บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1224: วังวายุเร้นอาสัญ
ตอนที่ 1224: วังวายุเร้นอาสัญ
จักรวาลพร่างดาวเย็นเยียบและเงียบสงัด
หนึ่งลำเรือละล่องลิ่ว
ซูอี้นั่งเอกเขนกอยู่ที่ท้ายเรือ ยกไหสุราขึ้นดื่มเงียบ ๆ
ชิงหว่านนั่งอยู่ที่ด้านข้างอย่างเรียบร้อย ดวงตากระจ่างงามของนางมองทิวทัศน์ระหว่างทางอย่างใคร่รู้
หญิงสาวเพิ่งได้สัญจรเหนือจักรวาลพร่างดาวเป็นครั้งแรก มหาจักรวาลกว้างใหญ่ตระการตาทำให้นางตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ที่กราบเรือ เมิ่งฉางอวิ๋นดำเนินวิถีเต๋า เร่งลำเรือท้องแบนให้เคลื่อนต่อ
“ใต้เท้า จากการเดินทางของเรา ไม่ถึงเดือนก็จะถึงภูมิทมิฬเร้นแล้วขอรับ”
ระหว่างทาง เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ภูมิทมิฬเร้น
ตั้งอยู่ ณ ชายขอบเขตหวงห้ามพร่างดารา
และยังถือได้ว่าเป็น ‘ท่าเรือ’ สู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวด้วย
จากภูมิทมิฬเร้นเป็นต้นไป การข้ามเข้าสู่เขตหวงห้ามพร่างดาราจะนับเป็นการเข้าสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
“ระหว่างเดินทางต่อจากนี้ เรียกข้าว่าคุณชายเถอะ”
ซูอี้ออกคำสั่งเสียงเรียบ
เขาตัดสินใจเปลี่ยนฐานะและทำตัวไร้ประวัติ
เหตุผลนั้นแสนง่าย
ในศึกเหนือทะเลดาวตกแห่งมหาแดนดิน เขากวาดล้างมหาศัตรูมากมายจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว สังหารราชันแห่งภูมิจากขุมกำลังใหญ่อย่างโรงวาดฤทัย ลัทธิทางช้างเผือก หอเก้าสวรรค์และสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมาหลายคน
ยามนี้ ซูอี้แน่ใจแล้วว่าขุมกำลังสูงสุดจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวคงรู้นานแล้วว่าเขาคือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์!
ยิ่งกว่านั้น เขายังครอบครองเคล็ดเวียนวัฏสงสารซึ่งเพียงพอให้เหล่ายักษ์ใหญ่ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวน้ำลายหก!
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ หากใช้ตัวตนปัจจุบันเดินทางสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว คงเด่นชัดเยี่ยงคบเพลิง จนก่อให้เกิดอุปสรรคปัญหานับไม่ถ้วนเป็นแน่
ซูอี้ไม่ต้องการถูกปัญหาใด ๆ ตามติด
“ในภายหน้า นามของข้าจะเป็นเสิ่นมู่นะ”
ซูอี้กล่าวขึ้น
เสิ่นมู่
ชาติภพที่เจ็ดของเขา เป็นตัวตนไร้คู่เปรียบซึ่งทั้งความสามารถและมรดกร้ายกาจเสียจนกระทั่งทัศนาจารย์ยังริษยา
เมื่อมองไปยังอดีตอันยาวนานแห่งจักรวาลพร่างดาว ไม่มีผู้ใดเทียบความสามารถและความเข้าใจในวิถีดาบของเสิ่นมู่ได้!
คนผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นนักดาบ และเป็นบุตรรักแห่งสวรรค์อันยากจะหาในรอบพันหมื่นปี
อายุได้สิบห้า เขาเข้าสู่ภาวะรู้แจ้งสิบวันสิบคืน ก่อนจะพิสูจน์เต๋าสู่จักรพรรดิได้อย่างราบรื่น
อายุถึงสิบเจ็ด หลังจากผ่านประตูเป็นตายลึกล้ำ เขาก็เลื่อนขอบเขตเป็นราชันแห่งภูมิ
เมื่ออายุได้ยี่สิบสามปี เขาก็อยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัด หนึ่งดาบเหนือสรรพสิ่งในวิถีสู่สวรรค์!
