บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1220: เงาเซียนสัญจร
ตอนที่ 1,220: เงาเซียนสัญจร
นับแต่ชาติภพของทัศนาจารย์ เขาก็ค้นหาวิถีอันสูงกว่าวิถีสู่สวรรค์มาโดยตลอด
ยิ่งกว่านั้น ทัศนาจารย์ยังแตะเขตแดนของวิถีอันสูงกว่านี้ได้แล้ว!
โชคร้ายที่จุดด่างพร้อยที่เขามียามเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิทำให้ทัศนาจารย์ไม่อาจย่างสู่ขอบเขตนี้ได้ในท้ายที่สุด
ทัศนาจารย์มิแข็งแกร่งพอหรือไร?
เปล่า
ในความคิดของซูอี้ สถานการณ์นี้อาจคล้ายคลึงกับภูมิดาราฟ้าดินทุกวันนี้ ที่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด แต่วิถีอันสูงกว่าได้ถูกสะบั้นหายไปแสนนาน
หรือบางที วิถีอันสูงกว่านี้อาจจะมีข้อจำกัดมากมายซึ่งไม่เป็นที่ล่วงรู้ก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้ทัศนาจารย์แข็งแกร่งท้าทายสวรรค์เพียงใด มีหรือเขาจะก้าวผ่านไปได้?
หากประตูถูกลงกลอนมิอาจขยับแก้ จะเข้าไปภายในได้อย่างไร?
หลังจากเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับท่านมหาเทพหง และเห็นพลังของฉินชงซูผู้ข้ามผ่านธารแห่งกาลเวลา ซูอี้ก็เชื่อในสิ่งหนึ่งมากขึ้นทุกขณะ
วิถีสู่สวรรค์หาใช่จุดจบแห่งวิถีไม่
เหนือกว่ามันก็ยังมีวิถีที่สูงกว่า!
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว ลือกันอยู่เสมอว่าวิถีอันสูงกว่าคือวิถีเซียน
ผู้ใดที่หามันพบจะไร้มรณา!
ซูอี้ส่ายหน้า ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านและใช้จิตสัมผัสหยั่งกระดูกมือนี้
ทันใดนั้น เขาก็พบตราผนึกคล้ายแท่นเต๋าบนกระดูกมือนี้อีกครั้ง มันระยิบระยับแสงเยี่ยงทองเทวะหลอม ร่างพร่ามัวหนึ่งถูกพันธนาการไว้ข้างใน
นั่นคือเสี้ยววิญญาณของฉินชงซู
“ดูเหมือนสหายเต๋าจะเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิสำเร็จแล้ว น่าตื้นตันใจจริง ๆ”
เมื่อเขาสัมผัสถึงการปรากฏตัวของจิตสัมผัสซูอี้ได้ ฉินชงซูผู้ถูกกักในผนึกจองจำก็เงยหน้าขึ้นทอดถอนใจ
ซูอี้กล่าวประชด
ฉินชงซูเงียบไปชั่วขณะ แล้วจึงพร่ำรำพัน “สิ่งที่สหายน้อยได้เห็นเป็นเพียงเสี้ยววิญญาณของคนแซ่ฉินเท่านั้น การใช้ลูกไม้ลวงหลอกทำให้สหายน้อยหัวเราะเยาะเสียแล้ว”
เสียงของเขาพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน “ทว่า หลังจากการพลิกผันมากมาย มันก็ทำให้คนแซ่ฉินได้เห็นว่าสหายน้อยแข็งแกร่งเพียงไร บางทีนี่อาจจะเป็นกฎแห่งชะตา หากสหายน้อยไม่ถือสา คนแซ่ฉินผู้นี้ก็ปรารถนาจะสานสัมพันธ์อันดีกับเจ้า”
ซูอี้แค่นเสียงหึ “สานสัมพันธ์อันดี? ไหนว่ามาสิ”
ฉินชงซูครุ่นคิดเล็กน้อย และกล่าวว่า “เมื่อนานมาแล้ว ข้าได้รับรู้ว่าในโลกหล้าทุกวันนี้ วิถีสูงสุดมีเพียงสามขอบเขตราชันแห่งภูมิ สหายน้อยไม่อยากรู้หรือว่ามีขอบเขตเช่นใดอยู่เหนือสามขอบเขตราชันแห่งภูมิ?”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็แย้มยิ้มบาง “นอกจากนั้น สหายน้อยต้องสับสนในใจมากแน่ว่าไยข้า ตาแก่จากยุคมายาต้องข้ามธารกาลเวลามายังภูมิดาราฟ้าดินด้วย”
“เพื่อรักษาพันธสัญญาแห่งเทพหรือ?”
