บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1228: หนทางต่างระดับ ชักมีดออกช่วยเหลือ
ตอนที่ 1228: หนทางต่างระดับ ชักมีดออกช่วยเหลือ
หอเมฆาเคลื่อนประจำการในตำหนักใหญ่ซึ่งมีพื้นที่ร้อยหมู่*[1]
ยามนี้ในตำหนักทองกำลังมีงานเลี้ยงสุราอย่างหรูหรา
ชายหัวล้านชุดแดงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตำแหน่งประธาน
เขาคือประมุขหอเมฆาเคลื่อน มีนามว่าเถี่ยอิง
“มา ข้าขอดื่มฉลองให้ทุกท่านก่อน ขอบคุณที่ช่วยหอเมฆาเคลื่อนของข้าสังหารศัตรู!”
เถี่ยอิงดื่มฉลองด้วยรอยยิ้ม
ผู้ที่เข้าร่วมเลี้ยงฉลองในครานี้คือสามขุมกำลังสูงสุดอย่างพรรคบงกชทมิฬ ลัทธิจักรวาลและสำนักพันอสูรมาร ขอเพียงพวกเขาสักฝ่ายออกมากระทืบเท้า ภูมิทมิฬเร้นก็สามารถสะท้านเคลื่อนได้สามหน
“สหายเต๋าเถี่ยไม่ต้องเกรงใจ มีผู้กล้าสังหารจักรพรรดิจากหอเมฆาเคลื่อนของเจ้ากลางเมือง นี่มันไร้ระเบียบโดยแท้ และต้องถูกกำจัดโดยเร็วที่สุด”
เว่ยซ่างฉี ผู้เป็นประมุขพรรคบงกชทมิฬกล่าวยิ้ม ๆ
เขาสวมมงกุฎสูง อาภรณ์โบราณ หนวดเคราเช่นกิ่งหลิว และเป็นจักรพรรดิขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย
“เนิ่นนานมาแล้ว มีหรือจะเกิดเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ในเมืองฟ้ากระจ่าง? เราย่อมต้องลงมือสถานหนัก สังหารให้สิ้นในรวดเดียว”
อวี๋เฟิง เจ้าลัทธิจักรวาลกล่าวเนิบ ๆ
เขามีรูปร่างผอม เบ้าตาโหล สีหน้าแข็งกร้าวดูเย็นชา
“สหายเต๋าเถี่ยพอทราบรายละเอียดของอีกฝ่ายแล้วหรือไม่?”
เจ้าสำนักพันอสูรมารจูจิ้นม่อกล่าวขึ้น
เขาสวมอาภรณ์สีน้ำเงิน รูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่ม ทว่าการฝึกฝนของเขาสูงสุดในหมู่พวกเขา ซึ่งอยู่ในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบ
เหลือเพียงก้าวเดียว เขาก็จะเลื่อนขอบเขตเป็นราชันแห่งภูมิ
“หนึ่งจักรพรรดิผู้จู่ ๆ ก็โผล่มาจากหนใดมิอาจทราบ ความแข็งแกร่งสูงล้ำยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ข้าคงไม่ขอให้พวกท่านส่งยอดฝีมือมาช่วย”
เถี่ยอิงกล่าวยิ้ม ๆ “ทว่ายามนี้ เราส่งจักรพรรดิไปร้อยกว่าคน มันเป็นเรื่องที่มิเคยเกิดมาก่อน เว้นแต่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันแห่งภูมิจะลงมือ การจัดทัพเช่นนี้สามารถกวาดล้างภูมิทมิฬเร้นได้เลย”
เขายกจอกสุราขึ้น “มา ข้าขอดื่มฉลองให้พวกท่านอีกครั้ง เมื่อเรื่องวันนี้จบลง คนแซ่เถี่ย…”
ทันทีที่เขาพูดถึงจุดนี้ เสียงกรีดร้องราวร่ำไห้ก็โหยหวนออกมาจากนอกโถงตำหนัก
“แย่แล้วใต้เท้า! คนของเราทั้งหมด… ตายเกลี้ยงเลยขอรับ!!”
