บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1218: หนึ่งวันแห่งประวัติศาสตร์
ตอนที่ 1218: หนึ่งวันแห่งประวัติศาสตร์
ณ หอตำราเทียนเสวียน
ม้วนตำราในมือหนอนตะกละเฒ่าร่วงลงกระทบพื้นดังแกร๊ก
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองแสงศักดิ์สิทธิ์เหนือสรวงด้วยสีหน้าคลั่งไคล้
“งดงามยิ่งกว่าเรื่องในหนังสือมากนัก…”
หนอนตะกละเฒ่าพึมพำ
เขาก็สัมผัสได้เช่นกันว่าพลังกฎเกณฑ์ที่รายล้อมมหาแดนดินได้แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบ ๆ!
ขณะเดียวกัน ตัวตนบรรพกาลอื่น ๆ ในขอบเขตมหาจักรพรรดิทั่วโลกหล้าต่างหยุดการเคลื่อนไหว และแม้ว่าจะอยู่ในสถานที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาล้วนเบนสายตาไปมองท้องนภาเป็นตาเดียว
สำหรับเหล่าผู้อาวุโสซึ่งรากฐานการฝึกฝนหลุดอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำแสนนาน การแปรเปลี่ยนอย่างกะทันหันของมหาแดนดิน ณ วันนี้เป็นดุจภาพฝันปาฏิหาริย์!
พวกเขาล้วนสังหรณ์ว่าจากนี้ไป มหาแดนดินจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่!
ณ ถ้ำเสวียนจวิน
“แสงวิถีนี้ช่างงดงาม เจิดจรัสเสียยิ่งกว่ารุ่งตะวันแรกเสียอีก”
จิ่นขุยรำพัน
“นิมิตเช่นนี้มิเคยพบเห็นมาก่อน หรือจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกันหนอ?”
จิ่งหังกระซิบ
“ข้ากล้าเดาเลยว่าเหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้าก็ตื่นตัวมิต่างจากเราหรอก และเหล่าผู้อาวุโสในขอบเขตมหาจักรพรรดิ เกรงว่าคงพอเดาเบาะแสใด ๆ ได้บ้างแล้ว”
หวังเชวี่ยกล่าวออกมาจริง ๆ
“นี่เป็นข่าวดี ข้าสัมผัสได้ว่ากฎสวรรค์ดูจะฟื้นฟู คืนชีวิตชีวากลับมาแล้ว…”
สีหน้าของเย่ลั่วเปี่ยมความตื่นตะลึง
“หากท่านอาจารย์อยู่ที่นี่ เขาต้องแถลงไขแก่ความสงสัยของเราได้แน่แท้”
ไป๋อี้พึมพำ
จิ่นขุนพลันถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าว่านิมิตอันพิเศษเลิศล้ำนี้เกิดขึ้นเพราะท่านอาจารย์หรือไม่?”
ทุกคนพลันชะงัก ก่อนจะส่ายหน้าเสสรวลเฮฮา
เมื่อไร้หลักฐาน ก็ถูกมองได้เพียงเรื่องตลกล้อเล่น
เพียงแค่ว่า ยามสนทนาเรื่องนี้ในภายหลัง จิ่งหัง หวังเชวี่ยและคนอื่น ๆ ต่างเปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย เพราะยามนั้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดจริง ๆ ว่าเรื่องตลกล้อเล่นจะกลายเป็นเรื่องจริง!
เหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้าล้วนปั่นป่วนยุ่งเหยิง ขุมกำลังผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนล้วนตื่นตัว
ยามนี้ ปีที่ 503 แห่งศักราชใหม่มหาแดนดิน วันที่หกเดือนหก
กลางคิมหันต์ฤดู
ท้องนภาปลอดโปร่งเจิดจรัส
ณ วันนี้
ผู้ฝึกตนมากมายทั่วโลกหล้าหารู้ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความเช่นไร
ในสายตาของเหล่าคนรุ่นหลัง วันนี้ถูกเรียกขานเป็นวันฟื้นต้นกำเนิดแห่งภูมิดาราฟ้าดิน
ปีนี้ถูกเรียกว่าเป็นปีแรกแห่งการหวนตำนาน!
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ถูกจารึกในธารประวัติศาสตร์อันยาวไกลของมหาแดนดิน ส่งผลกระทบอย่างลึกล้ำต่อรูปแบบของโลกหล้า
และวันนี้เช่นกันที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินถูกชนรุ่นหลังยกย่องเป็น ‘แรกตำนานตราบนิรันดร์’ ได้ก้าวสู่วิถีสู่สวรรค์!
