บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1226: แตกหัก
ตอนที่ 1226: แตกหัก
ชายชราชุดดำกล่าวเนิบ ๆ “เจ้า… ก็เป็นจักรพรรดิจากภูมิดาราฟ้าดินหรือ?”
เขากระทำการอย่างระมัดระวัง นอกจากจะไม่แปลกใจ ยังสังเกตอีกด้วยว่าซูอี้ไร้ความกลัว จึงรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
เขากล่าวพลางเหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนในชุดขุนนางและหญิงงาม ส่งสัญญาณให้พวกเขาเงียบไปก่อน
สีหน้าของชายชราในชุดคลุมนักพรตเต๋าพลันแปรเปลี่ยน ก่อนกล่าวเร่งว่า “สหายเอ๋ย ข้าแนะนำให้เจ้ารีบหนีไปให้ไว หาไม่ ชีวิตของเจ้าจะเข้ามาพัวพันนะ”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “แค่มดตัวจ้อยสามตัว ข้าล่ะอยากให้พวกเขามีอำนาจพอเป็นภัยต่อข้าจริงแท้ น่าเสียดายที่พวกเขามิอาจทำเช่นนั้นได้”
ชายชราชุดดำ “???”
ใบหน้าของชายวัยกลางคนในชุดขุนนางซีดขาว จากนั้นจึงก้าวออกมาทันที
“มดหรือ? ข้าล่ะอยากรู้นักว่าเจ้ามีคุณสมบัติใดมาทำพูดอวดเก่ง!”
ทันทีที่วาจามาดร้ายสิ้นคำ ชายวัยกลางคนในชุดขุนนางก็ตวัดมีดฟันลงมา
ตู้ม!
อสนีบาตดุจคลื่นน้ำตก ปราณมีดดุดันป่าเถื่อน
“ระวัง!”
หัวใจของชายชราในชุดนักพรตเต๋าบีบตัว อยากขยับตัวไปช่วยเหลือเกิน
ทว่าใครเล่าจะคาดว่าบ่าของเขาจะถูกกดลง มิอาจขยับตัวได้เลย
ขณะเดียวกัน เขาก็เห็นว่าดวงตาของชายหนุ่มชุดเขียววูบไหว ก่อนจะดีดนิ้ว
เปรี้ยง!
ปราณมีดจากการฟาดฟันดุเดือดสลายหายไป ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงพร่างพรม
ไกลออกไป ร่างของชายวัยกลางคนในชุดขุนนางพลันระเบิดแหลกเละ
เพียงหนึ่งดีดนิ้วเรียบง่าย เขากลับสังหารจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบได้!
ผู้ชมต่างเงียบเหมือนตาย
ไร้วจีใด ๆ
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงค้าง แทบสงสัยว่าฝันไปหรือไม่
นี่… เขาเรียกกันว่าพิพากษาโทษประหารพริบตาหรือ?
หยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของชายชราชุดดำและหญิงงาม สีหน้าของทั้งสองคนแข็งค้าง ดูราวถูกอสนีบาตฟาด มีเพียงความคิดเดียวในใจ…
เตะถูกแผ่นเหล็ก!
มีดศึกอสนีบาตร่วงลงพื้นดังเคร้ง
หญิงสาวโฉมงามตื่นตระหนกหันหลังวิ่งหนี
ซูอี้ดีดนิ้ว
เป๊าะ!
ร่างของสตรีโฉมงามราวกับแมลงที่ติดใยแมงมุม มิอาจขยับได้แม้เพียงนิด
เคล็ดพลังเร้นลับต้องห้าม
หนึ่งในกฎสวรรค์สูงสุดจากภูมิดาราฟ้าดิน
ด้วยเคล็ดวิถีนี้ เพียงหนึ่งคำนึงก็สามารถเปลี่ยนฟ้าดินเป็นกรงขังจองจำสรรพสิ่ง ผนึกทุกจิตวิญญาณได้!
ต่อให้ใช้เคล็ดวิชาย้ายมิติก็ยังหนีไม่พ้น
“จ… เจ้า… เป็นใครกันแน่!?”
