บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1215: กลืนกิน!
ตอนที่ 1215: กลืนกิน!
เพียงพริบตา หอกศึกสำริดซึ่งเปี่ยมด้วยปราณเซียนก็ทะยานผ่านค่ายกล ทะลวงออกมาจากหุบเหว
คมหอกสีหิมะพราวแสงส่องสว่างทั่วด้าวแดน
แสงหายนะเข้มข้นแผ่กระจาย ผลักร่างของผู้รักษาวิถีในบริเวณใกล้เคียงกระเด็นไปทันที
มิอาจหยุดยั้ง!
เมื่ออยู่ต่อหน้าอาวุธสังหารผิดยุคสมัยนี้ เหล่าราชันแห่งภูมิไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง
“อย่าฆ่าเขานะ ปราบเขาก็พอ!”
ทันใดนั้น เสียงตื่นเต้นก็ดังออกมาจากร่างของซูอี้อีกครั้ง “ข้าถูกนังนั่นขังมานานนับปี บัดนี้ไม่อยากคว้าน้ำเหลวอีกแล้ว!”
ตู้ม!
หอกศึกดูจะเข้าใจวาจา จากนั้นมันจึงส่งวจีสะเทือนทั่วนภา และฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้ทันที!
ซูอี้ฟาดฟันดาบของเขาออกไปโดยไม่ลังเล
อำนาจต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นม้วนวน ระเบิดออกมาพร้อมกับปราณดาบ
ทว่า ด้วยพลังของหอกศึกนี้ ปราณดาบกลับสลายไปง่าย ๆ เยี่ยงฟองสบู่
ร่างของซูอี้ถอยกรูดอย่างรวดเร็ว
ทว่าอำนาจจากหอกศึกนี้กดทับลงมาราวสวรรค์ถล่มแดนดินทลาย ทำให้ร่างของซูอี้ราวติดในหล่มโคลน
ตู้ม!
พิรุณแสงโปรยปรายเยี่ยงน้ำตก วจีครวญเยี่ยงกระแสน้ำ หอกศึกทะลวงผ่านฟากฟ้าเข้าโจมตีอีกครั้ง
“มันจบแล้ว!”
ลู่เหยียนซึ่งเพิ่งมาถึงได้เห็นเหตุการณ์เข้า หัวใจของเขาก็ร่วงลงถึงตาตุ่ม มือเท้าเย็นเฉียบ
เขาเคยได้ประจักษ์กับความน่ากลัวแห่งหายนะลึกลับ แม้จะเป็นราชันแห่งภูมิที่แข็งแกร่งในขอบเขตไร้ขีดจำกัดก็ยังปลิดปลิวมลายหายสิ้นในพริบตา
และยามนี้ หอกศึกนี้หมายหัวซูอี้อยู่!
ไยเลยจะมีโอกาสรอด?
หอกศึกทะลวงผ่านนภา ส่งลำแสงหายนะพรั่งพรูเช่นน้ำตก หวังปราบซูอี้ให้อยู่หมัด
ยามนี้ ซูอี้หยุดการเคลื่อนไหว สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน
“รีบไปรีบมานะ”
ซูอี้กระซิบในใจ
เงาลวงแห่งดาบเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของซูอี้
เปรี้ยง!!!
ท้องนภาระเบิดแหวก
หอกศึกซึ่งพุ่งเข้ามากำราบดูราวถูกโจมตีร้ายแรง มันกระเด็นพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมสั่นสะท้าน ส่งเสียงหวีดหวิวกลางอากาศ
ผู้รักษาวิถีเองก็ตะลึงไปเช่นกัน หอกศึกน่าหวาดหวั่นนั่นถูกขวางได้หรือ?
“นี่มันเรื่องอันใดกัน!?”
ในกล่องโลหะซึ่งอยู่กับซูอี้ เสียงที่ดังออกมาจากกระดูกมือเรียวบางขาวโพลนไม่ได้ตื่นเต้นอีกต่อไป แต่กลับตะลึงอึ้งค้าง
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ทุกสิ่งมืดครึ้มอับรัศมี
สมุทรฮุ่นตุ้นอันเดิมปั่นป่วนดูจะถูกปราบปรามเสียจนนิ่งค้างอย่างน่าประหลาด
ไร้คลื่นลมใด ๆ ให้เห็นอีก
สภาพแวดล้อมพังทลาย ความปั่นป่วนกวาดทำลายค้างกับที่
ทั่วฟ้าดินดูจะแปรเปลี่ยน นิ่งค้างเป็นภาพวาดประหลาด
และในภาพวาดนี้ หนึ่งเงาลวงของดาบเล่มหนึ่งลอยข้างกลางนภา
ดูวุ่นวายมิอาจพรรณนา
ตัวดาบถูกรัดพันด้วยตรวนมายาเก้าเส้น
ปราณของมันลึกลับเกินเข้าใจ ไม่ได้น่ากลัวมากนัก กระทั่งดูเรียบง่าย
ทว่าเมื่อทุกผู้พบเห็นเงาลวงของดาบนี้ หัวใจของพวกเขาพลันสั่นระรัว วิญญาณถูกสะกดข่มเสียจนหายใจได้ยาก
ตู้ม!