…
เหนือสมุทรฮุ่นตุ้น ใต้ท้องนภากว้าง
ซูอี้นั่งขัดสมาธิบนอากาศ ร่างพราวพร่างแสงสว่าง
ผ่านไปสามวันแล้ว
ในตันเถียนของเขา ถ้ำโกลาหลมหาวิถีถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์ อำนาจฝึกฝนมหาศาลเป็นดั่งกระแสคลื่นพลังดารา ถูกกลืนเข้าไปหมุนวนอยู่ในถ้ำโกลาหลมหาวิถี
ยิ่งกว่านั้น ต่างจากราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยลึกล้ำทั่วไป ถ้ำโกลาหลมหาวิถีของซูอี้ดูจะเปิดเป็นดินแดนบรรพกาลแห่งหนึ่ง มีแสงวิถีเกินคาดหยั่งวาบวับจรัสส่อง!
นี่คือดินแดนบรรพกาลที่ปรากฏขึ้นโดยมหาวิถีเวิ้งลึกล้ำ
กล่าวโดยรวมแล้ว มีเพียงราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตคืนสู่สามัญเท่านั้นที่จะสร้างโลกเร้นลับมหาวิถีเช่นนี้ขึ้นได้
ทว่าซูอี้กลับเบิกโลกเร้นลับได้นับแต่แรกก้าวสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
นอกจากนั้น ในดินแดนบรรพกาลของซูอี้ยังมีพลังชีวิตอันพิเศษเฉพาะ รูปร่างเหมือนรากไม้ศักดิ์สิทธิ์หยั่งอยู่ภายใน เชื่อมนภาจรดแดน แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
นี่คือรากแห่งฟ้าดิน!
เทพกสิกรรมไร้มรณา สื่อถึงมารดาเร้นลับ
ประตูสู่มารดาเร้นลับก็คือรากแห่งฟ้าดิน!
และซูอี้ก็สร้างมันได้แทบจะในทันทีหลังจากข้ามขอบเขตมา!
ต้องกล่าวว่าลูกท้อเซียนนี้เป็นประโยชน์อเนกอนันต์ และเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่ท่านมหาเทพหงได้มาจากที่มาแห่งภูมิดาราฟ้าดินนับแต่แรกเริ่มดึกดำบรรพ์
ของสิ่งนี้ไม่เพียงช่วยขัดเกลาจิตใจ เสริมแกร่งจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมรากฐานมหาวิถีให้เหมาะสมกับ ‘รากแห่งฟ้าดิน’ ได้อีกด้วย!
มันไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าซูอี้ผู้เพิ่งย่างเท้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิได้เบิกดินแดนบรรพกาลและสร้างรากแห่งฟ้าดินขึ้นมา รากฐานมหาวิถีของเขาเหนือล้ำกว่าตัวตนใด ๆ ในขอบเขต ซึ่งเพียงพอจะทำให้ราชันแห่งภูมิทั้งหลายในขอบเขตสูงกว่าได้
เพราะถึงอย่างไร สำหรับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดบางคน ชั่วชีวิตยังยากจะสร้างรากแห่งฟ้าดินได้
ทว่าซูอี้ผู้เพิ่งก้าวสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงกลับเบิกดินแดนบรรพกาลพร้อมสร้างรากแห่งฟ้าดินได้ มิต้องสงสัยเลยว่าแปลกประหลาดยิ่งนัก
กาลเวลาผันผ่าน มิทันไรก็หายลับไปอีกเจ็ดวัน
วันนี้เอง
แสงวิถีอันเชี่ยวกรากทะยานสู่ร่างของซูอี้ดุจกระแสน้ำ พลังปราณที่เดือดพล่านไปทั่วร่างของเขาลดหายทีละน้อย
ท้ายที่สุด บรรยากาศรอบตัวของเขาก็เรียบง่ายไร้จุดเด่น ผู้คนรายล้อมมิอาจสัมผัสร่องรอยการฝึกฝนได้!
จากนั้นซูอี้ก็ลืมตาขึ้น
“ผู้สูงส่งลดตน ผู้คนเองก็เช่นกัน ยามสมบูรณ์พร้อมต้องหวนสู่สามัญ เหมือนเช่นการล้างความรุ่งเรือง คืนสู่พื้นฐาน”
เสียงทอดถอนใจของซูอี้ดังขึ้นไกลออกไป
หัวใจของผู้อื่นล้วนสะเทือนมิต่างกัน
สิบวันมานี้ พวกเขาได้มองกระบวนการผันผ่านจากไกล ๆ มิได้หลบลี้ไปไหน และได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นกับซูอี้
จวบจนยามนี้ ในที่สุด เมื่อพวกเขาได้เห็นซูอี้ตื่นจากภวังค์สมาธิ ทุกคนก็อดรู้สึกเหมือนฝันไปมิได้
“ใต้เท้า ยินดีด้วยที่เข้าสู่วิถีสู่สวรรค์ เป็นราชันแห่งภูมิได้สำเร็จ ร่วมอสงไขยกับฟ้าดิน เจิดจรัสเคียงสุริยันจันทราขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นออกมาแสดงความยินดีเป็นคนแรก สีหน้าของเขาเปี่ยมความตื่นเต้น
คนอื่น ๆ พลันตื่นจากภวังค์ และออกมาแสดงความยินดีคนแล้วคนเล่า
ซูอี้กวาดสายตามองคนทุกคน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เดิมทีข้าก็คาดการณ์เกี่ยวกับการข้ามขอบเขตนี้ไว้อยู่แล้ว จึงมิควรค่าแสดงความยินดีเช่นนี้หรอก”
ทว่า แม้จะกล่าวไปเช่นนั้น แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
ราชันแห่งภูมิ!
