บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1231: ชีวิตนี้ ข้าหารู้จักจวงปี้ฟานไม่
ตอนที่ 1231: ชีวิตนี้ ข้าหารู้จักจวงปี้ฟานไม่
เมื่อเห็นว่าชายในอาภรณ์หยกถูกปราบจนอยู่หมัด เหล่าจักรพรรดิข้างเถี่ยอิงล้วนสิ้นกำลัง
ยามมีคนดีมากฝีมือชักมีดขึ้นช่วยยามคับขัน ใครเล่าจะคิดว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังแพ้!
ยิ่งกว่านั้น เมื่อครู่คนเหล่านี้ยังรู้สึกตื้นตันและปรีดา กระทั่งยังออกปากขอ หวังให้คนดีผู้นี้ส่งพุทธะสู่ประจิม กำจัดอีกฝ่ายให้สิ้นซาก…
ตุ้บ!
เถี่ยอิงเข่าทรุด ฟูมฟายอย่างหวาดกลัว “ผู้อาวุโส เราทั้งหลายเพียงต้องเล่นลูกไม้สกปรกเพื่อขอชีวิตรอด จึงเกิดเป็นการกระทำดูไม่ได้เช่นเมื่อครู่ ขอผู้อาวุโสมีใจเมตตา ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด”
กล่าวจบ เขาก็ก้มหน้าลงกระแทกพื้น
คนอื่น ๆ เองก็ลนลานวอนขอความเมตตาเช่นกัน
ซูอี้เมินพวกเขา ก่อนจะหันไปพูดกับชายในอาภรณ์หยกซึ่งนั่งอยู่บนพื้น “ลุกขึ้น”
ชายในอาภรณ์หยกกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า… มิฆ่าข้าหรือ?”
ซูอี้ว่า “จำบทเรียนนี้ไว้ก็พอแล้ว”
ใบหน้าของชายในอาภรณ์หยกแดงก่ำ แสนละอายในตน
เพราะวาจาเหล่านี้ เขาเพิ่งพูดกับเมิ่งฉางอวิ๋นไปหยก ๆ
“ข้า… ทราบนามผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
ชายในอาภรณ์หยกลุกขึ้นมาถาม
“เสิ่นมู่”
ซูอี้ตอบอย่างเฉยชา
“เสิ่นมู่…”
ชายในอาภรณ์หยกครุ่นคิด แต่ก็ไม่อาจคิดออกว่ามีตัวตนเช่นนี้ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวแต่ยามใด
ซูอี้พลันกล่าวขึ้น “เมื่อเจ้าได้พบบรรพชนเจ้าจวงปี้ฟาน ฝากถ่ายทอดวาจาข้าที”
จวงปี้ฟาน
ตัวตนบรรพกาลในขอบเขตไร้ขีดจำกัดของตระกูลจวงอันโบราณผู้นี้เคยพ่ายแพ้ด้วยมือทัศนาจารย์เมื่อนานมาแล้ว และแต่นั้นมา เขาก็ประทับใจในพฤติกรรมของทัศนาจารย์ จึงได้นำสุราเลิศซึ่งซุกซ่อนไว้ในตระกูลไปเยือนทัศนาจารย์อยู่เป็นครั้งคราว
ชายในอาภรณ์หยกตะลึงอึ้ง “ผู้อาวุโสรู้จักท่านปู่ทวดของข้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาประหลาด “ชีวิตนี้ ข้าหารู้จักจวงปี้ฟานไม่ แต่จะเรียกเขาว่าราชันแห่งภูมิก็มิถูก ท่านปู่ทวดของเจ้าถูกมองว่าเป็นกวีสัญจรอันดับหนึ่งแห่งส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ใครเล่าจะมิรู้จักเขา?”
ชายในอาภรณ์หยกอับอายในทันที
เขาก็เคยได้ยินสมญาของปู่ทวดมาเช่นกัน
เพียงแค่ว่าสมญานั้นคล้ายการเย้าหยอกมากกว่า มันเป็นคำต้องห้ามในตระกูลจวง หามีผู้ใดกล้าพูดถึงมันไม่
หาไม่ ท่านปู่ทวดของเขาจะซัดคนผู้นั้นลงไปนอนกอง
“เจ้าบอกปู่ทวดของเจ้าแค่ว่า ‘นำของไปไว้ที่ฝั่งสมุทรมารไร้กำหนดก่อน’ ก็พอ แล้วเขาจะเข้าใจความหมายเอง”
ซูอี้กล่าว
สมุทรมารไร้กำหนด
สถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งซึ่งทัศนาจารย์สะกดอวตารของชาวประมงเอาไว้
ครานี้เมื่อเขาหวนสู่จักรวาลพร่างดาว ซูอี้ย่อมอยากไปทวงคืนดาบแห่งโลกาที่ทัศนาจารย์ทิ้งไว้เมื่ออดีตชาติ!