ด้วยวาจานั้น บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งก็คุกเข่าลงหน้าโถงหลักอย่างโศกาและหมดอาลัย
บรรยากาศชื่นมื่นในโถงตำหนักพลันเงียบกริบ
เหล่าคนใหญ่คนโตที่เพิ่งสรวลเสเฮฮาต่างหยุดการเคลื่อนไหว สีหน้าล้วนประหลาดใจ
ตาย… เกลี้ยงเลย!?
นี่หมายความเช่นไร?
คิ้วของเถี่ยอิงขมวดเข้าหากัน ดวงตาวูบไหวเย็นเยียบแดงฉาน ก่อนกล่าวตำหนิ “เจ้าเป็นอันใด ฟ้ามิได้ถล่มแต่กลับแตกตื่นฟูมฟาย ยืนขึ้นพูดดี ๆ!”
บ่าวเฒ่ารีบลุกขึ้น ร่างสั่นงันงกขณะรายงานเสียงสั่น “ใต้เท้า จักรพรรดิร้อยสิบสามคนที่เราส่งไป ทุกคนล้วนตายอนาถตรงหน้าหอสมปรารถนาขอรับ…”
ตู้ม!
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เถี่ยอิง เว่ยซ่างฉี อวี๋เฟิง และจูจิ้นม่อ สี่ประมุขแห่งขุมกำลังสูงสุดในเมืองฟ้ากระจ่างล้วนตะลึงอึ้งราวถูกอสนีบาตฟาดใส่
จักรพรรดิร้อยกว่าคนตายหมด!?
ควรค่าแก่การจดจำว่าปฏิบัติการนี้เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อไม่ถึงครึ่งเสี้ยวชั่วยามก่อน และงานเลี้ยงก็เพิ่งเริ่มต้นเมื่อครู่
พวกเขากำลังดื่มเลี้ยงฉลองระหว่างรอฟังข่าวดี
ใครเล่าจะคิดว่าข่าวที่รออยู่จะกลายเป็นเรื่องน่าตกใจ!
“จบเห่แล้ว ครานี้เกรงว่าเราคงไปกระตุกหนวดมังกรข้ามธารให้เสียแล้ว!”
มือเท้าของประมุขพรรคบงกชทมิฬเย็นเฉียบ ใบหน้ามิสู้ดี
จักรพรรดิร้อยกว่าคนตายเรียบ!
กระทั่งทำให้ทุกคนสายเกินกว่าจะหนี!
“สหายเต๋าเถี่ย เจ้าพยายามฆ่าเราหรือไร!”
อวี๋เฟิงจากลัทธิจักรวาลโกรธจนขว้างจอกสุราลงพื้น
“ข้า…”
เถี่ยอิงเองก็ตะลึงอึ้ง เตรียมอธิบายบางอย่าง
จูจิ้นม่อแห่งสำนักพันอสูรมารกล่าวเสียงลุ่มลึก “ทุกท่าน เรื่องเกิดขึ้นแล้ว เรื่องด่วนที่สุด ณ ขณะนี้คือต้องลงมือให้ไว อย่างน้อย… ก็ต้องเอาตัวรอดกันให้ได้ก่อนนะ!”
เขาว่าพลางลุกขึ้นและเดินออกไปนอกโถงตำหนัก
ทว่ายามนี้ หนึ่งเสียงเฉยชาพลันดังออกมาจากนอกโถง
“ที่นี่ไม่เลวเลย หว่านเอ๋อร์ เราพักที่นี่ก่อนดีหรือไม่?”
