บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1232: กำลังเสริม
ตอนที่ 1232: กำลังเสริม
ในโถงแห่งหนึ่ง
เถ้าแก่เนี้ยแห่งหอสมปรารถนานั่งคอตก ใบหน้าซีดขาว
วันนี้ ซูอี้ถล่มหอสมปรารถนาลงกับพื้นด้วยดาบเดียว และยามนั้น เถ้าแก่เนี้ยก็สงสัยว่านางเองก็คงมิพ้นตาย
แม้ท้ายที่สุดนางจะรอดชีวิตอย่างโชคดี แต่เถ้าแก่เนี้ยก็หวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
แม้นางจะดูแลหอสมปรารถนา แต่นางก็ทำเพียงรับใช้ขุมกำลังใหญ่ในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว
ยามนี้ หอสมปรารถนาถูกทำลาย นางคงมิพ้นถูกตำหนิ และน่าจะถูกลงโทษสถานหนักด้วย!
“ใต้เท้า ข้าว่าเราควรแจ้งข่าวนี้แก่สำนักโดยเร็วที่สุด ให้สำนักส่งยอดฝีมือมาฆ่าฆาตกรนะขอรับ”
บ่าวรับใช้ต่างมาพูดเรื่องนี้กับนาง เกลี้ยกล่อมให้เถ้าแก่เนี้ยขอความช่วยเหลือจากสำนัก
“ล้างแค้นหรือ?”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวอย่างเหม่อลอย “หากมิเชิญตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิมา ทุกสิ่งก็เสียเปล่า”
“รอไปอีกเดี๋ยว ดูก่อนว่าหอเมฆาเคลื่อนจะรับมือได้หรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเบา ๆ
ทันทีที่สิ้นคำ บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งก็กระวีกระวาดเข้ามาตะโกนอย่างหวาดผวา “ใต้เท้า แย่แล้วขอรับ! เหล่าผู้นำของหอเมฆาเคลื่อน พรรคบงกชทมิฬ ลัทธิจักรวาลและสำนักพันอสูรมารถูกสังหารหมดแล้วขอรับ!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังก็เงียบกริบตะลึงงัน
เถ้าแก่เนี้ยร่างสั่นสะท้าน กล่าวอย่างเศร้าโศก “ว่าแล้วเชียว ขุมกำลังใหญ่ในเมืองฟ้ากระจ่างนี้หยุดหายนะนี้มิได้หรอก”
บ่าวเฒ่ากล่าวติดขัด “ใต้เท้า! สิ่งที่ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นคือ ในถิ่นของหอเมฆาเคลื่อน ศึกระหว่างราชันแห่งภูมิบังเกิด แต่สุดท้าย… หาเมฆาเคลื่อนก็พ่ายแพ้ขอรับ!”
ศึกระหว่างราชันแห่งภูมิ!?
เถ้าแก่เนี้ยราวถูกสายฟ้าฟาด ตะลึงเสียจนวิญญาณแทบหลุดลอย
นางตกตะลึงสุดขีด หัวใจแทบแหลกสลายเป็นเถ้า
ก่อนหน้านี้ นางก็คิดอยู่ว่าหากราชันแห่งภูมิสักคนออกลงมือ นางอาจจะได้ล้างแค้น
ใครเล่าจะคิดว่าจะได้ยินข่าวเช่นนี้เข้า!
เหล่าบริวารใกล้เคียงต่างก็ตื่นกลัวสิ้นหกสัมผัส สติบินโดยพร้อมเพรียง
เพียะ!!
เสียงตบกังวานลั่น
เถ้าแก่เนี้ยตบหน้าของตนจนเลือดซิบบนใบหน้างดงาม
ทว่านางก็เมินเฉยต่อความเจ็บปวด พึมพำว่า “ครานี้… สำนักไม่มีทางปล่อยเราไปแน่…”
ทุกคนตะลึงอึ้ง ใต้เท้าสติแตกไปแล้วหรือ?
…
รัตติกาลมืดดุจม่านหมึก
เมืองฟ้ากระจ่างโกลาหลอื้ออึง ด้วยการสูญสิ้นผู้นำขุมกำลังสูงสุดเช่นหอเมฆาเคลื่อนทำให้สถานการณ์ในเมืองปั่นป่วนยุ่งเหยิง
“เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่เราจะแก้ได้แล้ว ปล่อยให้คนใหญ่คนโตของสำนักตัดสินเถอะ”
ณ พรรคบงกชทมิฬ ชายชราผู้หนึ่งรำพัน
เขาว่าพลางขยี้ยันต์ส่งสาส์นใบหนึ่ง
“ราชันแห่งภูมิยังแพ้พ่าย เราหรือจะเป็นคู่ต่อสู้ได้? ต้องขอความช่วยเหลือ!”
“มีเพียงบรรพชนในขอบเขตราชันแห่งภูมิลงมือด้วยตนเองเท่านั้น จึงสามารถล้างแค้นได้!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในลัทธิจักรวาลกล่าวด้วยใบหน้าโกรธแค้น
เหตุเช่นนี้ก็เกิดขึ้นในสำนักหมื่นอสูรมาร หอเมฆาเคลื่อนและขุมกำลังอื่น ๆ เช่นกัน
ขุมกำลังสูงสุดเหล่านี้หยั่งรากอยู่ในเมืองฟ้ากระจ่างมานาน และเบื้องหลังพวกเขาก็มีขุมกำลังใหญ่จากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวหนุนหลัง
ยามนี้เมื่อเกิดหายนะขึ้น หากขุมกำลังในเมืองฟ้ากระจ่างต้องการอยู่รอดในภูมิทมิฬเร้นต่อไป พวกเขาก็ทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากผู้หนุนหลังตน!