สตรีโฉมงามกรีดเสียงร้อง ใบหน้างดงามซีดขาวด้วยความกลัว
ชายชราชุดดำกลืนน้ำลายเอื๊อกอย่างยากลำบาก มือเท้าเย็นเฉียบ
ยามนี้ มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งดูจะมีเพียงปราณในขอบเขตจักรพรรดิ ที่แท้ก็คือตัวตนอันน่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง?
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินจึงถูกหมายหัว?”
ซูอี้ถาม
สตรีโฉมงามตัวสั่น “ข้าไม่รู้ ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ ข้าไม่รู้จริง ๆ…”
เปรี้ยง!
ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นเถ้าสลายหายไป
“แล้วเจ้าเล่า?”
ซูอี้หันไปมองชายชราชุดดำ
ยามนี้ ชายชราชุดดำใกล้สติแตก เขาขู่ลอดไรฟัน “สหาย เรามาจากหอเมฆาเคลื่อน หากฆ่าเรา มิกลัว…”
ซูอี้แค่นเสียง “ดูเหมือนเจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
เขาโบกแขนเสื้อ
เปรี้ยง!
ภาพนี้ทำให้ชายชราในชุดนักพรตเต๋าอดขยี้ตาโดยไม่ตั้งใจมิได้ และยามนี้เขาจึงกล้าแน่ใจว่าสิ่งที่เห็นและสัมผัสหาใช่ภาพลวงไม่ แต่เป็นความจริง!
พริบตานั้น สีหน้าของเขาก็แสนตื่นเต้นและดูราวอยู่ในภวังค์
ขณะเสสรวลสนทนา สามจักรพรรดิมลายหาย!
ต้องมีการฝึกฝนร้ายกาจเพียงใดจึงได้มีอำนาจสูงส่งเพียงนี้?
“ไป หาที่คุยกันเถอะ”
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ก่อนเดินจากไปไกล
ชิงหว่านติดตามเบื้องหลังอย่างว่าง่าย
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงค้าง ก่อนจะรีบร้อนตามไป
“ตาเฒ่าไม่เอาไหนเยว่ขุยจู่จากแดนลี้ลับขั้นเก้าแห่งมหาแดนดินขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต!”
ซูอี้กล่าวอย่างเหม่อลอย “ความเมตตานี้เพราะเห็นแก่หน้าบรรพชนของสำนักเจ้า”
หัวใจของชายชราในชุดนักพรตเต๋าเต้นกระตุก “ขอบังอาจถามผู้อาวุโส ท่านรู้จักกับบรรพชนของสำนักข้าหรือ?”
ซูอี้พยักหน้าโดยไร้คำอธิบาย
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่เต็มใจจะสาธยาย ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็มิกล้าถามอีก
แต่ทันใดนั้น เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ผู้อาวุโส หอเมฆาเคลื่อนคือหนึ่งในขุมกำลังสูงสุดของเมืองฟ้ากระจ่าง และสงสัยว่าจะมีขุมกำลังใหญ่แห่งห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวบางแห่งอยู่เบื้องหลังด้วย เราควร… หนีไปก่อนหรือไม่?”
ซูอี้เดินไปบนถนนอย่างไม่สะทกสะท้าน สองมือไพล่หลัง ดูไม่กลัวการล้างแค้นเอาคืนใด ๆ!
“อย่าห่วงเลย”
ซูอี้กล่าว “พวกเขาต่างหากที่ควรกังวล”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋า “…”
หัวใจของเขาสับสนมากขึ้นทุกขณะ ผู้อาวุโสตรงหน้าเขาผู้นี้แกร่งกล้ามาจากไหนกัน กระทั่งหอเมฆาเคลื่อนยังไม่อยู่ในสายตา?
ในขณะที่ความคิดของชายชราในชุดนักพรตเต๋ากำลังฟุ้งซ่าน เสียงของซูอี้ก็ดังกระทบโสต “จะว่าไป โรงเตี๊ยมใดเลิศล้ำที่สุดในเมืองนี้?”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตอบอย่างเผลอไผล “หอสมปรารถนา!”