ทว่าในยามอายุยี่สิบสาม เสิ่นมู่ผู้เป็นอัจฉริยะไร้คู่เปรียบกลับถูกสตรีผู้หนึ่งสังหาร สติรู้คิดสลายสิ้น!
กระทั่งทัศนาจารย์ยังรู้เพียงว่าเสิ่นมู่ได้สำรวจพบวิถีที่สูงกว่าไตรภพสู่สวรรค์แล้ว ก่อนที่สติรู้คิดของเขาจะถูกทำลายตายไปกะทันหัน
สาเหตุการตายอันเจาะจงนั้น บางทีคงมีเพียงเสิ่นมู่ที่รู้
และจากวาจาของทัศนาจารย์ เขาสงสัยว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์น่าจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นมู่!
และเป็นเพราะเหตุนั้น เขาจึงรู้แล้วว่าทัศนาจารย์คือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่!
ยามนี้ เหตุที่ซูอี้พาชิงหว่านเดินทางไปสำรวจห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวก็เพื่อหาความจริงในเรื่องนี้
สำหรับซูอี้ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องไปยังหอเก้าสวรรค์
เรื่องนี้มีสามเหตุผล
ประการแรก ชิงหว่านและเทียนฉีน้อยคือคนผู้เดียวกัน ชีวประวัติของนางน่าจะมีความลับอื่นซุกซ่อนอยู่
และนั่นคือผลกรรมที่หอเก้าสวรรค์ ‘ประเคน’ มาให้เขา!
ผลกรรมนี้ต้องถูกสะสาง เว้นเพียงเขาจะมิใส่ใจว่าจะเกิดความโน้มเอียง
ประการที่สอง เจ้าหอเก้าสวรรค์ต้องสงสัยว่าจะรู้อดีตบางอย่างเกี่ยวกับเสิ่นมู่
ในขณะเดียวกัน เสิ่นมู่ก็คืออดีตชาติที่เจ็ดของเขาด้วย
ประการที่สาม เมื่อไม่นานนี้ ยมบาลได้ถูกหอเก้าสวรรค์รับตัวไป และเจ้าหอเก้าสวรรค์ยังประกาศอีกด้วยว่าจะให้ซูอี้มาพบภายในหนึ่งปี
ทว่าซูอี้หารีบร้อนไม่
เขาคาดไว้แล้วว่าดูเหมือนหอเก้าสวรรค์จะพบการเปลี่ยนแปลงบางอย่างและมิอาจอยู่เฉยได้ต่อไป หาไม่ คงไม่มีโอกาสได้พบเขาในหนึ่งปีแน่
“เสิ่นมู่? ขอบังอาจถามคุณชาย ไยจึงใช้นามนี้หรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นถามอย่างนอบน้อม
“เป็นเพียงหนึ่งนามเท่านั้น”
ซูอี้ว่า “ไม่มีอันใดให้เจ้าไปคุยโอ่หรอก”
เมิ่งฉางอวิ๋น “…”
ใบหน้าชราวัยของเขาแดงก่ำ ก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ
“ปรมาจารย์เซียน โลกนี้ยังมีหว่านเอ๋อร์อีกคนอยู่จริง ๆ หรือ?”
ชิงหว่านอดถามไม่ได้
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวเบา ๆ “อย่าห่วงเลย ไม่ว่าที่มาของเจ้าจะเป็นเช่นไร ถือผลกรรมใดไว้ ข้าจะช่วยเจ้าสะสางเอง”
ชิงหว่านส่งเสียงรับอย่างว่าง่าย
ซูอี้กล่าว “หลังจากไปถึงภูมิทมิฬเร้น ให้เจ้าซ่อนในน้ำเต้าปลุกวิญญาณก่อนนะ”
หญิงสาวไม่ได้ถามเหตุผล และทำเพียงพยักหน้าตอบรับ
นี่แหละชิงหว่าน ช่างว่านอนสอนง่าย
เปรี้ยง!
