บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1219: หนึ่งดาบ
ตอนที่ 1,219: หนึ่งดาบ
ในงานเลี้ยง
ข่งเซิ่นพลันลุกขึ้นคำนับซูอี้ และอ้าปากจะพูดบางอย่าง
ทว่าซูอี้โบกมือและกล่าวขัด “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะพูดอันใด เพชฌฆาตเหล่านี้คุ้มกันเขตต้องห้ามเซียนอับโชคมานาน มีทั้งผลงานและตรากตรำทำงานงานหนัก ข้าเข้าใจอยู่”
ข่งเซิ่นกล่าวอย่างละอาย “เรื่องนี้… ตาเฒ่าน่าละอายผู้นี้ผิดที่ไม่เข้าไปแทรกแซงไกล่เกลี่ยเสียแต่แรก หากสหายเต๋ารู้สึกขุ่นเคืองในใจ ตาเฒ่าน่าละอายผู้นี้ก็ยินดีชดใช้ความผิด รับบทลงโทษของสหายเต๋า!”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกคนล้วนหัวใจเต้นกระตุก
เหล่าเพชฌฆาตล้วนแปลกใจเช่นกัน ดูราวกับได้เห็นเรื่องไม่น่าเชื่อ
ทันใดนั้น เพชฌฆาตผู้หนึ่งก็กล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก “ใต้เท้าผู้บัญชาการสักการะ กรรมใดผู้กระทำย่อมสมควรรับ ข้ากระทำความผิดใหญ่หลวง มีหรือจะปล่อยให้ท่านถูกลงทัณฑ์แทนข้า โปรดอย่าลำบากเลย!”
“ถูกต้อง ข้าจะขอรับโทษ!”
เพชฌฆาตผู้อื่นกล่าวเสริม
ทว่าข่งเซิ่นกลับเมินพวกเขา ยังค้างอยู่ท่าโค้งตัวก้มหัวให้ซูอี้
สายตาของพวกลู่เหยียนล้วนมองไปทางซูอี้
ซูอี้ดื่มสุรารวดเดียวหมดจอก มองมาที่พวกจินชื่อและกล่าวอย่างเฉยเมย “กล้าพูดหรือไม่ว่าพวกเจ้ามาชดใช้ความผิดต่อข้า คนแซ่ซูโดยบริสุทธิ์ใจ?”
เพชฌฆาตทั้งหลายมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าวว่า “ข้าเห็นได้ว่าพวกเจ้าหาใส่ใจข้าซูอี้ไม่ และเหตุที่พวกเจ้ามาก้มหัวสำนึกผิดก็มิใช่ใดอื่นนอกจากความกลัวว่าข้าจะฉวยโอกาสใช้อำนาจของข่งเซิ่นและลู่เหยียนมาเอาคืนพวกเจ้า”
เพชฌฆาตหญิงผู้หนึ่งรำพัน “เป็นจริงตามท่านว่า ข้าขอน้อมรับผิด… ไร้ข้อโต้แย้งใด ๆ”
ทุกคนได้ยินล้วนเข้าใจชัดแจ้งว่าในใจนางหาใส่ใจเขาไม่!
เหตุผลที่พวกเขาระงับโทสะไว้ก็เป็นดังซูอี้ว่า เพราะอำนาจของลู่เหยียนและข่งเซิ่น
“ชิงจื่อ ทัศนคติของเจ้าผิดนะ!”
ลู่เหยียนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าหากไม่มีข้ากับนกยูงเฒ่าอยู่ที่นี่ สหายเต๋าซูจะทำอันใดกับพวกเจ้ามิได้?”
“ผิดถนัด!”
ลู่เหยียนส่ายหน้า ก่อนจะชี้ที่เหล่าเพชฌฆาต “ข้าบอกเจ้าก็ย่อมได้ ว่าหากข้ากับนกยูงเฒ่าไม่อยู่ วันนี้พวกเจ้าตายแน่!”
ร่างของเหล่าเพชฌฆาตชะงักค้าง สีหน้าแปรผัน
ยามนี้ ซูอี้ยืนขึ้น ก่อนกล่าวกับจินชื่อว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าหนึ่งหน หากเจ้าหยุดหนึ่งดาบของข้าได้ พวกเจ้าทั้งหมดก็รอดตาย”
“หากหยุดมิได้ เจ้าตาย พวกเขารอด กล้าหรือไม่”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังล้วนเงียบสนิท
ใครเล่าจะมองไม่เห็นว่าซูอี้มิคิดไว้ชีวิตจินชื่อ?