สิ้นคำ เสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งก็ตอบกลับ “หว่านเอ๋อร์จะทำตามความคิดคุณชายเจ้าค่ะ”
ทุกคนล้วนเลิกคิ้วโดยไม่รู้ตัว
และต่างพบว่านอกโถงตำหนัก มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ทราบว่าโผล่มาแต่ยามใด
ผู้นำคือชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่ง ติดตามด้วยหญิงสาวในอาภรณ์แดงผู้งดงามดุจภาพวาด
เบื้องหลังพวกเขามีชายชราผู้ดูเหมือนบ่าวเฒ่า และชายชราในชุดนักพรตเต๋าร่างชุ่มเลือด
ย่อมไม่แคล้วเป็นคณะของซูอี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ จูจิ้นม่อผู้เดินออกมานอกโถงตะลึงในใจ ขณะลอบคิดว่าแย่แล้ว
เขาแสร้งทำเป็นใจเย็น หันหลังกลับ ตั้งใจหลีกเลี่ยงคนแปลกหน้าที่เพิ่งปรากฏขึ้นกะทันหันกลุ่มนี้
“หยุด”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างเฉยชา
หัวใจของจูจิ้นม่อใจสั่น ทว่าเขายิ่งหนีเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนมิติทันที!
เปรี้ยง!
ทว่าอึดใจต่อมา ร่างของเขาก็ถูกกดกระแทกลงที่พื้น
ผืนปฐพีแยกร้าวพังทลาย
พืชพรรณบุปผารอบข้างแหลกลาญ ดินโคลนกระฉอกกระเซ็น
เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเถี่ยอิงที่อยู่ในโถงตำหนักก็อดอ้าปากค้างมิได้ มันจบแล้ว ครานี้ ศัตรูมาหาถึงหน้าบ้านแล้ว!
ซูอี้ออกคำสั่ง “เรายังต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่สักพัก อย่าทำลายที่นี่เล่า”
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบประจบด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าเมิ่งผู้น้อยผิดไปแล้ว ข้าจะทำความสะอาดที่นี่ในภายหลังเองขอรับ”
“ข้าน้อยจูจิ้นม่อ ประมุขพรรคบงกชทมิฬ กระทำการภายใต้บรรพตหลอมหมื่นมารจาก ‘ภูมิดาราหมอกละล่อง’ มาโดยตลอด ขอผู้อาวุโสปรานีไว้ชีวิตด้วย!”
จูจิ้นม่อกล่าวอย่างหวาดกลัว
“ภูมิดาราหมอกละล่อง?”
ซูอี้คิดสักพักและกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าขุมกำลังสูงสุดในภูมิดาราหมอกละล่องคือ ‘โรงดาบเมฆาเขียว’ นี่ บรรพตหลอมหมื่นมารเทียบอันใดได้กับโรงดาบเมฆาเขียวหรือ?”
จูจิ้นม่อชะงักค้าง ก้มหัวลงกล่าว “ไม่… เทียบกันมิได้เลยขอรับ…”
ซูอี้ส่งเสียงรับและหมดความสนใจไปในทันที
ห้วงลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวไพศาลไร้ขอบเขต มีภูมิดาราอยู่นับร้อยพัน
ภูมิดาราหมอกละล่องนี้ตั้งอยู่ในบริเวณรอบนอก และในเชิงภูมิหลังกับอิทธิพลขุมกำลังฝึกฝนยังห่างไกลเกินเทียบได้กับภูมิดาราสูงสุดทั้งสิบ
ส่วนขุมกำลังสูงสุดแห่งภูมิดาราหมอกละล่อง โรงดาบเมฆาเขียวนี้ มองได้เพียงเป็นขุมกำลังชั้นหนึ่งซึ่งมีรากฐานเก่าแก่โบราณเท่านั้น
อย่างมากในสำนักก็จะมีราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญสักคนสองคนคอยดูแล
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งจากโรงดาบเมฆาเขียวหรือ?”
เถี่ยอิงอดถามไม่ได้
“พูดมาก!”
เมิ่งฉางอวิ๋นแค่นเสียงอย่างเย็นชา ยกมือขึ้นกดลง
เปรี้ยง!
เถี่ยอิงเข่าทรุดลงคุกเข่ากับพื้นอย่างแรง กระดูกสะบ้าแหลกเลือดทะลัก ริมฝีปากอดเปล่งเสียงอู้อี้อย่างเจ็บปวดมิได้
เขาหน้าซีดด้วยความตกใจ
คนอื่น ๆ เองก็ตกใจไม่แพ้กัน ‘แข็งแกร่งยิ่งนัก!’
