บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1222: ข่าวลือเรื่องเขตแดนสมรภูมิ
ตอนที่ 1222: ข่าวลือเรื่องเขตแดนสมรภูมิ
ณ เมืองหิมะสวรรค์
หน้าร้านช่างตีเหล็ก
อาเฉิง ศิษย์ของผู้คุมรัตติกาลกำลังใช้ค้อนตีเหล็กเช่นกาลก่อน ส่งสะเก็ดเพลิงกระจายทั่วทุกแห่งหน
“น่าสนใจเอาการนะ”
เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่ออาเฉิงเงยหน้ามอง เขาก็พบชายชราในชุดยาวผู้หนึ่ง ซึ่งมีท่าทางสุภาพยืนอยู่หน้าร้านตั้งแต่ยามใดมิอาจทราบได้
ข้างกายชายชรายังมีหนึ่งสตรีในชุดกระโปรงสีดำเรียบ ๆ รูปลักษณ์ดูจิ้มลิ้มและบริสุทธิ์อยู่ด้วย
กิริยางดงามนั้นทำให้อาเฉิงนิ่งค้างไปเล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็แย้มยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ลูกค้าจะมาขัดเกลาสมบัติหรือ?”
ชายชราชุดยาวส่ายหน้า “ข้ามาพบกับอาจารย์ของเจ้า”
อาเฉิงตกใจ เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าเสียงเย็นชาห้วนสั้นพลันดังขึ้น
“อาเฉิง เจ้ากลับห้องไป”
พร้อมกันนั้น ร่างของผู้คุมรัตติกาลในอาภรณ์สีเทาไร้ความโดดเด่นก็ปรากฏขึ้น
“ขอรับ!”
อาเฉิงเกาหัวพลางหันกลับเดินเข้าไปในร้าน
“ท่านมาที่นี่เพื่อสำแดงพลังอำนาจหรือไร?”
สีหน้าของผู้คุมรัตติกาลเย็นชาแข็งทื่อ
มองปราดแรกเขาก็จำยมบาลสาวได้ และตระหนักว่าชายชราในชุดยาวผู้นี้น่าจะกระทำการบางอย่างเพื่อนำตัวยมบาลออกจากเมืองมรณะ
ชายชราในชุดยาวยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวว่า “อย่าเข้าใจผิด ตาเฒ่าผู้นี้มาด้วยหวังว่าท่านจะช่วยถ่ายทอดวาจาแก่ซูเสวียนจวินเท่านั้น”
ชายชราในชุดยาวถอนใจเบา ๆ ราวกับเสียดาย “ตาเฒ่าผู้นี้ก็ทำตามคำสั่งเช่นกัน จึงทำได้เพียงฝากข้อความกับเจ้า”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ผู้คุมรัตติกาลก็กล่าวขึ้น “ว่ามา”
ชายชราในชุดยาวกล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “โปรดบอกซูเสวียนจวินว่า อย่างช้าที่สุดก็หนึ่งปี เจ้าหอเก้าสวรรค์ของข้าหวังให้เขามายังภูมิดาราวอนสวรรค์สักเดี๋ยว”
ดวงตาของผู้คุมรัตติกาลหรี่ลงเงียบ ๆ
ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง ชายชราในชุดยาวพลันประคองกำปั้นและจากไปพร้อมยมบาลสาว
“คนผู้นี้ร้ายกาจนัก เขามิได้รับผลใด ๆ จากกฎในเมืองเฟิงตูเลย!”
หัวใจของผู้คุมรัตติกาลปั่นป่วน “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าไปเหยียบเท้าศัตรูร้ายกาจใดไว้กัน?”
…
ระหว่างเดินทางออกจากภูมิมืดมิด
ยมบาลซึ่งเงียบมาตลอดจึงอดกล่าวมิได้ว่า “ผู้บวงสรวงสวรรค์ เหตุใดท่านจึงไม่ไปพบซูเสวียนจวินด้วยตนเองหรือ?”
ชายชราในชุดยาวกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “เจ้าหอสั่งไว้ว่าข้าต้องทำเพียงพาเจ้ากลับ มิอาจสร้างปัญหาใด ๆ ได้”
ดวงตาของยมบาลสาววูบไหว “ข้าถูกขังอยู่ในภูมิมืดมิดแสนนาน ไยเจ้าหอจู่ ๆ จึงอยากพาข้ากลับเล่า?”
ชายชราในชุดยาวเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าได้ยินว่าบิดาเจ้ารอดกลับมาแล้ว”
ยมบาลพลันรู้สึกราวถูกสายฟ้าฟาด ก่อนร้องเสียงหลง “บิดาข้า!? ข- เขา… ยังไม่ตายหรือ?”