และในมือของจวงปี้ฟาน บรรพชนของชายในอาภรณ์หยก มีสมบัติอีกชิ้นที่ทัศนาจารย์ทิ้งไว้ ซึ่งมันมีนามว่า ‘หยาดวารีแยกทะเลนิ่ง’
ด้วยสมบัตินี้ เขาจะสามารถละล่องอิสระท่ามกลางสมุทรมารไร้กำหนดได้
หาไม่ ต่อให้ผู้มาเยือนจะเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด ก็ยังต้องประสบกับอุปสรรคอันตรายนับไม่ถ้วน
“ได้!”
ชายในอาภรณ์หยกรับปาก
เขามีความคิดน่าขัน สงสัยว่าชายชุดเขียวตรงหน้าเขาน่าจะรู้จักท่านปู่ทวดของเขาจริง ๆ
ยิ่งกว่านั้น ยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาด้วย!
หาไม่ เขาหรือจะกล้าเอ่ยขอให้ท่านปู่ทวดเขาส่งบางสิ่งสู่สมุทรมารไร้กำหนด?
หากเป็นเช่นนั้น…
หากว่ากันด้วยลำดับอาวุโสจริง ๆ เขาจะมิอาจเป็นกระทั่งหลานเขาได้ดังว่า แปลว่าวาจาก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายจะมิได้เป็นคำหยามเกียรติเขาหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้ ชายในอาภรณ์หยกก็อดอับอายเล็กน้อยมิได้ แต่ประหลาดใจมากกว่า
เสิ่นมู่ผู้นี้… เป็นใครกันแน่?
แล้วซูอี้ก็หันมองพวกเถี่ยอิง
พวกเถี่ยอิงตัวสั่นงันงกด้วยความลนลาน
ไม่มีผู้ใดกล้าหนี
ราชันแห่งภูมิยืนอยู่ประชิดร่าง ไร้โอกาสที่พวกเขาจะหนีได้
ก่อนที่ซูอี้จะทันได้พูด ชายในอาภรณ์หยกพลันกล่าวขึ้น “ปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้ ให้ข้าจัดการเองเถิด”
พวกเถี่ยอิง “???”
ทว่า ก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งตัว ชายในอาภรณ์หยกก็ฟาดมือออกไปอย่างดุดัน
พวกเถี่ยอิง ซึ่งเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิผู้อยู่ในเมืองฟ้ากระจ่างมามิอาจนับปีล้วนถูกขยี้เป็นแอ่งโคลนโลหิต ตายอนาถลงกับที่
ซูอี้ว่า “เจ้าเคยต่อสู้เพื่อพวกเขา แต่ยามนี้กลับฆ่าพวกเขาเอง เอาแต่ใจไปหน่อยนะ”
ชายในอาภรณ์หยกกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านปู่ทวดสอนข้าเสมอ ว่ายามอยู่นอกถิ่น ให้ช่วยญาติมิตรก่อนสิ่งอื่นใด”
ซูอี้หัวเราะ คร้านเกินกว่าจะกล่าวอันใดอีก จากนั้นเขาก็โบกมือ “เจ้าไปได้แล้ว”
ชายในอาภรณ์หยกอดกล่าวมิได้ว่า “ผู้อาวุโส ข้าขอทราบได้หรือไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับท่านปู่ทวดของข้าเป็นเช่นไร?”
“กลับไปถามปู่ทวดเจ้าที่บ้านสิ”
ซูอี้ว่าพลางยืดเส้นยืดสาย เดินไปที่โถงตำหนัก “เฒ่าเมิ่ง เจ้าทำความสะอาดที่นี่ แล้วมาพบข้า”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่งอย่างเร่งขรึมแล้วรีบเร่งลงมือ
เห็นเช่นนี้ ชายชราในชุดนักพรตเต๋ารีบก้าวเข้ามาช่วยเหลือ
หัวใจของเขาตะลึงจังงัง ถือซูอี้เป็นตัวตนร้ายกาจจากห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว หรือตัวตนอื่น ๆ อันเกินคาดหยั่งไปแล้ว!