“เปล่าเลย ยังมีอีกหนึ่งความลับ เกี่ยวข้องกับวัฏสงสาร และยังเกี่ยวพันกับความลับต้องห้ามอีกเรื่องด้วย”
เมื่อฉินชงซูกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็จ้องนิ่งที่ซูอี้ “หากสหายน้อยเต็มใจสานสัมพันธ์อันดีกับคนแซ่ฉิน ข้าจะบอกความลับทั้งหมดนี้แก่เจ้าได้”
“นอกจาก ข้ายังนำเจ้าไปฝึกฝน สอนมรดกสูงสุดอันไม่มีอยู่ในยุคสมัยนี้ให้! ในภายหน้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะก้าวสู่วิถีเหนือสู่สวรรค์ได้เช่นไร!”
ซูอี้ฟังแล้วก็กล่าวยิ้ม ๆ “งั้นข้าจะสร้างสัมพันธ์อันดีนี้ได้เช่นไร?”
“ง่าย ๆ เลย ปล่อยข้าออกไปจากที่นี่”
ฉินชงซูชี้ผนึกลึกลับที่พันธนาการเขาอยู่ “ผู้อื่นอาจทำลายผนึกนี้ไม่ได้ แต่ด้วยเคล็ดเวียนวัฏสงสารที่สหายน้อยบรรลุ การทำลายมันได้ก็ง่ายนิดเดียว”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “แน่นอนว่าคนแซ่ฉินมิได้จะให้สหายน้อยช่วยข้าเปล่า ๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะให้พระสูตรเต๋าจั้งหนึ่งกับสหายน้อยตอนนี้ได้เลย”
“นามของมันคือ ‘คัมภีร์นิมิตใจหลิงหลง’ บันทึกเคล็ดฝึกฝนซึ่งอยู่เหนือสามขอบเขตราชันแห่งภูมิไว้!”
ฉินชงซูเอ่ยเรียก “สหายน้อยโปรดเข้ามาใกล้ ๆ หน่อย ข้าจะใช้เคล็ดวิชาถ่ายทอดพระสูตรเต๋าจั้งนี้ให้ อย่าห่วงเลย ข้าคิดอยู่ในผนึก มิอาจทำร้ายเจ้าได้หรอก”
ซูอี้เหยียดยิ้ม “วาจาของไอ้แก่เช่นเจ้า เชื่อไม่ลงหรอก”
ฉินชงซูอดยิ้มอย่างขมขื่นมิได้ “ข้าตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เพียงนี้ ความพยายามทั้งหมดของข้าก็มีเพียงขอชีวิตรอด จะยังมีกะใจใด ๆ มาคิดเล่นอุบายกันเล่า?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “หากเจ้าคิดสานสัมพันธ์จริง ๆ ข้าเสนอเรื่องหนึ่ง”
“ว่ามาสิ”
ฉินชงซูดูใจชื้นขึ้น
ซูอี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “ร่างจริงของเจ้ายังมีชีวิต และสิ่งที่ถูกกักติดอยู่ยามนี้เป็นเพียงเสี้ยววิญญาณ ไยจึงไม่อยู่เฉยให้ข้าสำรวจวิญญาณของเจ้าหน่อยเล่า?”
ฉินชงซูตกตะลึงจนใบหน้าแข็งค้าง
ซูอี้กล่าวต่อ “หากทำเช่นนั้น ข้าก็จะเข้าใจในทุกสิ่งที่เจ้ารู้ และมิห่วงว่าเจ้าจะโกหกใด ๆ ไม่ดีหรือ?”
สีหน้าของฉินชงซูพลันหม่นหมอง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ “สหายน้อย คนแซ่ฉินคิดอยากสร้างสัมพันธ์อันดีกับเจ้าอย่างจริงใจ ทว่าเจ้ากลับอยากพินิจวิญญาณข้า มันไม่มากไปหน่อยหรือ?”
ซูอี้กล่าวพลางหัวเราะขึ้นมา “มันก็ต้องมากไปสิ คิดจริง ๆ หรือว่าข้ามาที่นี่เพื่อเจรจากับเจ้าจริง ๆ? สำคัญตนมากไปแล้ว!”
ฉินชงซูเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด
ทันใดนั้นเขาก็เสสรวลด้วยความโกรธ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “สหายน้อย เจ้ายังอ่อนเยาว์นัก พลังของผนึกนี้เป็นเหมือนตรวนพันธนาการ แม้จะขังข้าไว้ได้ แต่มันก็พิทักษ์ร่างของข้าด้วย เว้นแต่เจ้าจะทำลายมัน หาไม่ เจ้าก็ทำอันใดข้ามิได้หรอก!”