ไกลออกไปในจักรวาลพร่างดาวพลันบังเกิดพายุประกายแสงแห่งกาลเวลาขึ้น ทุกสถานที่ที่เคลื่อนผ่าน ดวงดารามากมายแหลกสลาย แปรเปลี่ยนเป็นเวิ้งอุกกาบาตผุพัง
ภาพอันน่าหวาดหวั่นนี้มากพอจะทำให้จักรพรรดิคนใดรู้สึกพรั่นพรึงได้
นี่คืออันตรายของการเดินทางข้ามจักรวาลพร่างดาว
ระหว่างทาง พวกซูอี้ดูราวละล่องลิ่วผ่านสมุทรดาราอย่างผ่อนคลายสบายใจ ทว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาเผชิญหายนะอันตรายอันเกินคาดเดานับไม่ถ้วนมาตลอดทาง
เช่นพายุประกายแสงแห่งกาลเวลา อากาศบิดเบี้ยว คลื่นดาราผันผวนเป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีสัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัวที่ถือได้ว่าเป็นนักล่าแห่งจักรวาลพร่างดาวปรากฏให้เห็นบ้าง บางตนใหญ่โตเยี่ยงคีรีทิพย์ อ้าปากกลืนกินดาราได้ บ้างก็มาเป็นฝูงเหมือนฝูงตั๊กแตน
ทว่าทั้งหมดนี้ย่อมไม่อาจหยุดซูอี้ได้
เขายังไม่ต้องขยับ เมิ่งฉางอวิ๋นผู้มากประสบการณ์ผู้เดียวก็รับมือเรื่องทั้งหมดนี้ได้แล้ว
ครานี้ก็เช่นกัน
เมื่อเมิ่งฉางอวิ๋นแจวเรือท้องแบน เพียงไม่กี่พริบตา เขาก็หลบเลี่ยงพายุกาลเวลาบ้าคลั่ง ขยับสู่จักรวาลพร่างดาวอันห่างไกล
หนึ่งเดือนต่อมา
ภูมิทมิฬเร้น
นี่คือภูมิที่เก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง
ไกลออกไปจากภูมิทมิฬเร้นหลายหมื่นลี้ มีหนึ่งเขตหวงห้ามพร่างดาวนาม ‘วังวายุเร้นอาสัญ’ อยู่
เมื่อมองจากไกล ๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่าวังวายุเร้นอาสัญนั้นเป็นราวกับม่านทมิฬสายยาวคลี่ออกบนสุญญะ ปกคลุมจักรวาลพร่างดาวทั่วทิศดุจคลื่นวารี
วังวายุเร้นอาสัญ!
เขตหวงห้ามพร่างดาวตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
หากจักรพรรดิคิดข้ามผ่านสถานที่เช่นนี้ มีแต่ตายกับตาย!