“ได้ เจ้านำทางไปที่นั่นที”
ซูอี้สั่งการ
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าลอบกัดฟัน ตัดสินใจเด็ดขาดและกล่าวออกมาโดยไม่คิดใดอื่น “ผู้อาวุโสโปรดตามข้ามา”
ไม่นานนัก ร่างของพวกเขาก็หายลับไปในถนนอันพลุกพล่าน
และที่ใกล้กับประตูเมือง การตกตายของจักรพรรดิทั้งสามคน ทั้งชายชราชุดดำ ชายวัยกลางคนในชุดขุนนาง และสตรีผู้งดงามก็ก่อให้เกิดความตกตะลึง
ข่าวถูกแพร่ออกไปทันที
หอเมฆาเคลื่อน
ในตำหนักอันหรูหราวิจิตรแห่งหนึ่ง
“เรียนใต้เท้า ถูไป่ซาน หย่งเหอ และฮูหยินอิ๋งฮวา คนของเราถูกสังหารสิ้นแล้วขอรับ”
“จักรพรรดิยี่สิบหกคนจากภูมิดาราฟ้าดินที่ถูกแขวนบนถนนต่างถูกช่วยไปหมดแล้วขอรับ”
“ผู้ลงมือสังหารเป็นจักรพรรดิผู้ดูเยาว์วัย เรากำลังเตรียมกำลังคนสืบหาตัวตนของคนผู้นี้ขอรับ”
ชายชุดสีเงินผู้หนึ่งรีบรายงาน
ในโถงตำหนัก พรมแดงลาดยาวบนพื้น ตะเกียงกำยานโชยควันละล่องฟุ้ง
ณ เก้าอี้ประธานมีชายหัวล้านในชุดแดงนั่งอยู่ ใบหน้าดูหล่อเหลาอย่างประหลาด
เมื่อได้ยินข่าว เขาก็หยิบถ้วยชาขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน “ผู้ลงมือฆ่ายามนี้หนีไปหนใดแล้ว?”
ชายชุดสีเงินส่ายหน้า “เรียนใต้เท้า ผู้สังหาร… ไม่ได้หนีขอรับ”
“หือ?”
ชายหัวล้านชุดแดงตะลึงอึ้ง วางถ้วยชาลงช้า ๆ และถามกระซิบ “คนผู้นี้ชั่วช้านัก! กล้าฆ่าคนในเมืองฟ้ากระจ่างกลางถนน และยังมิหลบหนีอีก คนเช่นนี้ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่!”
“ทุกวันนี้มีจักรพรรดิใต้บัญชาเรามากมายเพียงไร?”
ชายหัวล้านชุดแดงถาม
ชายชุดสีเงินรีบกล่าว “ทั้งหมดสี่สิบเก้าคนขอรับ ในจำนวนนี้ ครึ่งหนึ่งร่อนเร่อยู่ ณ จุดอื่นในภูมิทมิฬเร้น และมีเพียงสิบแปดคนเท่านั้นที่ประจำการในเมืองขอรับ”
“นั่นยังไม่พอ”
ชายหัวล้านชุดแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “จากที่เจ้าว่า ผู้ลงมือสังหารสามารถฆ่าพวกถูไป่ซานทั้งสามลงได้โดยง่าย เขาต้องเป็นตัวตนอันแข็งแกร่งสุดขั้วเป็นแน่ และยังกล้าฆ่าคนโดยไม่หลบหนี ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ…”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ตัดสินใจ หยิบป้ายตราสีมองออกมาโยนให้ “เจ้านำตรานี้ไปติดต่อพรรคบงกชทมิฬ ลัทธิจักรวาล และสำนักพันอสูรมารเสีย”
“บอกพวกเขาไปว่าข้าต้องการให้พวกเขาแต่ละฝ่ายส่งจักรพรรดิกลุ่มหนึ่ง ห้ามน้อยไปกว่าสามสิบคนต่อฝ่าย! และต้องไม่อ่อนแอไปกว่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!”
“นอกจากนั้น ส่งคนไปหาที่อยู่และรายละเอียดของผู้สังหารนั่นด้วย ก่อนตกค่ำ เรื่องนี้ต้องเรียบร้อย!”