“งั้นหรือ งั้นก็ลองดูกัน”
ซูอี้กล่าวพลางเคลื่อนพลังจิตวิญญาณอย่างรุนแรง ควบแน่นร่างเจตจำนงขึ้นมา ปรากฏขึ้นในพื้นที่ภายในกระดูกมือข้างนั้น
เขาก้าวเข้ามายังผนึกจองจำอันดูเหมือนแท่นเต๋า
“สำหรับเจ้า ตราจองจำนี้เป็นเหมือนตรวน แต่ในสายตาข้ามันไร้ประโยชน์ใด ๆ”
เขาก้าวเข้าไปในนั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉินชงซูก็ดูเหลือเชื่อ
ทว่าทันใดนั้น เขาก็อดยิ้มมิได้ “ข้าก็คิดอยู่ว่าจะล่อไอ้หนูนี่เข้ามาอย่างไร ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะส่งตัวเองมาถึงที่อย่างโง่เง่า!”
“ใช่แล้ว เจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าการฝึกฝนและขอบเขตของข้าผู้นี้เป็นเช่นไร ย่อมไม่มีทางรู้เลยว่าพลังจิตวิญญาณในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงนั้นไม่ต่างจากมดในกำมือข้าผู้นี้เลย!”
เขาดูปรีดาเหลือเกิน
วาจายังไม่สิ้น ร่างของเขาก็พุ่งเข้าหาซูอี้แล้ว
ตู้ม!
เสี้ยววิญญาณของฉินชงซูพลันดุร้ายไร้ขอบเขต แผ่รัศมีแสงวิถีลึกลับรุนแรงตระการดุจทะเลคลั่ง โอบล้อมร่างเจตจำนงของซูอี้ไว้
เปรี้ยง!
ทว่าอึดใจต่อมา เสี้ยววิญญาณของฉินชงซูก็กระเด็นไปเบื้องหลังพลางกรีดร้องโหยหวน
เสี้ยววิญญาณของเขาสั่นระริกรุนแรง
“ในจิตวิญญาณของเจ้าผนึกสุดยอดอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไว้หรือ?!”
ฉินชงซูกล่าวลอดไรฟันอย่างตื่นตะลึง
ก่อนหน้านี้ เขาคิดอยากกลืนกินร่างเจตจำนงของซูอี้ ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเพียงต้องตัวอีกฝ่าย เขากลับถูกอำนาจดาบอันยิ่งใหญ่ฟาดฟันเสียกระเด็น
หากเขาหลบไม่ทัน คงได้ตายแน่!
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าคิดว่าใครคือมด?”
เขาก้าวเข้าไปหาฉินชงซู
ฉินชงซูหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนกล่าวว่า “สหายน้อย เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการเข้าใจผิดทั้งเพเลย!”
เพียะ!
ซูอี้ตบหน้าเขา ส่งเสี้ยววิญญาณของฉินชงซูละลิ่วไปชนกับอำนาจของผนึกลึกลับ
ผนึกลึกลับทอแสงเรืองรองดุจแส้ทิพย์ร่ายระบำ เสี้ยววิญญาณของฉินชงซูแทบแหลกสลาย
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ขณะร้องโหยหวนดังลั่น สภาพมิอาจดูได้
“ยุคมายาแล้วกระไร? แข็งแกร่งเหนือขอบเขตราชันแห่งภูมิแล้วกระไร? เป็นเพียงเสี้ยววิญญาณ ยังแสร้งทำแข็งแกร่งกร่างอำนาจต่อหน้าข้า มิน่าดูชมจริงแท้”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
เสี้ยววิญญาณของฉินชงซูร่วงลงไปกองกับพื้น ก่อนเขาจะกล่าวขึ้นเสียงแข็ง “ข้าลั่นวาจาไว้เลยว่า เจ้าจะฆ่าเสี้ยววิญญาณนี้ก็ทำไป ทว่าข้าจะไม่บอกอันใดกับเจ้าทั้งสิ้น ก็แค่เสี้ยววิญญาณ ข้าหาใส่ใจไม่!”
เพียะ!
เสียงยังมิทันสิ้น ฉินชงซูก็ถูกตบอีกหน
“เจ้า…”
ฉินชงซูแทบสติเสีย
ชั่วยุคสมัยของเขา เขาถูกสรรพสิ่งนับร้อยล้านบูชาเป็นนายเหนือผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน
กระทั่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิยังต้องสงวนท่าทีก้มหัวลง
ทว่ายามนี้ เขากลับถูกตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!
เขาไม่ได้ประสบกับการหยามเกียรติอย่างร้ายแรงนี้มาเนิ่นนานแล้ว
“หากเจ้าไม่ใส่ใจ ไยจึงแสนโมโหสติแตกเพียงนี้เล่า?”