เห็นได้ชัดว่านางเสียกิริยา ใบหน้าหยกแปรเปลี่ยน
ชายชราในชุดยาวกล่าวเบา ๆ “อาจิ่วเอ๋ย ข้าไม่รู้เรื่องราวเชิงลึก แต่เมื่อเจ้ากลับไป ทุกสิ่งจะกระจ่างเอง”
หลังจากนั้นเนิ่นนาน ยมบาลก็ค่อย ๆ สงบลง
นางสูดหายใจลึกและกระซิบว่า “ผู้บวงสรวงสวรรค์ ขออภัยที่ละลาบละล้วง แต่ครานี้… เจ้าหอยังคิดใช้ชีวิตข้ามาต่อรองกับบิดาข้าอยู่หรือไม่?”
ชายชราในชุดยาวขมวดคิ้ว ก่อนกล่าวแก้ “อาจิ่ว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ระหว่างบิดาเจ้ากับเจ้าหอไร้อุบายแอบซ่อนใด ๆ”
ยมบาลเงียบไป
นางสัมผัสได้ว่าชายชราในชุดยาวไม่พอใจเล็กน้อย!
นางก็รู้ว่าเมื่อเจ้าแก่นี่โมโห เขาจะโหดร้ายเลือดเย็นยิ่งกว่ามารชั่วในโลกหล้าเสียอีก!
หลังจากออกจากภูมิมืดมิด พวกนางก็ละล่องสู่จักรวาลพร่างดาว
ชายชราชุดขาวพลันกล่าวอย่างสงสัย “แปลกจริง พลังกฎสวรรค์ของภูมิดาราฟ้าดินกลับแปรเปลี่ยนจากเหี่ยวเฉา เผยเค้าลางพลังชีวิต ปรากฏสัญญาณการฟื้นฟูแล้ว!”
หัวใจของยมบาลกระตุก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ยามผู้บวงสรวงสวรรค์มาถึง ท่านไม่สังเกตเห็นมันหรือ?”
ชายชราในชุดยาวส่ายหน้า “ข้ามาถึงเมื่อครึ่งปีก่อน เพื่อตามหาเจ้า ข้าจึงใช้เวลาอยู่ในภูมิมืดมิดไปพอสมควร ยามนี้ดูเหมือนว่าหกเดือนมานี้ ภูมิดาราฟ้าดินจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นอย่างใหญ่หลวง”
ยมบาลกล่าวอย่างครุ่นคิด “ไยผู้บวงสรวงสวรรค์ไม่ฉวยโอกาสนี้ค้นความจริงของการกระตุ้นคืนชีพกฎสวรรค์ภูมิดาราฟ้าดินเสียเลยเล่า?”
ชายชราชุดยาวจับจ้องยมบาลสาวอย่างลึกล้ำ “อาจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากถ่วงเวลา ทว่าในภูมิดาราฟ้าดินทุกวันนี้ ต่อให้ซูเสวียนจวินออกมาลงมือ ก็ไม่มีทางแงะเจ้าออกไปจากมือข้าได้หรอก”
ยมบาลเงียบไป ดวงตาของนางฉายประกายมืดหม่นอย่างมิอาจตรวจจับ
…
ณ ถ้ำเสวียนจวิน
โลกหล้าภายนอกเดือดพล่าน ทว่าซูอี้กลับผ่อนคลายอย่างหาได้ยาก
หลังกลับจากแดนหวงห้ามสิ้นเซียน เขาก็เมินเฉยต่อโลก ทุกวันนี้นอกจากฝึกฝน เขาก็ออกท่องเที่ยวไปกับเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น ชิงหว่านและคนอื่น ๆ
นาน ๆ ครั้ง เขาก็ยังชี้แนะการฝึกฝนของเหล่าศิษย์เช่นจิ่งหัง หวังเชวี่ย จิ่นขุยด้วย
วันคืนเงียบสงบสำราญใจ
ทว่าความสุขสำราญทั้งหลายก็ถูกทำลายลงในไม่ช้าด้วยจดหมายลับฉบับหนึ่งของผู้คุมรัตติกาล
“ในหนึ่งปี ให้ข้าไปพบเจ้าหอเก้าสวรรค์หรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
การมีความทรงจำของทัศนาจารย์ก็ทำให้ซูอี้แน่ใจด้วยว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์เป็นตาเฒ่าผู้โมโหร้ายและเจ้าอารมณ์ ทว่ามีวิถีเต๋าอันแยบยลเกินหยั่งคาด ลึกล้ำและพิถีพิถัน
“กระทั่งยมบาลยังถูกพาตัวไป นี่คิดใช้นางมาขู่ข้าหรือ?”