ท้ายที่สุด ดวงตาของชายหัวล้านชุดแดงก็วาววับแดงฉานด้วยจิตสังหารอย่างพิลึก
“ใต้เท้า นี่… ดูจะเกินไป…”
ชายชุดสีเงินลังเล
“ขี่ช้างจับตั๊กแตนหรือ? ไม่ ศัตรูหนนี้หาธรรมดาไม่ นอกจากนั้นยังถือได้ว่าเป็นการเขย่าภูสะท้านพยัคฆ์ ผู้ใดที่ล่วงเกินหอเมฆาเคลื่อนต้องไม่รอดชีวิต!”
ชายหัวล้านชุดแดงกล่าวพลางหยิบกาน้ำชาขึ้น เชิดหัวกระดกดื่มรวดเดียวหมด
“ขอรับ!”
ชายชุดสีเงินถอยจากไป
…
หอสมปรารถนาสูงหลายพันจั้ง เก่าแก่โบราณ เป็นที่รู้จักในนามแหล่งเริงรมณ์อันดับหนึ่งในเมืองฟ้ากระจ่าง
กระทั่งจักรพรรดิทั่วไปยังยากจะจ่ายค่าพักแรมในหอสมปรารถนาได้
ซูอี้ย่อมไม่ขัดสนเงินตรา
เขาไล่ล่าตัวตนระดับราชันแห่งภูมิในสมุทรฮุ่นตุ้นมามากมาย อย่าว่าแต่สิ่งอื่นใด เพียงจำนวนศิลาภูมิมหาวิถีก็มากโข
และเมื่อเขาสามารถใช้ชีวิตสุขสบายได้ ซูอี้ย่อมมิยอมลำบาก
ดังนั้น เขาจึงจ่ายราคาสามพันศิลาภูมิมหาวิถี ขอเข้าใช้ห้องพักที่ดีที่สุด
เก้าแก่เนี้ยหอสมปรารถนาเป็นหญิงงามผู้เปี่ยมเสน่ห์แบบผู้ใหญ่ เอวคอดบาง อกตั้งตระหง่าน จุดโค้งเว้าเข้าที่งดงาม
ทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่างาม เจือเสน่ห์ประจบประแจงแต่พองาม
เมื่อเผชิญกับแขกทุนหนาเช่นซูอี้ เถ้าแก่เนี้ยผู้มีสีหน้ายิ้มแย้ม ส่งพวกซูอี้ไปถึงห้องด้วยตนเอง กิริยาวาจาเหมาะสม อบอุ่นเยี่ยงสายลมยามวสันต์
“สตรีผู้นี้คือตัวตนไร้ปรานี กินคนมิคายกระดูก”
หลังเถ้าแก่เนี้ยจากไป ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็วิจารณ์
ซูอี้หาออกความเห็นไม่
เขานั่งเอกเขนกอยู่บนฟูกแสนนุ่มสบาย จากนั้นหยิบไหสุราออกมาพักผ่อนสบายอุรา
ชิงหว่านสวมอาภรณ์แดง งดงามสะกดสายตา ยืนนวดไหล่นวดคออยู่เบื้องหลังซูอี้ด้วยคู่หัตถ์หยก ทำให้เขาปรือตาลงอย่างแสนสบาย
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าอดชะงักนิ่งมิได้
หากไม่ได้เห็นกับตา เขาคงสงสัยนักว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จะเป็นสุภาพบุรุษเจ้าสำราญหรือไม่
ช่างแสนดื่มด่ำกับชีวิตนัก!
“บอกที ไยเจ้าจึงเสี่ยงชีวิตช่วยคนเหล่านั้น?”