เดิมที ชิงหว่านคิดจะช่วย ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นปฏิเสธนางด้วยรอยยิ้ม
ชิงหว่านจึงตามเข้าไปในโถงด้วยความจนใจ
เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจเขาอีก ชายในอาภรณ์หยกก็เดินมาหาเมิ่งฉางอวิ๋น กล่าวกับเขาพลางถูจมูกเบา ๆ “ก่อนหน้านี้… เป็นข้าเองที่มุทะลุ ต้องขออภัยเจ้าด้วย”
กล่าวพลาง เขาก็นำขวดโอสถทิพย์ขวดหนึ่งออกจากในแขนเสื้อยื่นให้ “นี่คือโอสถทิพย์เยียวยาศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลจวงของข้า เจ้ารับมันไปเถอะ อย่าได้เกรงใจ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวกับเขาเบา ๆ “ในเมื่อคุณชายของข้าหาถือสาเจ้าไม่ ข้าเฒ่าเมิ่งก็หาติดใจไม่ โอสถเหล่านี้ เจ้าเก็บไว้เถอะ”
กล่าวจบ เขาก็ลอบถอนใจ
แม้เขาจะเป็นตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่ขุมกำลังที่เขาอยู่ก็ถือได้ว่าเป็นเพียงขุมกำลังชั้นหนึ่งสักแห่งในภูมิดาราหมื่นโฉลกเท่านั้น
และชายในอาภรณ์หยกตรงหน้าเขาก็มาจากตระกูลจวงโบราณ!
นั่นคือหนึ่งในแปดตระกูลราชันแห่งภูมิสูงสุดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว เลื่องชื่อระบือทั่วภูมิดาราใหญ่ทั้งมวลในจักรวาลพร่างดาว!
ถึงมรดกและเกียรติภูมิของพวกเขาจะเทียบมิได้กับเหล่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาว แต่ก็ต่างกันมิมากนัก!
ชายในอาภรณ์หยกเป็นสมาชิกตระกูลจวงโบราณอย่างเห็นได้ชัด และยังมีการฝึกฝนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ ฐานะของเขาจึงย่อมสูงส่งยิ่ง
ทว่ายามนี้ เขากลับเป็นฝ่ายมาขอโทษเขาก่อน!
นี่ย่อมเป็นการปฏิบัติที่เมิ่งฉางอวิ๋นมิเคยพบพานมาก่อน
ทว่า เมิ่งฉางอวิ๋นมีสติดีมาก และมิกล้าปล่อยตนเองหลงระเริง
เขารู้ดีว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะใต้เท้าทัศนาจารย์!
“นี่ รับไปเถอะ หาไม่ หัวใจข้าจะรู้สึกแย่จริง ๆ นะ”
ชายในอาภรณ์หยกยัดขวดหยกเข้าใส่มือเมิ่งฉางอวิ๋นแล้วหันหลังจากไป
“จริงสิ นามข้าจวงเซียวอวิ๋น หากภายหน้ามีโอกาส ข้าจะชดใช้ความผิดวันนี้ให้แน่นอน!”
เสียงของเขายังมิสร่าง ร่างของชายหนุ่มในอาภรณ์หยกก็หายไปแล้ว
“ดูเหมือนเจ้าคนโอหังนี่จะถูกใต้เท้าทัศนาจารย์สั่งสอนจนเชื่องแล้วจริง ๆ…”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเสียงขรึม
“ผู้อาวุโส ท่านบาดเจ็บอยู่ น่าจะดีกว่าหากรีบเยียวยาตนนะขอรับ เรื่องเก็บกวาดลานนี้ ให้ข้าทำเถอะ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าแย้มยิ้ม เร่งให้เมิ่งฉางอวิ๋นจากไป
“ข้าหรือจะส่งงานที่คุณชายมอบหมายให้เจ้า?”
เมิ่งฉางอวิ๋นส่ายหน้า “อย่าพูดเรื่องเล็กน้อยนี้เลย ต่อให้ข้าเฒ่าเมิ่งต้องเป็นวัวเป็นม้า ข้าก็ยินดี”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิ
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าอดถามมิได้ “ผู้อาวุโส ผู้น้อยขอบังอาจถาม ผู้อาวุโสเสิ่นมู่เป็นตัวตนเช่นไรหรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นเหลือบมองชายชราในชุดนักพรตเต๋าอย่างรู้เท่าทัน “สับสนสินะ จำได้หรือไม่ว่าเหตุใดคุณชายของข้าจึงช่วยเจ้า?”
กล่าวจบ เขาก็เมินอีกฝ่ายไป
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงไปแล้วครุ่นคิดหนัก
ครู่ต่อมา เขาก็ดูจะเข้าใจบางอย่างแล้วตื่นเต้นขึ้นมา “หรือจะบอกว่าผู้อาวุโสเสิ่นมีความสัมพันธ์กับบรรพชนสักท่านในแดนลี้ลับขั้นเก้าของข้า?”
เขาจำได้ว่าครั้งที่ซูอี้ช่วยชีวิตเขา เขาเคยถูกอีกฝ่ายปรามาสว่าตาบอดทึ่มทื่อ ทำให้บรรพชนเสียหน้า
นี่ย่อมหมายความว่าผู้อาวุโสเสิ่นมู่เห็นแล้วว่าเขามาจากแดนลี้ลับขั้นเก้า และรู้จักกับบรรพชนสักคนในแดนลี้ลับขั้นเก้า!