เถี่ยอิงคือประมุขหอเมฆาเคลื่อน ที่ผ่านมา เขาก็เหมือนเป็นผู้นำภูมิทมิฬเร้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกิน
ทว่ายามนี้ เขากลับถูกปราบลงอย่างง่าย ๆ!
เมื่อเห็นสภาพน่าเวทนาของจูจิ้นม่อ ผู้มีอำนาจอีกสองคน อวี๋เฟิงและเว่ยซ่างฉีล้วนตัวสั่นงันงกเกินห้าม
“มีใครบอกข้าได้บ้าง ว่าเหตุใดในปีนี้ พวกเจ้าจึงมาล่าผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดิน?”
ซูอี้ถาม
สายตาของคนทั้งหลายต่างเหลือบไปทางเถี่ยอิงที่คุกเข่าอยู่โดยมิได้นัดหมาย
หน้าผากของเถี่ยอิงชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ “เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยเองก็ได้รับคำสั่งลงมือมาจากสำนักเต๋ารุ้งเมฆา ณ ‘ภูมิดาราเจ็ดดาวฤกษ์’ มาขอรับ”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
ภูมิดาราเจ็ดดาวฤกษ์นั้นยิ่งใหญ่พอจะอยู่ในภูมิดาราโบราณสิบอันดับแรกในส่วนลึกจักรวาลดารา
และโรงวาดฤทัยก็เป็นนายเหนือของภูมิดาราเจ็ดดาวฤกษ์!
ส่วนสำนักเต๋ารุ้งเมฆานั้น…
ซูอี้พยายามนึกแล้วนึกอีก และในที่สุดก็จำได้ว่ายามต่อสู้ในศึกทะเลดาวตก มีกลุ่มยอดฝีมือที่ทำงานให้โรงวาดฤทัยปรากฏขึ้น
ในหมู่ยอดฝีมือเหล่านั้น มีราชันแห่งภูมิผู้หนึ่งซึ่งดูจะมาจากสำนักเต๋ารุ้งเมฆา
ทว่ายามนั้นมีคนมากมายเดินไป และซูอี้หาให้ความสนใจไม่ เขาเลยจำมันมิได้ในคราแรก
“แม้เรื่องนี้จะเป็นฝีมือของสำนักเต๋ารุ้งเมฆา แต่มันย่อมแยกกับโรงวาดฤทัยมิได้”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
ยามจบศึกเหนือทะเลดาวตกเมื่อปีก่อน พลันเกิดคำสั่งไล่ล่าสังหารผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินขึ้นในภูมิทมิฬเร้น
นี่ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ
กล่าวอีกนัยคือ เป็นไปได้สูงมากว่ายามโรงวาดฤทัยพ่ายแพ้ พวกเขาได้มาระบายโทสะลงกับผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดิน!
‘จิตรกรไม่ได้โผล่มา โรงวาดฤทัยไร้ร่องรอย มิกล้าแก้แค้นกับข้า แต่เอามาลงกับผู้บริสุทธิ์ น่ารังเกียจจริง ๆ’
เมื่อซูอี้คิดเช่นนี้ เขาก็ถามอีกครั้ง “ปกติแล้ว เจ้าติดต่อกับคนจากสำนักเต๋ารุ้งเมฆาอย่างไร?”
เถี่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “เรียนผู้อาวุโส ข้าไร้คุณสมบัติเป็นฝ่ายเริ่มติดต่อกับสำนักเต๋ารุ้งเมฆาก่อนขอรับ”
“ทว่าเรามีข้อตกลงกันอยู่ว่าทุกหกเดือน พวกเขาจะส่งราชันแห่งภูมิผู้หนึ่งมาพาผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินที่เราจับเป็นมาได้ไป”
กล่าวเช่นนี้ หัวใจของเถี่ยอิงก็เต้นกระตุก “ผู้อาวุโส ยามนี้หกเดือนกำลังจะครบรอบ หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด สำนักเต๋ารุ้งเมฆาจะส่งยอดฝีมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิมาอีกนะขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นยิ้มเยาะ “นี่เจ้าข่มขู่เราหรือ?”
