บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 122 ธาตุแท้
ตระกูลหยวน โถงผิวต้นหญ้า
หยวนอู่ทงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ พลางอ่านตำราโบราณ ‘บันทึกศิลาและทองคำโบราณ’
เขาสวมใส่ชุดคลุมยาวสีขาว ร่างผอมบางปรากฏความเป็นผู้คงแก่เรียน ราวเป็นหนึ่งในบัณฑิตอาวุโสผู้เลิศล้ำแห่งโลกหล้า
ทั้งตระกูลหยวนล้วนทราบดีว่า ผู้นำตระกูลรักชอบการอ่าน ไม่ว่ายามใดมีเวลาว่าง เขาจะมีตำราพกติดตัวอยู่เสมอ
จำนวนเงินทอง ที่เขาใช้จ่ายเพื่อรวบรวมหนังสือและตำราตลอดหลายปีนั้นแทบไม่อาจนับได้
บ้านของผู้อื่นอาจเป็นห้องหนังสือ แต่ขณะที่ของหยวนอู่ทงเป็นประหนึ่งหอสมุดส่วนตัว!
เสียงฝีเท้าก้าวเดินมาแต่ไกล หยวนอู่ทงไม่เงยศีรษะขึ้นมอง เพียงเอ่ยคำราบเรียบ “เสี่ยวซีหรือ”
“ท่านพ่อทราบได้อย่างไร?”
หยวนลั่วซียืนนิ่ง
หยวนอู่ทงวางตำราในมือลง พร้อมเผยยิ้มจนใจ “ในบ้านของเรา มีเด็กน้อยเพียงผู้เดียวกล้าเข้ามาขัดเวลาพ่ออ่านหนังสือ”
หยวนลั่วซีฮึมฮัมตอบรับ ทั้งยังเขินอาย
“บอกเล่ามาว่าเกิดเรื่องราวใดขึ้น”
หยวนอู่ทงลุกขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ขยับเก้าอี้ให้กับบุตรสาวอันเป็นที่รัก หยิบกาน้ำชาขึ้น ก่อนจะรินใส่ถ้วยให้ตนเองและบุตรสาว
“ท่านพ่อ โปรดรอคอยจนข้าพูดกล่าวครบถ้วน ก่อนที่เราจะนั่งลงเถิด”
หยวนลั่วซีเม้มริมผีปาก ท่วงท่ากังวลเผยออก
หยวนอู่ทงกล่าวคำอย่างครุ่นคิด “รับชมท่าทีของลูก หรือจะเป็นว่าพบเจอเรื่องราวยากลำบากใดเข้า?”
“ใช่!”
หยวนลั่วซีสูดลมหายใจเข้าลึก “ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องจะสารภาพกับท่าน”
หยวนอู่ทงยิ้มตอบพร้อมโบกมือเบา “อย่าเพิ่ง แล้วให้พ่อเดาเป็นไร?”
หยวนลั่วซีบุ้ยปากราวโกรธเคือง “ในเวลาเช่นนี้ ท่านพ่อยังหยอกล้อข้าเล่น”
หยวนอู่ทงหัวเราะเสียงเบา “ไม่ว่าเป็นเรื่องราวด่วนเพียงใด ฟากฟ้าย่อมยังไม่ร่วงหล่น หากพ่อเดาถูกต้อง ที่ลูกคิดกล่าวในค่ำคืนนี้คงเป็นเรื่องของเจ้าหนุ่มนามซูอี้ ใช่กระมัง?”
แววตาอันสงบประหนึ่งห้วงสมุทร กว้างใหญ่และลึกล้ำ ยามเผชิญหน้ากับสายตานี้ หยวนลั่วซีจึงเกิดความรู้สึกว่าความลับทั้งหมดในใจถูกมองออก
นางอดไม่ได้จนชะงักพร้อมกล่าวถาม “ท่านทราบได้อย่างไรกัน?”
“เด็กน้อย บิดาของลูกคือผู้นำตระกูลหยวน หากคิดอยากทราบเรื่องของลูก ไม่คิดว่าใช่เรื่องง่ายดายหรือ?”