หอกศึกทะยานออกมา เป็นฝ่ายทำลายความเงียบทั่วฟ้าดิน
แสงสว่างโอบล้อมมัน พรั่งพรูดุจน้ำตก และอำนาจของมันก็ร้ายกาจขึ้นกว่าเก่ามากนัก
ทว่าเรื่องน่าตกใจคือหอกศึกนี้กลับทำลวงมิติหนีหายลับไปไกล
ไม่คิดต่อสู้ เผ่นหนีป่าราบ!!
ทุกคนแทบตะลึงทึ่มทื่อ
ไยหอกศึกอันร้ายกาจเช่นนี้จึงกลัวเพียงนี้ได้?
หอกศึกหนีไปหาพ้นไม่
อำนาจอันมองไม่เห็นจองจำทั่วทศทิศไว้หมดแล้ว
หอกศึกซึ่งฉีกมิติคิดหลบหนีเป็นดั่งมัจฉาที่กระโดดเข้าไปในน้ำแข็ง มันถูกแช่นิ่งค้างคาที่
แสงสว่างบนหอกศึกถูกบดขยี้ สลายไปชั้นแล้วชั้นเล่า
ปราณเซียนบนหอกศึกถูกบีบกลับเข้าไปในหอกศึกทีละน้อย
และนับแต่ต้นจนจบ หอกศึกยาวสองชุ่นนี้แน่นิ่งไม่ไหวติง มีเพียงเสียงคร่ำครวญดุจเสียงร่ำไห้อย่างหวาดกลัวเท่านั้นที่ดังออกมา
เมื่อมองจากระยะไกล เงาลวงของดาบวิถีลอยกับที่อย่างเงียบงัน หาได้เคลื่อนไหวใด ๆ ไม่
แต่ทุกคนกลับรู้สึกอย่างน่าขันว่าดาบเล่มนั้นดูราวนายเหนือสูงสุดจ้องมองเหยื่อของตนดิ้นรนอย่างไร้ประโยชน์ด้วยสายตาเย็นชา…
และจากนั้น…
เงาลวงของดาบก็ขยับ
คมดาบขยับเล็กน้อย
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หอกศึกยาวสองชุ่นระเบิดแหลกออกทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มแสงเซียนพร่างพรู
เหมือนดั่งมีคนถือมีดส้อมตัดละเลียดชิ้นเนื้ออันเย้ายวนใจบนโต๊ะอาหาร
และที่ด้ามเงาดาบนั้นพลันปรากฏประกายแสงหมุนวน ออกแรงสูบอย่างรุนแรง
แสงเซียนแปรเปลี่ยนจากหอกศึกเป็นดั่งวัวซึ่งปั้นจากโคลนถูกโยนลงทะเล ถูกกลืนกินไปอย่างหมดจด
ไร้สิ่งใดหลงเหลือ!
ทุกสิ่งนี้ทำให้ทุกคนเห็นเหตุการณ์ตะลึงเสียจนกรามแทบร่วง ทึ่มทื่อมิเหลือดี
หอกศึกนั่นเคยถูกใช้เพื่อเรียกหายนะเมื่อเนิ่นนานกาลก่อน ทำลายกฎเกณฑ์ในภูมิดาราฟ้าดิน ลบประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์แห่งช่วงกาลแสนไกล
กระทั่งทุกวันนี้ อำนาจของหอกศึกนี่ยังคงเป็นภัยถึงชีวิตต่อตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิได้โดยง่าย!
เหมือนเช่นในกาลก่อน ผู้รักษาวิถีนับร้อยเคยปกปักษ์เขตหวงห้ามนี้ ทว่าปัจจุบันกลับเหลือเพียงสิบสาม
ผู้อื่นล้วนตกตายด้วยหอกนี้!
และยามนี้ที่หอกศึกหวนสู่โลกา ทุกคนก็ล้วนสิ้นหวังเยี่ยงท้องนภาร่วงถล่ม
ใครเล่าจะคิดว่าหอกศึกอันโหดร้ายทรงพลังจะถูกปราบลง!
ดั่งเหยื่อไร้ทางสู้ซึ่งถูกปราบ สับเป็นชิ้น ๆ และกลืนหายไปอย่างง่ายดาย!!