วิถีซึ่งเขาไม่อาจใฝ่หาตลอดกาลในอดีตชาติของเขา วิถีสู่สวรรค์ซึ่งเจือความเสียใจของทัศนาจารย์
ยามนี้ ในที่สุดเขาก็มาถึงจนได้!
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝน จิตวิญญาณหรือร่างวิถี พวกมันล้วนบรรลุถึงจุดสูงสุดยิ่งกว่าหนใด
กระทั่งด้วยประสบการณ์ของทัศนาจารย์ยังไร้เยี่ยงอย่างเปรียบเปรย!
ในที่สุดซูอี้ก็กล้าแน่ใจว่าขอเพียงดำเนินต่อไปเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็จะสามารถก้าวข้ามความสำเร็จแห่งมหาวิถีของทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมได้!
“สหายเต๋า ไปดื่มกันที่ถ้ำพำนักของข้าดีหรือไม่?”
ลู่เหยียนเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะตอบตกลง
คณะของพวกเขาออกจากสมุทรฮุ่นตุ้นไปทันที
…
วิหารอันตั้งเหนือเมฆสายฟ้าสีม่วง
มีงานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้น
ซูอี้ ลู่เหยียน จักรพรรดิมารสวรรค์และคนอื่น ๆ ต่างเข้าร่วมดื่มฉลองพบปะ บรรยากาศชื่นมื่นพอดู
ผู้บัญชาการสักการะที่สามอย่างข่งเซิ่นผู้มีอุปนิสัยเย็นชายังผ่อนสีหน้าลง
เขาได้รับรู้ว่าหอกศึกนาม ‘พิสูจน์สวรรค์’ ได้ถูกซูอี้ทำลายลงแล้ว และย่อมรู้ว่ารูปแบบเดิมในอดีตได้พังทลายลง ยุคสมัยใหม่ได้เริ่มเยื้องกราย!
เมิ่งฉางอวิ๋นประจบประแจงไม่หยุด เขารินสุราให้ซูอี้ดุจมือเท้า ไม่หยุดแม้ตนจะเริ่มยุ่ง
หากไม่ทราบ เกรงว่าคงไม่เชื่อว่านี่คือราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงจากเบื้องลึกจักรวาลพร่างดาว
ทว่าทุกคนชาชินเสียแล้ว
ในงานเลี้ยง ซูอี้ได้ถามพวกลู่เหยียนว่าวางแผนกระทำการใดในภายหน้า
ลู่เหยียนสุขุมยิ่ง จากนั้นเขาจึงบอกกับซูอี้ว่ายามนี้ พวกเขาและเหล่าผู้อาวุโสจะอยู่ในแดนหวงห้ามสิ้นเซียนเพื่อพิทักษ์สมุทรฮุ่นตุ้นก่อน
จนยามที่กฎสวรรค์ภูมิดาราฟ้าดินฟื้นคืน พวกเขาก็จะได้ออกมาเตร็ดเตร่ทัศนาโลกภายนอกบ้าง
ซูอี้พลันตระหนัก
กุญแจการฟื้นคืนกฎสวรรค์ภูมิดาราฟ้าดินก็คือสมุทรฮุ่นตุ้น!