ในวังวายุเร้นอาสัญนี้ ไม่ใช่เพียงการฝึกฝนจะถูกกัดกร่อนเท่านั้น แต่ยังมีอันตรายเหลือเชื่ออยู่มากมาย ปั่นป่วนบ่อยหน และมากด้วยหายนะไม่รู้จบ
มีกระทั่งฝูงสัตว์ปีศาจอันตรายยิ่งยวดแห่งจักรวาลพร่างดาวแหวกว่ายในวังวายุเร้นอาสัญดุจฝูงหมาป่ากระหายเลือด
ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิก็ยังมิกล้าบุกเข้าไปง่าย ๆ
เนื่องจากวังวายุเร้นอาสัญนี้ไพศาลอย่างยิ่ง ครอบคลุมพื้นที่ภูมิดารามากมาย ต่อให้ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิจะเรืองอำนาจล้นฟ้าเพียงใด การเข้าไปที่นั่นก็จะยังต้องประสบกับสารพัดหายนะ โอกาสตายมีถึงเก้าจากสิบส่วนอยู่ดี
ยังดี
นานทีปีหน วังวายุเร้นอาสัญจะหยุดนิ่ง และหายนะภยันตรายทั้งหลายจะเงียบหาย
ขอเพียงมียอดฝีมือผู้มากประสบการณ์อยู่ การข้ามมันไปก็ทำได้
ภูมิทมิฬเร้นซึ่งตั้งติดอยู่ด้านข้างของวังวายุเร้นอาสัญจึงกลายเป็น ‘ท่าเรือ’ อันเลื่องชื่อแห่งส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว
นานมาแล้ว ผู้ฝึกตนจากทั่วภูมิดาราในจักรวาลพร่างดาวต้องผ่านภูมิทมิฬเร้นก่อน หากต้องการเข้าสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ภูมิทมิฬเร้นก็กล่าวได้ว่าเป็นจุดพักแห่งจักรวาลพร่างดาวแห่งหนึ่งอย่างแท้จริงได้เช่นกัน
ไม่อาจทราบได้ว่ามีขุมกำลังมากมายเท่าไรกระจัดกระจายกันอยู่ที่นี่ และยังมีหอวาณิชตระหง่านตั้งมากมาย ขนสารพัดวัตถุดิบที่มีค่าทั่วทั้งจักรวาลมาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในภูมิทมิฬเร้น
และนี่ก็ทำให้ภูมิทมิฬเร้นรุ่งเรืองและมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง
วันนี้ พวกซูอี้ล่องเรือท้องแบนมาถึง
เมืองฟ้ากระจ่าง เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในภูมิทมิฬเร้น
เพียงเมืองนี้เมืองเดียวก็กินเนื้อที่กว่าแปดพันลี้!
ขนาดเมืองเช่นนี้เทียบได้กับมหานครในมหาทวีปคังชิง
เมืองฟ้ากระจ่างมีสำนักต่าง ๆ และหอวาณิชหลากหลาย และรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง
จากคำร่ำลือ ว่ากันว่าขุมกำลังใหญ่จากส่วนลึกจักรวาลดวงดาวบางแห่งอยู่เบื้องหลังขุมกำลังสูงสุดบางที่ในเมืองฟ้ากระจ่างนี้!
เพราะเหตุนี้ เมืองฟ้ากระจ่างจึงค่อนข้างสงบเงียบเป็นระเบียบ ปกติแล้วจะไม่มีผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวาย
ทว่า เมื่อมีผู้คนย่อมมีความขัดแย้ง และการฆ่าฟันนองเลือดก็เกิดขึ้นในเมืองฟ้ากระจ่างเป็นครั้งคราว
นี่เป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
หากอยู่พักผ่อนอยู่ที่ส่วนอื่นในภูมิทมิฬเร้น กฎเกณฑ์ระเบียบใดล้วนไม่มีอยู่ สารพัดเรื่องนองเลือดโสมมเกิดขึ้นได้แทบทุกขณะ
กล่าวให้กระชับก็คือ เมืองฟ้ากระจ่างนับได้ว่าเป็นเขตสงบสุขอันหาได้ยากในภูมิทมิฬเร้นนี้
“ศิลาภูมิมหาวิถีสิบชิ้นต่อคน!”