ใครเล่าจะมิแปลกใจ?
ใครเล่าจะ… คาดคิด?
แม้ซูอี้จะคาดไว้แล้ว แต่เมื่อเขาเห็นหอกศึกถูกกลืนกินราวมื้ออาหาร เขาก็ยังประหลาดใจและ… เสียดายมาก ๆ อยู่ดี
เพราะถึงอย่างไร หอกศึกนั่นก็เป็นสมบัติอันล้ำค่ายิ่ง อาวุธสังหารดุร้ายอันมิใช่ของยุคสมัยนี้!
การถูกกลืนกินไปเช่นนี้จึงย่อมน่าเสียดาย
ขวับ!
เพียงพริบตา เงาหลอนของดาบวิถีก็ดูราวกินดื่มอิ่มหนำ มันแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งหายไปในหว่างคิ้วของซูอี้
ทั่วฟ้าดินสงัดเงียบ รอบข้างไร้วจี
ทุกคนตะลึงแน่นิ่งกับที่
ความตื่นตะลึงเกินใดบรรยายแผ่ปกคลุมเยี่ยงวัชพืชในหัวใจคนทุกผู้
พายุอันถูกมองเป็นหายนะถูกปราบสงบลงอย่างง่ายดาย!
ทุกคนล้วนรู้สึกเกินจริง ราวกับเป็นความฝัน
“หลังจากที่พวกเรารั้งหายนะอยู่ที่นี่เนิ่นนาน ยังไร้ความหวังปราบหอกศึกนั่นลงได้ แต่ยามนี้… มันกลับพังทลายลงเพียงแค่นั้น…”
ชายในชุดนักรบตะลึงอึ้ง ท่าทางยังมึนงง
“หากสหายเต๋าผู้นั้นปรากฏขึ้นยามเกิดหายนะลึกลับ จะเป็นไปได้ไหมว่า… เขาจะสามารถเขียนประวัติศาสตร์ภูมิดาราฟ้าดินขึ้นใหม่ได้? กฎแห่งภูมิดาราฟ้าดินจะถูกทำลายหรือไม่? ตัวตนในตำนานทั้งหลายจะได้สร้างตำนานต่อหรือเปล่า?”
“ในอดีต เราผู้รักษาวิถีมีเพียงหนึ่งภารกิจ นั่นคืออยู่ที่นี่ ป้องกันมิให้หอกนี้หลุดออกไปได้ ทว่ายามนี้ หอกถูกทำลายลงกะทันหัน ไยมันจึงทำให้รู้สึก… มึนงงเช่นนี้กันนะ?”
บางคนดูยากเข้าใจ
…เรื่องทั้งหมดนี้ดูแปลกประหลาดเกินไป
ผู้รักษาวิถีย่อมมิอาจใจเย็นลงได้ในชั่วขณะ
“หากท่านมหาเทพหงอยู่ที่นี่ ไม่รู้ท่านจะรู้สึกเช่นไร…”
ลู่เหยียนเองก็ตะลึงอึ้ง มิอาจสงบใจลงได้เช่นกัน
“ไม่! ไม่มีทาง! ‘หอกศึกพิสูจน์สวรรค์’ ของข้าสังหารเทพมารได้ เหตุใดจึงถูกกลืนกินไปเยี่ยงนี้?”
และเสียงกรีดร้องอันแสนปวดร้าวหัวใจก็ดังจากในกล่องโลหะซึ่งอยู่กับซูอี้
ยามนี้ ซูอี้มีหรือจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ถูกผนึกในกระดูกมือของสตรีลึกลับลั่วเหยาคือเสี้ยววิญญาณของฉิงชงซู?
เมื่อเห็นเสี้ยววิญญาณนี้กำลังโกรธเกรี้ยว ซูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
เป็นเพียงเสี้ยววิญญาณตกค้างที่ถูกผนึกอยู่แท้ ๆ แต่กลับฝันเฟื่องอยากใช้หอกศึกนั่นมาปราบเขาแล้วชิงเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ฝันกลางวันแท้ ๆ!
ซูอี้กล่าวขึ้น “เจ้าแก่ หลังข้าขึ้นเป็นราชันแห่งภูมิ ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”
เสียงของเสี้ยววิญญาณฉินชงซูในกระดูกมือสีขาวโพลนพลันเงียบเสียง มิออกวาจาใด ๆ อีก
ดูเหมือนเขาจะคาดไว้เช่นกันว่าหายนะจะบังเกิด!