เหล่าเพชฌฆาตต่างชะงักงัน
ทันใดนั้น ทุกคนก็ดูรู้สึกเหมือนเกียรติถูกหมิ่นหยาม ความรู้สึกเหมือนฟังเรื่องเพ้อเจ้อพุ่งขึ้นในใจ
หนึ่งกระบวนตัดสินให้ถ่องแท้?
คนผู้นี้คิดว่าราชาแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญเหล่านี้เป็นอันใดกัน?
จินชื่อเองก็หัวเราะอย่างโกรธเคือง “จริงหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า กล่าวอย่างเฉยเมย “กล่าวแล้วไม่ตระบัด แล้วอีกอย่าง ข้าต้องเตือนเจ้าไว้ก่อนว่าข้าเลื่อนสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแล้ว ดังนั้นยามลงมือ ข้าแนะนำว่าทุ่มสุดตัวที่เจ้ามีจะดีที่สุด”
ม่านตาของจินชื่อพลันหดตัว
ใบหน้าของเพชฌฆาตทั้งหลายต่างเปลี่ยนสีอย่างมหันต์
พวกเขาพลันจำได้ว่าเมื่อสิบวันก่อน เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขึ้นจากสมุทรฮุ่นตุ้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้ทั่วทั้งเขตต้องห้ามเซียนอับโชค
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันน่าจะเกิดจากการที่ซูอี้บรรลุสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
“มิน่าเล่า เจ้าจึงมั่นใจนัก”
จินชื่อพึมพำ ดวงตาของเขาทอประกายความบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น เขาก็คำนับข่งเซิ่น “ใต้เท้า ท่านก็เห็นแล้วว่าข้ามาเพื่อขอไถ่โทษ ทว่าสหายเต๋าซูผู้นี้มิเห็นชอบ กล่าวขอเช่นนี้ออกมา โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยลงมือหยุดความขุ่นเคืองนี้ด้วย!”
คิ้วของข่มเซิ่นย่นเข้าหากัน แสนเกลียดที่เหล็กมิอาจแปรเป็นเหล็กกล้า “เจ้าได้ตายแน่!”
เมื่อถูกปฏิเสธซึ่งหน้า สีหน้าของจินชื่อก็บิดเบี้ยวเล็กน้อย กัดฟันกล่าว “ขอให้ใต้เท้ายินยอมด้วย!”
ข่งเซิ่นดูผิดหวังโดยสมบูรณ์ ก่อนจะโบกมือไล่ “ตามใจเจ้า!”
จินชื่อเงยหน้าขึ้น จับจ้องซูอี้ด้วยแววตาคมปลาบดุจอัสนี สีหน้าเย็นชา “ขอสหายเต๋าซูผู้นี้สั่งสอนด้วย!”
เขาไม่เชื่อว่าจะหยุดหนึ่งการโจมตียังทำมิได้!
“ลงมือได้เลย”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ตู้ม!
จินชื่อใช้มีดทัณฑ์ล้างมาร วิถีเต๋าในขอบเขตคืนสู่สามัญพลันผุดขึ้นจากร่างของเขาดุจคลื่นคลั่งถล่มแดนดิน
นอกจากนั้น สมบัติลับคุ้มกายสารพัดอย่างยังปรากฏขึ้นรอบกายเขา รวมถึงเคล็ดวิชาป้องกันตนก็ถูกใช้อย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ลู่เหยียนและเหล่าผู้รักษาวิถีต่างก็ลอบพยักหน้า
จินชื่อไม่ได้โกรธจนลืมตน และเตรียมการมาเพียงพอ
ทว่า ลึกๆ ในใจลู่เหยียนมิอาจแน่ใจ เพราะพวกเขาหารู้ไม่ว่าซูอี้หลังเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแข็งแกร่งเพียงไร
“เจ้านี่ระวังตัวดี”
จักรพรรดิมารสวรรค์อดพึมพำไม่ได้
“ไม่ว่าจะระวังตัวเพียงไร เกรงว่าคงมิอาจหยุดการโจมตีนี้ของใต้เท้าได้หรอก”
เมิ่งฉางอวิ๋นตอบอย่างจริงจัง
ข่งเซิ่นหยุดวาจา
ซูอี้หันไปกล่าวกับเขา “ข้าจะมิใช้อำนาจภายนอกใด ๆ แต่เขาจะตายแน่นอน”
ดวงตาของข่งเซิ่นหรี่ลงเงียบ ๆ
เห็นได้ชัดว่าจินชื่อถูกกระตุ้นโทสะด้วยวาจานี้ กล่าวเสสรวลอย่างเดือดดาล “หากเป็นเช่นนั้น งั้นข้าก็ตายโดยไร้ความเสียดาย!”
ตู้ม!