…
เมื่อความปั่นป่วนนี้สงบลง
ตำหนักอันเป็นของหอเมฆาเคลื่อนเต็มไปด้วยผู้คนลนลานเผ่นหนี
มียอดฝีมือจากหอเมฆาเคลื่อนอยู่ แต่พวกเขาส่วนใหญ่เป็นยาม ข้าทาสบริวารและตัวตนอื่น ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นเมินพวกเขาไป และหลังเก็บกวาดลานเสร็จ เขาและชายชราในชุดนักพรตเต๋าก็เดินเข้าไปในโถงตำหนัก
โถงตำหนักสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ
เมื่อเมิ่งฉางอวิ๋นมาถึง ซูอี้ผู้กำลังนั่งร่ำสุราที่โต๊ะก็ส่งม้วนหยกให้แก่เมิ่งฉางอวิ๋นม้วนหนึ่ง “เจ้ารับมันไป และทำความเข้าใจให้ดี”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึง ก่อนจะรีบใช้สองมือรับมาด้วยความตื้นตันและปลาบปลื้ม “ขอบคุณคุณชาย!”
ซูอี้หันไปกล่าวกับชายชราในชุดนักพรตเต๋านามเยว่ขุยจู่ “เมื่อรักษาบาดแผลเสร็จ จงพาเหล่าจักรพรรดิที่เจ้าช่วยกลับภูมิดาราฟ้าดินไปเสีย”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าถอนใจด้วยสีหน้าพิกล “ผู้น้อยก็ตั้งใจเช่นนั้นขอรับ”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้ามิได้จะดับฝัน มิให้เจ้าไปแสวงวิถีอันสูงกว่าหรอกนะ แต่อีกไม่นาน วิถีสู่สวรรค์จะปรากฏในภูมิดาราฟ้าดินแล้วล่ะ”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าตะลึงไปราวมิอยากเชื่อ “นี่… จริงหรือขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “ไม่มีทางโกหกแน่”
เขาได้เห็นม่านแห่งยุคสมัยใหม่ของภูมิดาราฟ้าดินแหวกออกกับตา และยังร่วมเบิกมันภายใต้อำนาจของซูอี้อย่างมีเกียรติด้วยเช่นกัน
“เอาล่ะ แยกย้ายไปพักผ่อนเถอะ”
ซูอี้ลุกขึ้น เดินไปยังโถงด้านข้าง
ชิงหว่านนิ่งไปชั่วครู่ ครุ่นคิดถึงความหมายของคำว่า ‘พัก’ ในใจ แล้วใบหน้าน้อย ๆ อันงดงามก็ขวยเขินเล็กน้อย
จากนั้น หญิงสาวก็ยังเดินตามซูอี้ไป
เมิ่งฉางอวิ๋นยืนอยู่นอกโถง สูดหายใจลึก ๆ และเริ่มเปิดอ่านข้อความในม้วนหยกในมือเขาอย่างจริงจัง
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เนิ่นนานจากนั้น
ฝ่ามือของเมิ่งฉางอวิ๋นสั่นระริกเล็กน้อย ริมฝีปากสั่นกระตุก สีหน้าอึ้งค้าง
เขาตกสู่ภาวะที่ทั้งตื่นเต้น ลิงโลด ตกใจและตื่นเต้นอย่างมิอาจบรรยาย
ในม้วนหยกนี้มีบทวิเคราะห์วิถีฝึกฝน พร้อมทั้งประสบการณ์ฝึกตนซึ่งเหมาะกับวิถีฝึกฝนของเมิ่งฉางอวิ๋นบรรจุไว้
ทุกถ้อยคำช่างชวนตะลึงอึ้ง
ดั่งเสียงตะโกนลั่นอื้ออึงในหัวของเขา!
ในฐานะราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง เมิ่งฉางอวิ๋นมีประสบการณ์ฝึกฝนมากมายมหาศาล เขาตัดสินได้แทบทันทีว่าคำชี้แนะที่ใต้เท้าทัศนาจารย์มอบให้เขานั้นแทบไม่ต่างกับการสอนสั่งอย่างแท้จริง และหากทำตามนี้ เขาจะทำให้การฝึกฝนของตนเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายได้อย่างราบรื่น!
บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้มิอาจเทียบได้กับโอกาสใด ๆ ในหล้า!
“ข้าเมิ่งฉางอวิ๋น… ช่างโชคดียิ่งนัก!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรำพัน
และในคืนนี้ ข่าวการตายของผู้นำขุมกำลังใหญ่เช่นหอเมฆาเคลื่อน พรรคบงกชทมิฬ ลัทธิจักรวาลและสำนักพันอสูรมารก็ทำให้ทั้งเมืองฟ้ากระจ่างปั่นป่วนรวนเร