ซูอี้ถามเนิบ ๆ
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าทิ้งความคิดฟุ้งซ่าน แล้วจึงอธิบายเรื่องราวโดยพลัน
อันที่จริง เหตุผลนั้นหาได้ซับซ้อนไม่ ในหมู่จักรพรรดิที่ถูกแขวนประจานบนถนน หนึ่งในนั้นคือสหายรักร่วมเป็นร่วมตายของเขา
ด้วยเหตุนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋าจึงเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยเหลือ
ไม่นานนัก ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็กล่าวถึงหอเมฆาเคลื่อนอีกครั้ง
ตามคำพูดของเขา จักรพรรดิทั้งสามคนที่ซูอี้ฆ่าไปวันนี้น่าจะเป็นตัวตนซึ่งทำงานรับใช้ แต่มิใช่ยอดฝีมือของหอเมฆาเคลื่อน
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วไปในภูมิทมิฬเร้น
นานมาแล้ว มีจักรพรรดิมากมายในจักรวาลพร่างดาว และเพื่อเข้าสู่ห้วงลึกแห่งจักรวาล พวกเขาส่วนใหญ่ก็จะเลือกทำงานรับใช้ขุมกำลังสูงสุดเยี่ยงหอเมฆาเคลื่อน
หากทำผลงานเป็นที่ชื่นชอบได้ บางทีเขาอาจได้รับกระทั่งโอกาสฝากฝังสู่ขุมอำนาจสูงสุดในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว ณ ภายหน้าก็เป็นได้!
เหตุใดจักรพรรดิจึงเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว?
สรุปได้เพียงสองพยางค์ นั่นก็คือ ‘ฝึกฝน!’
หากได้รับการแนะนำจากหอเมฆาเคลื่อนย่อมได้รับความดีความชอบและการยอมรับจากขุมกำลังใหญ่จากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวได้อย่างง่ายดาย!
เพราะเหตุนี้ หอเมฆาเคลื่อนจึงมีจักรพรรดิมากมายคอยรับใช้
ขุมกำลังสูงสุดอื่น ๆ ในเมืองฟ้ากระจ่างก็หาต่างออกไปไม่
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดหัวเราะมิได้ “หอเมฆาเคลื่อนอันใด ก็แค่กลุ่มปลิงเกาะชาวบ้านกินแท้ ๆ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าถอนใจด้วยสีหน้าซับซ้อน “มันคือความจนหนทางของผู้ฝึกตนเช่นข้า เพื่อเข้าค้นหาวิถีที่สูงกว่าในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว เราจึงทำได้เพียงต้องดิ้นรนหาโอกาสเช่นนี้”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
เขาเข้าใจเรื่องนี้
ตลอดมา ไยจักรพรรดิจากมหาแดนดินจึงไม่ทำเช่นนี้?
วิถีสู่สวรรค์อันตรธาน และทำได้เพียงต้องออกเสาะแสวงโอกาสเลื่อนขอบเขตในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
ทว่าจักรพรรดิส่วนใหญ่ระหว่างออกแสวงโชคในจักรวาลพร่างดาวมักบาดเจ็บตกตายก่อนจะถึงห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวด้วยซ้ำไป
ดังนั้น สำหรับเหล่าจักรพรรดิผู้ออกเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านี้ หากสามารถฉกฉวยโอกาสในภูมิทมิฬเร้นได้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธลง
ไม่นานนัก เมิ่งฉางอวิ๋นก็กลับมาพร้อมข่าวบางอย่างเกี่ยวกับหอเมฆาเคลื่อน
ทุกสิ่งล้วนคล้ายคลึงกับวาจาของชายชราในชุดนักพรตเต๋า ไร้ข้อมูลมีค่าใด ๆ
เมื่อรู้ว่าเขาเสียเวลาเปล่า เมิ่งฉางอวิ๋นก็หารำคาญใจไม่ แต่กลับละอาย “ตาเฒ่าผู้น้อยไร้สามารถ ทำให้คุณชายผิดหวัง… ตาเฒ่าผู้น้อยควรไปเยือนหอเมฆาเคลื่อนด้วยตนเองสักหนหรือไม่ขอรับ?”