ซูอี้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันหลังจากไปโดยมิรีรออีก
การเดินทางข้ามสมุทรฮุ่นตุ้นของเขาในครานี้ เดิมทีทำเพื่อชำระล้างจิตใจให้โปร่งโล่ง และเลือกโอกาสข้ามหายนะในวันนี้
มิคาดคิดเลยว่าจะได้พานพบอุปสรรคเช่นนี้ระหว่างทาง
ยามนี้เมื่อความวุ่นวายสงบลง เขาจึงไม่ได้อยากอยู่ต่อ
ความเสียดายเดียวคือหอกศึกนั่นถูกดาบเก้าคุมขังกินเข้าไปเสียแล้ว…
อันที่จริง นับแต่ยามที่หอกศึกพุ่งออกมาจากในหุบเหว ซูอี้ก็สังเกตเห็นว่าดาบเก้าคุมขังซึ่งแน่นิ่งในห้วงความนึกคิดของเขาพลันตื่นขึ้นมาเอง และระริกระรี้ตื่นเต้น!
หิวกระหายราวกับฉลามได้กลิ่นเลือด!
และยามนั้นเอง ซูอี้จึงจำบางเรื่องจากความทรงจำของทัศนาจารย์ได้
เนิ่นนานมาแล้ว ทัศนาจารย์ออกตระเวนไปทั่วสถานที่ต้องห้ามลึกลับแห่งหนึ่งในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว และต้นพบสระน้ำซึ่งปกคลุมด้วยปราณชั่วร้ายโกลาหลเข้าโดยบังเอิญ
ในสระน้ำนั้นมีบงกชสีดำเบ่งบานอยู่หนึ่งดอก
และใจกลางบงกชนั้นมีดาบสีดำอันอาบด้วยปราณชั่วร้ายก่อตัวขึ้น
มันยาวเพียงหนึ่งชุ่น
ยามนั้น ทัศนาจารย์ยังประหลาดใจ และกำลังจะเด็ดบงกชสีดำดอกนั้น
มิคาดว่าบงกชสีดำจะแปรเปลี่ยนกะทันหัน
เกสรของมันแปรเปลี่ยนเป็นตัวดาบ รากบัวแปรเปลี่ยนเป็นด้ามจับ ใบกลายเป็นลวดลายวิถีในตัวดาบ และกลีบดอกถูกรวบเข้าไปในคมดาบกลางเกสร
เพียงพริบตา บงกชสีดำก็แปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีเล่มหนึ่ง ชั่วร้ายทรงพลัง ลวดลายวิถีผุดพราย เปี่ยมคลื่นพลังหายนะวูบไหว
ทว่า แทบจะในยามเดียวกัน ดาบเก้าคุมขังเองก็เปลี่ยนไป มันชิงปรากฏตัวออกมาจากท้องนภา สยบดาบบงกชดำเล่มนี้และกลืนกินมันเข้าไปในพริบตา!
และนั่นคือครั้งแรกที่ทัศนาจารย์ได้เห็นดาบเก้าคุมขังก็กระตือรือร้น
จากนั้นทัศนาจารย์ก็คาดเดาได้เรื่องหนึ่ง
เป็นไปได้มากว่าดาบเก้าคุมขังเองก็ต้องเติมพลังของตนโดยการดึงพลังจากที่อื่น!
ยิ่งกว่านั้น สมบัติที่ทำให้ดาบเก้าคุมขังเป็นฝ่ายชิงลงมือ เห็นได้ชัดว่าหาใช่สมบัติธรรมดาทั่วไปไม่!
และหลังเหตุการณ์นี้เอง ทัศนาจารย์จึงออกค้นหาสุดยอดสมบัติเลิศล้ำในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเพื่อทดสอบ
ทว่าพวกมันทั้งหลายล้วนมิได้ดึงความสนใจของดาบเก้าคุมขังได้แม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่า… สมบัติล้ำค่าเลิศล้ำเหล่านี้จะไม่มีค่าพอจะเป็นอาหารของดาบเก้าคุมขังสินะ…
และเพราะเขาจำอดีตส่วนนี้ขึ้นมาได้ สีหน้าของซูอี้จึงปรากฏความขัดแย้งกันเองในยามเผชิญหน้าหอกศึกเมื่อครู่
การถูกมองเป็นอาหารโดยดาบเก้าคุมขังนี้พิสูจน์ได้โดยไร้กังขาว่าหอกศึกอันไม่ใช่ของยุคสมัยนี้ และมันเป็นยอดสมบัติอันน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งโดยแท้
หาได้ยากยิ่งในโลกหล้า
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกย้อนแย้งก็อยู่ที่นี่
เพราะเขารู้ว่าหอกศึกนี้ สุดท้ายก็ถูกดาบเก้าคุมขังกลืนกินเข้าไป…