หน้าประตูเมืองฟ้ากระจ่างมีกลุ่มผู้ฝึกตนประจำการอยู่ ไม่ว่าผู้ใดจะเข้าเมืองครั้งแรกก็ล้วนต้องซื้อตั๋วเข้า
แล้วจึงจะได้เข้าออกเมืองฟ้ากระจ่างได้ตามใจ
ศิลาภูมิมหาวิถีที่ว่านี้ถูกหล่อหลอมขึ้นจากชีพจรจิตวิญญาณสูงสุดของภูมิดาราหนึ่ง
สมบัติเหล่านี้เป็นค่าเงินที่ใช้กันในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว คล้ายกับเงินตราในหมู่ปุถุชน
ในมหาแดนดินเองก็มีสมบัติที่ใกล้เคียงกัน แต่น้อยครั้งที่มันจะถูกใช้เป็นค่าเงิน เนื่องจากสมบัติเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิต้องใช้ฝึกฝน
“ศิลาภูมิมหาวิถีสิบชิ้นนี่เทียบได้กับโอสถทิพย์ในขอบเขตจักรพรรดิได้แล้วนะ”
ชิงหว่านพึมพำเบา ๆ และรู้สึกว่าราคาแพงไปหน่อย
ยากจินตนาการได้ว่าเพียงเข้าเมือง ไยต้องคิดราคากันขนาดนี้
“นี่คือด่านคัดกรองคน แยกผู้ฝึกตนธรรมดาออกน่ะ มีเพียงตัวตนผู้มีที่มาและฐานะเหนือธรรมดาเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าเมือง”
เมิ่งฉางอวิ๋นอธิบายพร้อมกับยิ้ม “หากมิใช่เช่นนั้น ไม่ว่าเมืองฟ้ากระจ่างนี้จะใหญ่โตเพียงไร ก็คงไม่อาจรองรับกระแสผู้ฝึกตนที่หลั่งไหลมาจากสารพัดภูมิดาราทั่วจักรวาลได้”
เขากล่าวพลางล้วงศิลาภูมิมหาวิถีออกมาส่วนหนึ่ง ซื้อตั๋วเข้าออกเมืองฟ้ากระจ่างมาสามใบ
“ไปกันเถอะ หาโรงเตี๊ยมเข้าพักกันก่อน”
ซูอี้เอามือไพล่หลัง ก่อนจะเดินเข้าประตูเมืองไป
ตลอดทางก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าวังวายุเร้นอาสัญบนจักรวาลพร่างดาวยังคงเคลื่อนคล้อย ไร้สัญญาณหยุดนิ่งใด ๆ
ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงต้องฆ่าเวลาในภูมิทมิฬเร้นไปก่อน
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ ปราณของเขาก็ถูกสะกดซ่อนถึงขีดสุด หากไม่ลงมือหรือเป็นฝ่ายปลดปราณออกก่อน เกรงว่าทุกคนคงมองเขาเป็นปุถุชนไร้พลังกันหมด กระทั่งราชันแห่งภูมิทั้งหลายยังมิอาจหยั่งปราณเขาได้ง่าย ๆ
ทว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาซิวปลาสร้อยมีตาไร้แววมาก่อกวนได้ ซูอี้จึงยังเผยร่องรอยปราณแห่งขอบเขตจักรพรรดิออกมา
หากทำเช่นนี้ก็พอหลบการต่อสู้เล็กน้อยไปได้บ้าง
เมิ่งฉางอวิ๋นสะกดปราณของตนเองและทำตัวเงียบเชียบ ติดตามซูอี้ดุจบ่าวเฒ่า ก้มหน้าก้มตาเดินตามรอยนายราวกับกลัวล้ำเส้น
ชิงหว่านเป็นจักรพรรดิอยู่แล้ว จึงมิจำเป็นต้องปกปิดใด ๆ
ดังนั้น นับแต่พวกเขาเข้าประตูเมืองมา แม้จะดึงดูดสายตาผู้ฝึกตนมากมาย ทว่าหลังจากสัมผัสปราณบนร่างซูอี้และชิงหว่านได้ ดวงตาเหล่านั้นก็รีบเบือนหลบไป
“คุณชาย ดูสิ”
ทันทีที่พวกเขาเข้าประตูเมืองมา ชิงหว่านพลันอุทานอย่างประหลาดใจ ดวงตาใสกระจ่างลึกล้ำของนางเบิกกว้าง
ซูอี้มองตาม และอดเลิกคิ้วน้อย ๆ มิได้
………………..