เสียงยังมิทันสร่าง แขนเสื้อของเขาก็โบกสะพัด มีดทัณฑ์ล้างมารในมือฟันแหวกเวหา
คมมีดเจิดจรัสส่งปราณมีดสีแดงสดออกมา ดุร้ายกดดัน เพียงไม่กี่การโจมตีก็แสดงให้เห็นถึงความลึกล้ำของราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตคืนสู่สามัญได้
เพชฌฆาตอีกห้าคนที่เหลือล้วนมั่นใจ เมื่อเห็นว่าการโจมตีนี้ของจินชื่อหาออมแรงไม่ และยังเป็นไม้ตายสังหารสูงสุดของเขาด้วย
หนึ่งราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตคืนสู่สามัญลงมือเพียงนี้ จะหยุดหนึ่งการโจมตีจากราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงมิได้เชียวหรือ?
ยามนี้เอง ซูอี้ก็ลงมือ
เขายกแขนขวาขึ้น ไร้อาวุธใด ๆ
กล่าวให้กระชับคือ ไร้ซึ่งร่องรอยอำนาจใด ๆ ขณะที่ปาดเบา ๆ แล้วส่งปราณดาบเล็กจ้อยพุ่งทะยาน
ดาบนี้ไร้ความพิเศษมิต่างกัน
ทว่าเพียงพริบตา มันก็ทลายปราณมีดของจินชื่อลงราวหักไม้ไผ่!
ร้ายกาจยิ่ง!
เมื่ออยู่ต่อหน้าปราณดาบนี้ ปราณมีดสูงสุดของจินชื่อซึ่งอัดรวมพลังชั่วชีวิตเขามิต่างกับกระดาษยุ่ย ๆ!
จินชื่อเองทั้งตกตะลึงและขนลุกซู่
เขาไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ใช้สมบัติลับคุ้มกายอย่างสุดกำลังพร้อมเคลื่อนหนีโดยไว
แล้วภาพที่ทำให้เขาต้องตะลึงจังงังก็บังเกิด
ภายใต้แรงกดดันของปราณดาบนั้น อากาศรอบข้างดูราวถูกจองจำ ทำให้เขาเป็นเหมือนมัจฉาในน้ำแข็ง มิอาจหลบได้พ้น
และเมื่อปราณดาบมาถึงตัว…
เปรี้ยง!!!
สมบัติคุ้มกายสิบกว่าชิ้น เคล็ดวิชาป้องกันร่างมากมายบนร่างจินชื่อพลันระเบิดแหลกแทบจะพร้อมเพรียงกัน
และเขาก็ถูกหนึ่งดาบฟาดฟันท่ามกลางหยาดพิรุณแสงโปรยปราย!
ฉัวะ!
ที่คอของเขาปรากฏรูชุ่มโลหิตขึ้น
ดวงตาของเขาเบิกโพลง มองตรงไปยังซูอี้ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าสายเกินไป
ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหมอกธุลีไปเงียบ ๆ
มิอาจกระทำสิ่งใดได้!
เหล่าผู้ชมต่างเงียบสงัด
หนึ่งดาบสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญในพริบตา!
ภาพนองเลือดโหดร้ายนี้ทำให้ลู่เหยียน ข่งเซิ่นและตัวตนอื่น ๆ ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดหัวใจสั่นตะลึงงัน
“ตายอย่างไร้เสียดาย?”
ลู่เหยียนรำพึงเบา ๆ “เสียดายสายไปต่างหาก”
สีหน้าของจักรพรรดิมารสวรรค์แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน ดูซับซ้อนเล็กน้อย เดิมนางยังคิดว่าจะใช้วิถีเต๋าในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงของนาง กอปรกับพื้นฐานะแข็งแกร่งอันสะกดกลั้นมาแสนนานของนางเข้าลองเชิงซูอี้ได้บ้าง
ทว่ายามนี้มันดูเหมือน…
ดับสิ้น!
“ทีแรก คนผู้นี้สมคบคิดกับผู้พิทักษ์ลำดับหนึ่ง คิดชิงเคล็ดเวียนวัฏสงสารของใต้เท้าข้า เจตนาชั่วร้ายโหดเหี้ยม และเพียงเท่านี้ก็สมควรตายแล้ว!”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก ฟังดูราวกับกำลังบอกทุกคนที่นี่
คนอื่น ๆ เงียบกริบ
ข่งเซิ่นเหลือบมองห้าเพชฌฆาต ก่อนกล่าวเสียงแหบ “พวกเจ้า… ควรดีใจหรือไม่?”
เพชฌฆาตทั้งห้าคนตัวสั่น
อึดใจต่อมา พวกเขาก็ก้มหัวยอมรับความผิดต่อซูอี้!
“พอแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือ
เขานั่งกลับลงบนที่นั่ง และเมิ่งฉางอวิ๋นก็รีบร้อนรินสุราโดยเร็วที่สุด
เห็นดังนี้ ห้าเพชฌฆาตก็ยังมิกล้าจากไปทันที
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นได้ว่าห้าเพชฌฆาตล้วนตระหนกกลัว!
ภาพที่ซูอี้สังหารจินชื่อก่อนหน้านี้มิต่างกับเชือดไก่ให้ลิงดู
มันยังทำให้เพชฌฆาตทั้งห้าคนตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าสิ่งที่ลู่เหยียนกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ผิดเพี้ยน หากมิใช่เพราะมีลู่เหยียนและข่งเซิ่นอยู่ วันนี้… เพชฌฆาตทั้งหลายคงตายกันหมดแน่แท้!
“ไป กลับไปสำนึกผิดเสีย หากมิได้รับอนุญาตจากข้า ห้ามออกจากที่ของเจ้า”
ข่งเซิ่นถอนใจ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
เพชฌฆาตทั้งหลายล้วนเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญ และยังเป็นตัวตนสูงสุดในโลกหล้าแต่ยุคบรรพกาล
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับตกต่ำถึงจุดนี้ ใครเล่าจะมิถอนใจ
“กาลเวลา… แปรเปลี่ยนแล้วจริง ๆ…”
ข่งเซิ่นกล่าวกับตนเองในใจ
วิถีดาบของซูอี้ทลายระบบระเบียบเดิมแห่งอดีต เปิดม่านแห่งยุคสมัยใหม่ ห่างไกลเกินเทียบได้กับราชาแห่งภูมิทั่วไป!
ตรงหน้าเขา ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ มรดก ตัวตนใดล้วนเหมือนเมฆาล่องลอย
ไม่ว่าจะพึ่งของใหม่ขายของเก่า เสแสร้งมากอุบายเพียงไรล้วนมิอาจตามติด!
เหล่าเพชฌฆาตจึงจากไปเงียบ ๆ
งานเลี้ยงดำเนินต่อ
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นลู่เหยียน ข่งเซิ่นหรือผู้รักษาวิถีทั้งสิบสาม เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ นอกจากความเคารพให้เกียรติ ยังมีร่องรอยความหวาดเกรงเจือมาด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากซูอี้สังหารจินชื่อลง อารมณ์ของทุกคนก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยเงียบ ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นตระหนักเรื่องนี้อย่างเฉียบคม และอดกล่าวในใจไม่ได้ว่า หากพวกเจ้ารู้ว่าใต้เท้าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมทรงพลังเพียงใดล่ะก็ เกรงว่าจะนั่งคงยังมิติดที่แท้เชียว!
ในห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ใครบ้างจะไม่รู้ว่ามีตัวตนเพียงหยิบมือที่สามารถสังสรรค์กินดื่มเสมอภาคกับทัศนาจารย์ได้?
ในงานเลี้ยง ซูอี้ถามเกี่ยวกับผู้ขัดเกลาจากส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
ไม่นานนัก เขาก็ได้รู้ว่านอกจากเสวี่ยฉางจิ้ง เจ้าหอดาราแห่งลัทธิทางช้างเผือกที่เขาสังหารไป ณ ด่านที่สามบนเส้นทางบททดสอบแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดของโรงวาดฤทัย จ้าวเรือนจำที่สองแห่งหอเก้าสวรรค์และผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิต่างล้วนตกตาย
เมื่อพวกเขาทั้งสามออกจากแดนลี้ลับดึกดำบรรพ์ พวกเขาก็ผ่านพื้นที่ต้องห้ามบางจุดและมิอาจรอดชีวิต
และนี่ยังหมายความว่ากลุ่มยอดฝีมือจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวในเขตต้องห้ามเซียนอับโชคเมื่อเกือบปีก่อนก็แทบหายเกลี้ยงไม่เหลือผู้ใด
ยกเว้นเพียงเมิ่งฉางอวิ๋น
หลังจากงานเลี้ยงจบ ซูอี้หาที่ปลอดคน นำกล่องโลหะซึ่งบรรจุกระดูกมือของสตรีลึกลับนามลั่วเหยาออกมา
แสงเซียนพร่างพราวเยี่ยงภาพฝัน กระดูกมือเรียวขาวโพลนดุจหิมะวางนิ่งเงียบอยู่บนกล่องโลหะ
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นมัน แต่ซูอี้ก็ยังอดตะลึงทึ่ง หัวใจบังเกิดคลื่นมิได้
วิถีเซียนที่ว่านั่น…
มีอยู่จริงหรือไม่?