ซูอี้เสสรวล เขาเดินมาถึงร่างของฉินชงซู ขณะก้มลงมองอีกฝ่าย “ความเป็นความตายของเจ้าหาสำคัญไม่ แต่การรับบางสิ่งจากเสี้ยววิญญาณของเจ้าสิ… สำคัญต่อข้า”
กล่าวเช่นนั้น เขาก็ยกมือขึ้นกดลงบนร่างของเสี้ยววิญญาณฉินชงซู
ขณะที่เขากำลังจะค้นวิญญาณนั้นเอง
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ขอสหายเต๋าปล่อยเขาให้มีชีวิตต่อด้วย!”
ผนึกจองจำลึกลับดุจแท่นเต๋านี้พลันเรืองแสงเซียนดุจภาพฝัน ถักทอเป็นเงาร่างอันพร่ามัวหนึ่งบนอากาศ
กระทั่งรูปลักษณ์ยังเลือนรางไม่สมจริง
ทว่าเมื่อนางปรากฏกาย ยังให้ความรู้สึกชวนตะลึงอยู่ดี
ราวได้ประสบนางเซียนจุติลงมาเป็นสามัญชน มิปนเปื้อนมลทินใด ๆ ดูงดงามสูงส่งเหนือสรรพสิ่ง
“เป็นเจ้า นังสารเลว!”
ฉินชงซูโพล่งอย่างเดือดดาลราวมิอยากเชื่อ
ในขณะเดียวกัน ซูอี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าร่างพร่ามัวนี้คือตราเจตจำนง
เห็นได้ชัดว่าสตรีลึกลับที่มีนามว่าลั่วเหยาทิ้งไว้!
“เหตุใดเจ้าจึงปกป้องเขาหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
เจตจำนงของลั่วเหยาอธิบาย “เขาสามารถเป็นจุดนำทางและมีบทบาทสำคัญยามข้าเดินทางสู่ยุคมายาในภายหน้าได้”
“อย่างนี้เอง”
ซูอี้เข้าใจแล้ว
เหตุที่ลั่วเหยาผู้มีที่มาลึกลับนี้ใช้กระดูกมือของนางผนึกเสี้ยววิญญาณของฉินชงซู นั่นก็เพื่อไปยังยุคมายาในภายหน้า!
ลั่วเหยากล่าว “หากสหายเต๋าค้นวิญญาณของเขา มันจะเปิดโอกาสให้เขาสังหารตัวตายได้ และผลที่ได้ก็ไม่มากคุ้มเสีย ขอเพียงเขาติดอยู่ในคุกจองจำที่ข้าตั้งขึ้น คิดฆ่าตัวตายเขาก็ทำมิได้หรอก”
“หญิงชั่ว! ข้าไม่ยอมให้เจ้าสมหวังหรอก!”
ฉินชงซูก่นด่า สีหน้าย่ำแย่ถึงขีดสุด
ลั่วเหยาเมินเขาและมามองยังซูอี้ ก่อนกล่าวอย่างแผ่วเบา “อีกไม่ถึงสามปี ร่างจริงของข้าจะหวนคืน และยามถึงเวลา ไม่ว่าสิ่งใดที่สหายเต๋าอยากรู้ ข้าจะตอบให้อย่างสัตย์ซื่อ”
ซูอี้ถาม “ไยจึงมิคุยกันเสียยามนี้เลยเล่า?”
ลั่วเหยาชี้ตนเองอย่างจนใจเล็กน้อย “เจตจำนงนี้ ข้ารีบร้อนทิ้งมันไว้ กล่าวตรง ๆ คือถือได้เพียงเป็นตราจิตวิญญาณเสี้ยวเล็ก ๆ ที่จะสลายไปอยู่แล้วน่ะ”
ซูอี้จำได้ว่าท่านมหาเทพหงกล่าวไว้ยามเผชิญกับหายนะดึกดำบรรพ์ว่า แม้ลั่วเหยาจะเอาชนะฉินชงซูได้ แต่ตัวนางเองก็บาดเจ็บ คาดว่าคงถูกอำนาจต้องห้ามประหลาดบางอย่างจากธารกาลเวลาหมายหัว ทำให้นางต้องหนีไปก่อน!
“สหายเต๋า โปรดรักษากระดูกมือของข้าไว้ด้วย ยามข้ากลับมา ข้าจะมอบ… รางวัลอันเกินคาดคิดแก่สหายเต๋าอย่างแน่นอน!”
เสียงของนางยังไม่ทันจาง ลั่วเหยาก็แย้มยิ้มบาง ร่างของนางพลันเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงสลายไป
ซูอี้ตะลึงค้าง อดปรามาสมิได้ว่าอิสตรีทั้งหลายชอบยั่วให้อยากแล้วจากไปนักหรือ?