หยวนอู่ทงนั่งลงพิงกับพนักเก้าอี้ จิบชาดื่ม พร้อมกล่าวคำ “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวที่ลูกออกจากบ้านไปเมื่อหลายวันก่อน คิดหรือว่าพ่อไม่ได้สนใจ? เมื่อได้ยินมาว่าเจ้าไปยังเมืองกว่างหลิง พ่อเกือบจะออกไปตามลูกด้วยตัวเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ส่ายศีรษะกับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนที่ดวงตาจะปรากฏประกายแห่งความรักห่วงหา
หยวนลั่วซีกล่าวตอบกลับ “นี่… ท่านทราบเพียงใดกัน?”
“ไม่มากและไม่น้อย”
หยวนอู่ทงกล่าวตอบเนิบนาบ ประหนึ่งเป็นเรื่องราวทั่วไป “ยกตัวอย่าง ครั้งลูกไปยังภูเขามารดาภูตผี ได้มีข้อพิพาทเล็กน้อยกับซูอี้ ยามลูกกลับถึงมหานครอวิ๋นเหอ ลูกก็ไปสานสัมพันธ์กับซูอี้และหวงเฉียนจวิน เดินเล่นด้วยกัน อืม… สองวันหลังกลับมาถึงบ้าน ลูกยังแอบไปยังตรอกน้ำเต้าเพื่อพบซูอี้ และถูกพี่รองของลูกจับได้…”
หลังกล่าวคำ เขาอดไม่ได้จนหัวเราะออกมา
กระนั้นหยวนลั่วซีกลับชะงักงัน ใบหน้างดงามปรากฏเมฆหมอกครู่หนึ่ง นางกัดฟันแน่นไปครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านพ่อ ท่านที่ทราบดีแต่กลับกลบเกลื่อน หลายวันมานี้ไม่เห็นท่าทีท่านด้วยซ้ำ! ข้านึกว่าข้าเก็บไว้เป็นความลับดีแล้ว!”
หยวนอู่ทงถอนหายใจเบา “พ่อคิดอยากได้ทราบว่าเกิดอันใดขึ้นกับบุตรสาวอันเป็นที่รัก ที่มักอยู่ติดกับพ่อยามอยู่บ้าน แต่ครั้งกลับจากการเดินทางไปเมืองกว่างหลิง ไข่มุกของพ่อกลับทำตัวราวกับโดนพรากวิญญาณไป”
หยวนลั่วซีเผยใบหน้าแดงก่ำร้องออก “ข้าไม่ได้!”
ทันใดนั้น นางได้ตระหนักถึงจุดประสงค์ที่มาในค่ำคืนนี้อีกครา ถ้อยคำจึงกล่าว “ท่านพ่อ ทราบกระมังว่าข้ามาพบวันนี้เพราะเหตุใด?”
“พอคาดเดาได้”
หยวนอู่ทงยิ้มแย้ม ทว่าขมวดคิ้วเล็กน้อย “พ่อได้ทำความเข้าใจเชิงรายละเอียดของซูอี้ ตัวเขามีความลับอันมากมายนัก หากไม่แล้วเพียงหนึ่งปีคงไม่อาจครอบครองพลังขนาดสังหารหกยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณของจวนผู้ว่าการเขตปกครองได้”
หลังหยุดนิ่งไปครู่ เขาจึงกล่าวต่อ “เช่นกัน พ่อเพิ่งได้รับข่าวคราวว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ยังสังหารคนที่ภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ไปไม่น้อย ทั้งยังสังหารอดีตเพื่อนร่วมสำนัก หายนะครั้งนี้ ย่อมกระตุ้นแรงล้างแค้นจากสำนักดาบชิงเหอ”
กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาจึงมองไปยังหยวนลั่วซี “ดังนั้น หากพ่อคาดเดาถูก ลูกมาที่นี่เพื่อขอให้พ่อช่วยออกหน้าแก่ซูอี้ผู้นั้นกระมัง?”
หยวนลั่วซีใจสั่นเทา นางไม่นึกคิดว่าบิดาจะรวบรวมข้อมูลมากมายเหล่านี้มาได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกล่าวคำถาม “ท่านพ่อยินดีช่วยหรือไม่? หากข้าขอร้องให้ท่านช่วย ท่านจะตกลงหรือไม่?”