“ไม่สิ ด้วยนิสัยเจ้าเฒ่าในหอเก้าสวรรค์ เขาไม่ทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนี้หรอก”
“ในหมู่พวกเขา เกรงว่าคงซุกซ่อนเรื่องอื่นไว้”
ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด หัวใจงุนงงชั่วขณะ
ครู่ต่อมาเขาก็ส่ายหน้าและไม่ได้คิดให้ปวดหัวอีกต่อไป
ไม่ว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์จะคิดอันใด แต่ภายหน้าเขาจะไปยังภูมิดาราวอนสวรรค์แน่แท้ และเมื่อถึงยามนั้น ความจริงก็จะถูกเปิดเผย
“ให้ข้าเพียงหนึ่งปี… ตาแก่เอ๋ย ดูเจ้าจะรีบร้อนนัก ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้น ช้ายิ่งมิกระวนกระวาย ดูซิว่าผู้ใดจะใจเย็นกว่ากัน”
ซูอี้ครุ่นคิดและเรียกเมิ่งฉางอวิ๋นมาหา
“สองสามปีมานี้ ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวแปรเปลี่ยนเช่นไรบ้าง?”
ซูอี้ถาม
เมิ่งฉางอวิ๋นครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวว่า “เรียนใต้เท้า ตาเฒ่าผู้น้อย ณ กาลก่อนฝึกฝนอยู่ในภูมิดาราหมื่นโฉลก และสองสามปีนี้ก็หาได้ยินความเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไม่ขอรับ”
“จริงสิ!”
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็ตบหน้าผากตนราวจำบางอย่างได้ “ราว ๆ ยี่สิบปีก่อน มีข่าวลือหนึ่งสะพัดในขุมอำนาจใหญ่ในภูมิดารา เซ็งแซ่ฮือฮาจนกระทั่งขุมกำลังสูงสุดบางแห่งยังสะท้านสะเทือน”
ซูอี้ถาม “ข่าวลือใดหรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบตอบ “กล่าวกันว่าเขตแดนสมรภูมิซึ่งเงียบอยู่แสนนานมีปฏิกิริยา และการแปรเปลี่ยนมหาศาลอันเกินคาดเดาก็ปรากฏขึ้นกับจักรดาราตงเสวียนกับเขตแดนอื่น ๆ ด้วยขอรับ!”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย อดประหลาดใจมิได้
เขตแดนสมรภูมิ!
นี่คือสถานที่ซึ่งแทบถูกภูมิดาราทั้งหลายหลงลืมมาเนิ่นนาน
ลือกันว่าเขตแดนสมรภูมินี้คือทางผ่านระหว่างเขตแดนหลักทั้งหลาย และผู้คนสามารถข้ามไปสู่จักรดาราอื่น ๆ ได้จากเขตแดนสมรภูมิ!
ยังมีข่าวลือด้วยว่าเขตแดนสมรภูมิคือจุดมุมแห่งโลกเซียน ซุกซ่อนเคล็ดวิถีเซียนเอาไว้
ทว่า…
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข่าวลือ
ในประสบการณ์ของทัศนาจารย์ เขาได้ออกสำรวจความลับเกี่ยวกับเขตแดนสมรภูมินี้มาก่อน และในที่สุดก็สรุปได้…
ว่าเขตแดนสมรภูมิมีอยู่จริง!
ที่แห่งนั้นเป็นดั่งสะพานเชื่อมระหว่างจักรดาราใหญ่ทั้งหลาย และย่อมเป็นสถานที่ประชันระหว่างจักรดาราใหญ่!
ทว่านับแต่บรรพกาลแสนนาน การเปลี่ยนแปลงหนึ่งก็เกิดขึ้นกับเขตแดนสมรภูมิ ทำให้มันหายสาบสูญไปจากโลกหล้า
จากนั้นมา เขตแดนสมรภูมิก็มิปรากฏขึ้นอีก
“หากข่าวนี้เป็นจริง มันก็นับเป็นการเปลี่ยนแปลงมหาศาลกว่าครั้งใดของภูมิดาราฟ้าดินได้เลย…”
จักรดาราตงเสวียนประกอบด้วยภูมิดาราหลายน้อย รวมถึงโลกภูมิเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน
ภูมิดาราฟ้าดินและภูมิดาราใหญ่ ๆ ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวล้วนตั้งอยู่ในจักรดาราตงเสวียนทั้งสิ้น
และหลังจากได้ความทรงจำของทัศนาจารย์มา มันก็ทำให้ซูอี้แน่ใจว่ามีภูมิดาราอื่น ๆ นอกเหนือจากภูมิดาราฟ้าดิน!