เถี่ยอิงรีบส่ายหน้า กล่าวเสียงสั่น “ผู้อาวุโสโปรดใจเย็น ข้ามิกล้าหรอกขอรับ!”
“คุณชาย ยังมีสิ่งใดอยากถามหรือไม่ขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างนอบน้อม
ซูอี้ส่ายหน้า
เขารู้เรื่องราวจนกระจ่างแล้ว
เมิ่งฉางอวิ๋นถาม “คุณชายว่าเราควรทำอย่างไรกับคนเหล่านี้ดีขอรับ?”
หนึ่งประโยค บรรยากาศรอบข้างพลันหดหู่ลงทุกขณะ
อวี๋เฟิงและเว่ยซ่างฉีต่างดูมิอาจทนแรงกดดันนี้ได้ ทั้งสองจึงล้วนคุกเข่าลง อ้อนวอนขอความเมตตาอย่างหวาดกลัว
เมื่อชายชราในชุดนักพรตเต๋าเห็นเช่นนี้ หัวใจของเขาก็วูบโหวง ทอดถอนใจเปี่ยมอารมณ์
คนใหญ่คนโตเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในตำแหน่งมาแสนนาน วิถีเต๋าลึกล้ำ ต่างคนต่างเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตจักรพรรดิ
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับเหมือนสุนัขเสียนาย ลนลานไร้หนทาง!
“เจ้าแก่ ในฐานะราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง กลับช่วยนายเจ้ารังแกคนในขอบเขตจักรพรรดิ ไม่ละอายบางหรือไร”
ไกลออกไปบนกำแพง ร่างผอมของคนผู้หนึ่งพลันปรากฏ
คนผู้นี้สวมอาภรณ์หยก เหน็บมีดสองเล่มที่เอว ใบหน้าดุจชายหนุ่ม แววตาเลื่อนลอย
เขายกสองแขนกอดอก หรี่ตามองเมิ่งฉางอวิ๋น มุมปากยกยิ้มเยาะเย้ย
เมื่อเขาปรากฏกายขึ้น ท้องนภาพลันหม่นรัศมี จิตฆ่าฟันแผ่ปกคลุมคนทุกผู้เยี่ยงกระแสน้ำ
ราชันแห่งภูมิ!?
พวกเถี่ยอิงล้วนกลัวจนลนลาน แล้วจึงตระหนักว่าชายชราผู้ดูเหมือนบ่าวเฒ่าไร้จุดเด่น แท้ที่จริงเป็นยอดฝีมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
สิ่งที่ยิ่งน่าอัศจรรย์คือแม้จะรู้ว่าบ่าวเฒ่าเป็นราชันแห่งภูมิ แต่กลับมีบางคนลุกขึ้นประชดประชันอย่างไร้เกรงกลัว!
หรือจะหมายความว่าอีกฝ่าย… ก็เป็นราชันแห่งภูมิเช่นกัน?
กระทั่งพวกซูอี้ยังตกใจเล็กน้อย มิคาดเลยว่ายามนี้จะมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่มา
“เจ้าเป็นใคร? ไยจึงเข้ามาพัวพัน?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา
ม่านตาของเขาหดตัวเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าปราณของชายหนุ่มในอาภรณ์หยกผู้เหน็บมีดสองเล่มข้างเอวนั้นอันตรายมาก!
“ข้าหรือ?”
ชายหนุ่มในอาภรณ์หยกยิ้มน้อย ๆ เผยซี่ฟันเรียงขาว “เดินบนโลกโลกีย์ ยามหนทางต่างระดับ ชักมีดออกช่วยเหลือ!”
[1] หน่วยวัดจีน 1 หมู่ (亩) = 1 แปลง = ประมาณ 666.67 ตารางเมตร