วิถีสู่สวรรค์อันตรธาน และทำได้เพียงต้องออกเสาะแสวงโอกาสเลื่อนขอบเขตในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
ทว่าจักรพรรดิส่วนใหญ่ระหว่างออกแสวงโชคในจักรวาลพร่างดาวมักบาดเจ็บตกตายก่อนจะถึงห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวด้วยซ้ำไป
ดังนั้น สำหรับเหล่าจักรพรรดิผู้ออกเดินทางสู่ห้วงลึกจักรวาลพร่างดาวเหล่านี้ หากสามารถฉกฉวยโอกาสในภูมิทมิฬเร้นได้ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดปฏิเสธลง
ไม่นานนัก เมิ่งฉางอวิ๋นก็กลับมาพร้อมข่าวบางอย่างเกี่ยวกับหอเมฆาเคลื่อน
ทุกสิ่งล้วนคล้ายคลึงกับวาจาของชายชราในชุดนักพรตเต๋า ไร้ข้อมูลมีค่าใด ๆ
เมื่อรู้ว่าเขาเสียเวลาเปล่า เมิ่งฉางอวิ๋นก็หารำคาญใจไม่ แต่กลับละอาย “ตาเฒ่าผู้น้อยไร้สามารถ ทำให้คุณชายผิดหวัง… ตาเฒ่าผู้น้อยควรไปเยือนหอเมฆาเคลื่อนด้วยตนเองสักหนหรือไม่ขอรับ?”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็อดประหลาดใจไม่ได้ หรือบ่าวเฒ่าผู้ดูไร้พิษสงนี้จะเป็นยอดฝีมือผู้เร้นกายล้ำลึก?
หาไม่ มีหรือจะกล้าขอเดินทางไปยังหอเมฆาเคลื่อนด้วยตนเอง?
ซูอี้โบกมือว่า “ไม่ต้องหรอก หากไร้อุบัติเหตุใด ๆ ไม่นานพวกเขาจะมาหาเราถึงที่เอง”
ใบหน้าของเมิ่งฉางอวิ๋นปรากฏความเย็นชา “คุณชาย ปล่อยเรื่องจิ๊บจ๊อยเหล่านี้ให้ตาเฒ่าผู้น้อยจัดการเถอะขอรับ อย่าได้เปรอะเปื้อนมือท่านเลย!”
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เมิ่งฉางอวิ๋นก็กล่าวเสริม “พวกเขา… หาคู่ควรตายด้วยมือท่านไม่!”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋า “??? ”
บ่าวเฒ่าผู้นี้… ช่างระห่ำนัก!
ส่วนชิงหว่าน นางชาชินกับเรื่องแบบนี้แสนนาน
หญิงสาวสงวนวาจาท่าทีตลอดมา หัตถ์น้อยขาวเนียนดุจหิมะบีบนวดคอและไหล่ของซูอี้ สีหน้านุ่มนวลอ่อนหวาน
ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เมิ่งฉางอวิ๋นไปเปิดประตูด้วยตนเอง และที่หน้าประตูก็มีเถ้าแก่เนี้ยคนงาม
ทว่ายามนี้ ใบหน้างดงามของเถ้าแก่เนี้ยกลับเย็นชามืดหม่น แตกต่างจากรอยยิ้มยามรับรองซูอี้ก่อนหน้านี้มิเหลือเค้าเดิม
หลังเดินเข้ามา นางก็กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าปฏิบัติกับพวกเจ้าเยี่ยงแขกผู้มีเกียรติ แต่ปรากฏว่าพวกเจ้าแค่ก่อเรื่องแล้วมาหลบภัยที่หอสมปรารถนาของข้า!”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเพียงใช้จ่ายเปิดห้อง จะทำให้หอสมปรารถนาของข้าคุ้มกัน เป็นศัตรูกับหอเมฆาเคลื่อน? ฝันเฟื่องถึงจันทราหรือไร!”
น้ำเสียงของนางแดกดันกรุ่นโกรธ
กล่าวจบนางก็ชี้นิ้วที่ประตู กล่าววาจาชัดถ้อย “สำเหนียกตนแล้วออกไปเดี๋ยวนี้!”
และเบื้องหลังเถ้าแก่เนี้ย กลุ่มยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบ ๆ มองเข้ามาในห้องอย่างเย็นชา
ข่มขู่มาดร้ายสารพัด
………………..