นับแต่แรกเริ่มดึกดำบรรพ์ เขตแดนสมรภูมิคือชุดเชื่อมต่อภูมิดาราหลักมากมาย
ทว่าเมื่อเขตแดนสมรภูมิสลายไป การเปลี่ยนผ่านของกาลเวลาแห่งเราก็ถูกสะบั้นขาด มิหวนบรรจบ
และยามนี้ยังมีข่าวลือว่าเขตแดนสมรภูมิกลับมาปรากฏอีก หากเป็นจริง เช่นนั้นภูมิดาราฟ้าดินคงปั่นป่วนอย่างมิเคยเกิดมาก่อนแน่แท้!
เพราะถึงอย่างไร ขอเพียงเขตแดนสมรภูมิปรากฏขึ้น มันหมายความว่าขุมกำลังทั้งหลายล้วนได้โอกาสแทรกซึมสู่ภูมิดาราฟ้าดิน!
แน่นอน ทุกสิ่งย่อมมีข้อด้อย
สำหรับขุมกำลังสูงสุดทั้งหลายในจักรดาราตงเสวียน พวกเขาต่างมีโอกาสเข้าสู่ขอบเขตอื่น ๆ
ผลสุดท้ายขึ้นกับว่าผู้ใดสามมารถควบคุมเขตแดนสมรภูมิได้คนสุดท้าย!
“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ยามข่าวลือนี้แพร่ออก ภูมิดาราส่วนใหญ่ตื่นเต้นเซ็งแซ่ ก่อเกิดคลื่นมโหฬาร และจวบจนวันนี้ก็ยังเล่าขาน”
เมิ่งฉางอวิ๋นดูตื้นตันเอาการ
“ไม่ว่าอย่างไร ข่าวลือก็คือข่าวลือ เร็วเกินไปหากจะพูดถึงพวกมัน”
ซูอี้ส่ายหน้า
ช่วงนี้ เขาเตรียมการบางอย่างก่อนออกเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวอยู่
เหลือเวลาก่อนจากมิมากแล้ว
หลังจากเข้าสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาลดารา เขาย่อมสามารถถามไถ่ข่าวเกี่ยวกับเขตแดนสมรภูมิได้มากขึ้น
กาลเวลาเปลี่ยนผัน หนึ่งเดือนละล่องผ่านรวดเร็ว
ระหว่างนั้น ลู่เหยียนเดินทางไปยังถ้ำเสวียนจวินด้วยตนเองและนำกฎระเบียบซึ่งจัดเตรียมอย่างพิถีพิถีนให้ซูอี้
หลังจากซูอี้เปิดออกอ่าน เขาก็พอใจเอาการ
ในเมื่อลู่เหยียนและข่งเซิ่นยกเขาเป็นใหญ่ ย่อมต้องกระทำตนตามกฎ
กฎระเบียบนี้ กล่าวให้กระชับก็คือกฎสำหรับพวกผู้ขัดเกลาทุกคน!
นอกจากนั้น ระหว่างนี้ ซูอี้ยังเดินทางสู่มหาทวีปคังชิง ฝังเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงสู่ที่มาแห่งคังชิงอีกด้วย
ระหว่างการฝึกฝนครึ่งปีที่สมุทรฮุ่นตุ้น เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงได้ดูดซับปราณฮุ่นตุ้นมหาศาล ซึ่งได้ปลุกศักยภาพ พลังชีวิตและรากฐานเติบโตของมันออกมา
ซูอี้แน่ใจว่าในภายหน้า ด้วยการฟื้นคืนของเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง ทวีปคังชิงจะหลบจุดจบของการ ‘เฟื่องฟูแล้วล่มสลาย’ ก่อเกิดเป็นที่มาแห่งโลกหล้าผืนใหม่!
นี่เรียกได้ว่าเป็นการเติมเต็มคำสัญญาที่ซูอี้รับปากอาคังไว้
นอกจากนั้น ซูอี้ยังทิ้งมรดกมหาวิถีของกลุ่มตัวตนในตำนานไว้ในถ้ำเสวียนจวินและตั้งสถานที่ทดสอบขึ้น
ผู้ที่ผ่านการทดสอบเท่านั้นจะมีโอกาสได้เลือกมรดกมหาวิถีของตัวตนในตำนานหนึ่งคน
ควรค่ากล่าวถึงว่าผู้ฝึกตนในขุมกำลังสูงสุดทั้งหลายเช่นแดนลี้ลับขั้นเก้าและแดนบูรพาน้อยต่างได้โอกาสมาทดสอบตนในถ้ำเสวียนจวินด้วย
ซูอี้รังเกียจการซ่อนผลประโยชน์เนื่องจากพวกนี้ ดังนั้นในเมื่อเขาได้มรดกมามากเกินไป เขาก็ควรให้ผู้ที่เหมาะสมที่สุดได้มัน
“ข้าตั้งใจจะออกเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวพรุ่งนี้”
วันนี้ ซูอี้เรียกศิษย์ตน จิ่งหังและพวกจิ่นขุยมารวมตัวและกล่าวตัดสินใจ