ฟาดฟันผ่านห้วงมิติเข้าใส่แสงหายนะนั่น!
………………………….