หยวนอู่ทงเกิดรู้สึกขมขื่นในใจ ถ้อยคำกล่าวออกด้วยท่าทีแปลกออกไป “เฮ้อ เสี่ยวซีของพ่อถูกพรากเอาวิญญาณไปเสียแล้ว”
หยวนลั่วซีกล่าวคำโกรธเกรี้ยว “ท่านพ่อหยุดเย้าข้าได้แล้ว กลับมาพูดคุยเรื่องราวก่อน!”
หยวนอู่ทงเผยยิ้มตอบรับ “อย่าเพิ่งแตกตื่นไป เมื่อใดเฉิงอู้หย่งกลับมาถึง พ่อจะสอบถามเพิ่มเติมและให้คำตอบลูก”
ขณะกล่าวคำจบ เสียงฝีเท้าพลันปรากฏจากไกลห่าง
เฉิงอู้หย่งและหยวนลั่วอวี่มาโดยพร้อมกัน
หยวนอู่ทงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำขึ้น “โอ้ เฉิงอู้หย่งก็ไม่สัตย์ซื่อเสียแล้ว กระทั่งดึงบุตรชายข้ามาร่วมกดดัน”
เฉิงอู้หย่งเร่งร้อนขออภัยด้วยรอยยิ้ม “ขอผู้นำตระกูลสงบใจก่อน ข้าเพียงคิดว่าด้วยนายน้อยสองอยู่ที่นี่ น่าจะช่วยข้าพิสูจน์ยืนยันบางเรื่องราวได้”
หยวนอู่ทงกล่าวคำโกรธเคือง “กล่าวไป ข้าคิดอยากเห็นเช่นกันว่าเจ้าคิดช่วยเสี่ยวซีเกลี้ยกล่อมข้าเช่นไร”
เฉิงอู้หย่งครุ่นคิดไปครู่ ถ้อยคำกล่าวตอบจริงจัง “ผู้นำตระกูล ข้ามีเพียงสามเรื่องจะพูดกล่าว”
โดยทันที เขาบอกเล่าเรื่องราวที่สันเขามารดาภูตผี ประสบการณ์ยามล่องเรือ และ ‘คำชี้แนะ’ ที่ซูอี้มอบให้ ออกมาทีละเรื่องราว
หลังได้รับฟัง หยวนอู่ทงจึงอดไม่ได้ที่จะตกอยู่ในห้วงความเงียบ
ครั้งหนึ่ง คนหนุ่มผู้นั้นสังหารซากศพหยินหกสมบูรณ์ในยามค่ำคืนฝนตก ปราบปรมาจารย์วิถียุทธ์ด้วยดาบเดียวยามล่องเรือ และยังมีเรื่องการชี้แนะอันปราดเปรื่อง เป็นผลให้เฉิงอู้หย่งและผู้อื่นที่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ ถึงกับตระหนักว่าเป็น ‘คำชี้แนะ’!
มันราวกับเรื่องเล่าในนิทานปรัมปรา
หากเป็นผู้อื่นกล่าว หยวนอู่ทงคงแค่นเสียงเมินเฉยประหนึ่งพบเจอคนบ้า
กระนั้นเรื่องราวเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาจากปากเฉิงอู้หย่ง เขาจึงไม่อาจเมินเฉยเช่นนั้น
ผ่านไปนาน หยวนอู่ทงมองยังหยวนลั่วซีและกล่าวคำ “เสี่ยวซี ลูกคิดอยากกล่าวอะไร?”
สีหน้าหยวนลั่วซีปรากฏความจริงจังกล่าวคำตอบ “ท่านพ่อ ในใจข้านั้นคุณชายซูเปรียบดังเซียนผู้ยิ่งใหญ่ อันที่จริง เขาไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลหยวนช่วยเหลือใด เพียงแต่ทราบว่าเขาตกอยู่ในปัญหา ข้าจะไม่ช่วยเขาได้เช่นไร?”
หยวนอู่ทงพยักหน้ารับ สายตามองยังหยวนลั่วอวี่พร้อมกล่าว “แล้วลูกเล่า คิดกล่าวอะไร?”