เหตุที่พวกลู่เหยียนต้องการพิทักษ์ที่แห่งนี้เป็นเพราะพวกเขาคงกังวลเช่นกันว่าจะเกิดเหตุมิคาดฝันขึ้น
“ยามนี้เมื่อสหายเต๋าเหยียบย่างสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ เจ้าจะอยู่ฝึกฝนที่นี่ก็ได้นะ เพราะถึงอย่างไร ทุกวันนี้ในภูมิดาราฟ้าดิน ก็มีเพียงสมุทรฮุ่นตุ้นที่สามารถตอบสนองความต้องการฝึกฝนของสหายเต๋าได้”
ลู่เหยียนกล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้ส่ายหน้า “วิถีฝึกฝนไม่มีทางเป็นเรื่องอยู่นิ่งกับที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าตั้งใจว่าจะออกจากภูมิดาราฟ้าดิน และเข้าสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว”
“เมื่อถึงกาลนั้น ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
จักรพรรดิมารสวรรค์กล่าวอย่างตั้งตารออย่างยิ่ง
ซูอี้แย้มยิ้ม แต่มิได้ตอบนาง
การไปยังส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวของเขาหาใช่การเที่ยวทัศนาจรไม่
ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว หรือชำระล้างความขุ่นข้องอันยาวนาน เขาย่อมต้องประสบเหตุพลิกผันเกินคาดคะเน
ต่อให้เขาไม่รู้สึกหวั่นกลัว เขาก็มิอยากให้ผลกรรมเหล่านี้ไปส่งผลกระทบถึงผู้อื่น
เช่นหอเก้าสวรรค์ที่ใช้ชิงหว่านมา ‘ส่ง’ ผลกรรมถึงเขา
เช่นการรับมือช่างเสื้อเฒ่า ล้างผลาญโรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือกและยักษ์ใหญ่อื่น ๆ ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว แต่ละเรื่องล้วนหาธรรมดาไม่
นอกจากนั้น เขายังต้องไปพบชิงถังและช่วยนางฆ่าล้างศัตรูที่แท้จริงอีกด้วย
เขายังต้องไปตามหาบ่าวเฒ่าขาพิการผู้มีนามว่า ‘เฒ่าเว่ย’ ซึ่งติดตามรับใช้ทัศนาจารย์อีก
“เจ้านี่ไม่เคยให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้าเร็ว ๆ เสียที!”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถลึงตามองซูอี้อย่างดุดัน
ซูอี้กล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้เจ้าเข้าสู่จักรวาลพร่างดาว แต่เจ้ามากับข้าไม่ได้ต่างหาก”
“เพราะเหตุใด?”
จักรพรรดิมารสวรรค์ถาม
โดยมิรีรอให้ซูอี้ออกปาก เมิ่งฉางอวิ๋นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สหายเต๋ามารสวรรค์ การกลับสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวของใต้เท้าในหนนี้จะก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอันเกินคาดคะเนเป็นแน่!”
“เหตุที่ใต้เท้าปฏิเสธที่จะพาเจ้าไปด้วยก็เพราะมิอาจส่งเจ้ามาพัวพันกับพายุนี้ด้วยนั่นแหละ”
หลังจากนิ่งไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แน่นอนว่าด้วยฝีมือของใต้เท้าย่อมคลี่คลายปัญหาเหล่านี้ได้ แต่ใต้เท้าตัดสินใจเช่นนี้ก็เพื่อสหายเต๋าด้วย เจ้า… อย่าได้เข้าใจความเมตตาของใต้เท้าผิดไปเลยนะ”
เขาดูขมขื่น
จักรพรรดิมารสวรรค์ชะงักไป ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนหวาน “อย่างนี้นี่เอง งั้น… ข้าจะเดินทางสู่จักรวาลพร่างดาวเพื่อหาเจ้าในภายหน้าเพียงลำพังแล้วกัน”
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดเหลือบมองเมิ่งฉางอวิ๋นอีกครั้งมิได้ แต่ก็มองไม่ออกเลยว่าเจ้าแก่นี่จะฉลาดเอาการทีเดียว
ไกลออกไป ตัวตนกลุ่มหนึ่งรีบร้อนพุ่งมาหา
พวกเขามีกันทั้งหมดหกคน
ผู้นำสวมอาภรณ์สีทอง ใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจชายหนุ่ม เขาคือเพชฌฆาตจินชื่อ!
และคนอื่น ๆ อีกห้าก็ล้วนแต่เป็นเพชฌฆาตเหมือนจินชื่อ
“ผู้น้อยจินชื่อและสหายร่วมวิถีทั้งหลายมาขอรับโทษแล้วขอรับ!”
ทันทีที่จินชื่อและเพชฌฆาตทั้งหลายมาถึง พวกเขาก็ก้มหัวคำนับลู่เหยียนและข่งเซิ่นโดยพร้อมเพรียง
ทันใดนั้น บรรยากาศชื่นมื่นของงานเลี้ยงพลันมลายหาย แปรเปลี่ยนเป็นความหดหู่มืดหม่น
ซูอี้เล่นกับจอกสุราในมือพลางเหลือบมองพวกจินชื่อ
มารับโทษ?
พวกเขารู้ตัวว่ากระทำผิดจึงมาก้มหัวชดใช้ด้วยสมัครใจหรือ?
เปล่า พวกเขามาเพราะอำนาจของข่งเซิ่นกับลู่เหยียนต่างหาก
ไม่ได้มาโดยสมัครใจ!