หยวนลั่วอวี่เกิดเขินอาย “ท่านพ่อ ท่านอาจยังไม่ทราบ ครั้งหนึ่งข้าประมือกับคุณชายซู ผลลัพธ์นั้น… โดยคร่าวแล้ว ในมหานครอวิ๋นเหอแห่งนี้ ข้าไม่เคยพบเจอรุ่นเยาว์ผู้ใดที่ทัดเทียมเขาได้ ข้าไม่อาจต่อกรกับเขาได้แม้แต่น้อย!”
หยวนอู่ทงรับฟังก่อนจะเผยยิ้ม “น่าสนใจ ช่างเป็นเรื่องน่าสนใจ ศิษย์ซึ่งถูกสำนักดาบชิงเหอทอดทิ้ง เพียงหนึ่งปีผ่านพ้น กลับกลายเป็นกล้าแกร่งราวเทพเซียน น่าทึ่งยิ่งนัก หวังว่าจะได้ไปพบเขาสักครั้งแล้ว”
หยวนลั่วซีเกิดยินดี “ท่านพ่อ เห็นพ้องให้ลงมือแล้วใช่หรือไม่?”
หยวนอู่ทงเผยยิ้มอับจน “หากพ่อไม่ตกลง มันคงกลายเป็นว่าพ่อคนนี้เลวร้ายในสายตาลูกหรอกหรือ?”
หลังกล่าวเช่นนั้น สีหน้าเขาจึงค่อยผ่อนคลายลง “เสี่ยวซี ลูกเติบโตขึ้นมากแล้ว ทราบว่าต้องตอบแทนความเมตตาที่ได้รับ เป็นความรับผิดชอบด้วยตนเอง ขณะที่พี่รองของลูก รู้จักเพียงแต่ต่อสู้กับสังหารสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า”
หยวนลั่วซีเผยยิ้มรับยินดี
หยวนลั่วอวี่เผยสีหน้าดำมืด คิดกล่าวชมบุตรสาว ไฉนย้อนมาถึงตัวเขาเช่นนั้น บิดาของเขาออกจะโอ๋บุตรสาวจนเกินควร…
เฉิงอู้หย่งลังเลไปครู่หนึ่ง ทว่ายังกล่าวออก “ผู้นำตระกูล หากตระกูลหยวนเคลื่อนไหว เช่นนั้นย่อมต้องเผชิญหน้ากับสองอำนาจใหญ่เช่นจวนผู้ว่าการและสำนักดาบชิงเหอ ถึงตอนนั้น ทุกคนในตระกูลหยวนจะได้รับผลกระทบไปด้วย ขอท่านพิจารณาโดยรอบคอบ”
หยวนอู่ทงกล่าวตอบเฉยชา “เจ้าไม่คิดกลับกันบ้างหรือว่า ตระกูลหยวนของข้าควรใช้โอกาสนี้ ก้าวสู่ระดับใหม่ที่สูงยิ่งกว่า?”
เฉิงอู้หย่งตื่นตะลึง พร้อมได้ตระหนักว่าผู้นำตระกูลเล็งเห็นถึงสิ่งที่จะเกิดและผลที่ตามมาแล้ว
ทันใดนี้เอง หยวนอู่ทงก็กล่าวถามด้วยความสงสัย “ผู้อาวุโสเฉิง อักษรที่ซูอี้มอบไว้ให้เจ้านั้นอยู่ที่ใด นำมาให้ข้ารับชม”
เฉิงอู้หย่งรับคำ พร้อมนำเอาม้วนกระดาษออกมาจากแขนเสื้อคลุมส่งมอบให้หยวนอู่ทง “ผู้นำตระกูล รับชมนั้นได้ แต่ขออย่าได้เก็บมันไป ข้ายังต้องพึ่งพาถ้อยคำเหล่านี้ เพื่อก้าวสู่ขอบเขตปรมาจารย์”
“รับชมท่าทีเจ้า เห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นงั้นหรือ?”
หยวนอู่ทงแค่นเสียงตอบ
สิ้นคำกล่าว เขาจึงกางม้วนกระดาษ
ไม่ช้า ดวงตานั้นเกิดประกาย เอวยืดตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ท่าทีตื่นตะลึงปรากฏผ่านระหว่างคิ้ว ประหนึ่งจมดิ่งไปกับถ้อยคำ
ตัวเขาชื่นชอบการอ่าน ดังนั้นจึงมีบทคัดลอกของตำราจากยุคโบราณและยุคสมัยใหม่สะสมอยู่ มีหรือเขาจะไม่ใช่ผู้ลุ่มหลงในอักษร?
ผ่านไปนาน พบเห็นสายตาหยวนอู่ทงยังคงจับจ้องที่ตัวอักษร เฉิงอู้หย่งจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวคำขึ้น “ผู้นำตระกูล ขอกลับคืนให้ข้าได้แล้วกระมัง?”
หยวนอู่ทงราวตื่นขึ้นจากความฝัน ม้วนแผ่นกระดาษถูกเก็บกลับไป เสียงถอนหายใจลากยาว ถ้อยคำกล่าวออกอย่างครุ่นคิด “ด้วยไม่กี่ตัวอักษร แต่กลับอหังการเปี่ยมล้น ประหนึ่งมองเหนือโลกหล้า! ทั้งยังลึกลับ ทุกตัวอักษรล้วนมีความหมายแห่งวิถียุทธ์ประทับอยู่ ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าใด กลับยิ่งพบว่าน่าตกใจ ทั้งยังได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ซูอี้ผู้นี้ ราวกับเป็นเซียนผู้เหนื่อยหน่ายสวรรค์ ลงมาพเนจรยังพิภพปุถุชนแสวงหาความแปลกใหม่ สนองความสำราญ!”
หยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวี่ต่างมองหน้ากันเอง ก่อนจะหัวเราะออกมา
คล้ายว่าใจบิดาของทั้งสองตอนนี้ จะมีตัวตนเช่นคุณชายซูคงอยู่แล้ว!
“ผู้นำตระกูล ควรได้เวลาส่งมันกลับคืนแก่ข้าแล้ว”
เฉิงอู้หย่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวคำขึ้นอีกครั้ง
หยวนอู่ทงเผยยิ้มบาง “เจ้ากังวลสิ่งใด? ม้วนกระดาษนี้ข้าจึงเก็บรักษาไว้ให้ชั่วคราว ยามใดเจ้าคิดอยากได้อ่าน เพียงมาพบข้าก็ได้อ่าน”
เฉิงอู้หย่งเกิดร้อนใจ “ผู้นำตระกูล ท่านเพิ่งกล่าวเมื่อครู่ว่าไม่ใช่ผู้คิดเอารัดเอาเปรียบ ไฉนตอนนี้ไม่อาจรักษาคำพูดไว้ได้!?”
“ว่าอะไร? ข้ากล่าวเช่นนั้นหรือ?”
หยวนอู่ทงแสร้งทำเป็นงุนงง “อีกทั้ง ไม่ใช่ข้าบอกว่าจะไม่ส่งคืนให้ เพียงจะเก็บรักษาไว้ให้ เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวล”
พบเห็นเฉิงอู้หย่งคิดกล่าวคำ หยวนอู่ทงพลันลุกขึ้นพร้อมเก็บม้วนกระดาษในมือ “นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเสีย แยกย้ายได้”
เฉิงอู้หย่ง “…”
หยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวีอดไม่ได้ที่จะกลอกตา
หาได้มีผู้ใดในพวกเขานึกคิด ว่าคนใหญ่โตเช่นบิดาตน จะถึงขั้นกลับถ้อยคำเช่นนี้ นับเป็นเรื่องหาได้ยาก
สิ่งนี้เรียกได้ว่าอะไร?
ธาตุแท้?
“เฮ้อ ข้าไม่ควรนำออกมาแต่แรก!”
เฉิงอู้หย่งถอนหายใจ กล่าวคำปลอบกับตนเอง “แต่อย่างน้อย ผู้นำตระกูลก็ยอมตกลงช่วยเหลือคุณชายซู หากแลกกัน… ก็ถือว่ายังคุ้มค่า! ในเมื่อผู้นำตระกูลกล่าวแล้ว ก็คงต้องรอรับชมกันต่อไป…”
แม้กล่าวคำเหล่านี้ออก แต่ใจเขายังคงเจ็บช้ำ