…
เช้าตรู่รุ่งขึ้น
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าออกเดินทาง และตัดสินใจออกจากภูมิทมิฬเร้นกลับสู่ภูมิดาราฟ้าดิน
ครานี้ เขาพาจักรพรรดิที่เขาช่วยชีวิตไว้ไปกับเขาด้วย
“ไปกันเถอะ คุณชายออกคำสั่งให้ตาเฒ่าน่าผิดหวังผู้นี้พาสหายเต๋าไปส่ง”
เมิ่งฉางอวิ๋นไปส่งเขาด้วยตนเอง
สิ่งนี้ทำให้เยว่ขุยจู่แสนเกรงใจ และรีบก้มหัวลงขอบคุณ
…
สามวันต่อมา
เมิ่งฉางอวิ๋นกลับมาบอกซูอี้ว่าส่งเยว่ขุยจู่สู่ที่ปลอดภัยหนึ่งในจักรวาลพร่างดาวแล้ว ไม่ต้องกังวลอีกว่าจะเกิดอุบัติเหตุใดระหว่างเดินทางต่อ
เรื่องนี้ ซูอี้หาแปลกใจไม่
“คุณชาย หลังกลับเมืองฟ้ากระจ่างมาครั้งนี้ ตาเฒ่าผู้น้อยถามไถ่ข่าวมาบ้าง และพรุ่งนี้ วังวายุเร้นอาสัญในจักรวาลพร่างดาวจะเข้าสู่ภาวะชะงักค้าง มีผู้ฝึกตนมากมายในเมืองเตรียมตัวเดินทางข้ามวังวายุเร้นอาสัญสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวในวันพรุ่งนี้แล้วขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างนอบน้อม
“เราก็จะไปพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน”
ซูอี้ตัดสินใจ
ทว่าคืนนั้น จู่ ๆ ก็มีผู้มาเยือน
เขาเป็นชายในชุดดำ เป็นผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตเพียงวงล้อวิญญาณ
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยเป็นเพียงเด็กรับใช้ มาทวงหนี้คนอื่นและส่งม้วนหยกให้ผู้อาวุโสขอรับ”
ชายชุดดำเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ส่งม้วนหยกให้เขาด้วยสองมือ
เมิ่งฉางอวิ๋นรับม้วนหยกไป “เจ้าไปได้แล้ว”
ชายชุดดำโล่งอก เขาหันหลังจากไป
เมิ่งฉางอวิ๋นเริ่มตรวจสอบม้วนหยก
ไม่นานนัก เขาก็ขมวดคิ้วแล้วนำม้วนหยกไปพบซูอี้
“คุณชายขอรับ ขุมกำลังใหญ่ในเมืองฟ้ากระจ่างบอกว่าเหล่าผู้หนุนหลังของพวกเขาจะข้ามวังวายุเร้นอาสัญมาที่นี่พรุ่งนี้ ก่อนหน้านั้น มิให้พวกเราออกจากเมืองฟ้ากระจ่างขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรายงาน
ซูอี้แค่นเสียงหึ ถามอย่างไม่สนใจ “พวกเขาเอาอันใดมาขู่?”
เมิ่งฉางอวิ๋นตอบ “พวกเขาบอกว่าหากเราจากไปก่อน ขอเพียงพวกเขาเจอผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินในภายหน้า พวกเขาทั้งหมดจะถูกฆ่าขอรับ”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ “ดูเหมือนว่าการฆ่าแต่ปลาซิวปลาสร้อยคงเกินกว่าจะเพียงพอ”
ดวงตาของเมิ่งฉางอวิ๋นเองก็เย็นเยียบ “คุณชาย จะให้ตาเฒ่าผู้น้อยไปล้างขุมกำลังเมืองฟ้ากระจ่างคืนนี้เลยไหมขอรับ”
“เจ้าไปยามนี้ เกรงว่าคงมิได้เจอผู้ใดหรอก”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นพลันเงียบไป
จริงดังว่า ในเมื่อขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายกล้าประกาศสงครามเช่นนี้ พวกเขาก็ตายแน่ และน่าจะเผ่นหนีไปจากเมืองฟ้ากระจ่างนานแล้วเพื่อมิให้ถูกถอนรากถอนโคน
ซูอี้กระซิบ “ช่างน่าขันที่เอาชีวิตผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดินมาข่มขู่ เห็นได้ชัดเลยว่าขุมกำลังจากเมืองฟ้ากระจ่างนี้สิ้นไร้ไม้ต่อเพียงไร”
เมิ่งฉางอวิ๋นอดยิ้มและกล่าวอย่างมั่นใจลึกล้ำมิได้ว่า “จริงขอรับ หากพวกเขามีทางอื่นเพื่อหยุดเรา เกรงว่าคงมิทำเรื่องตลกไร้สมองเช่นนี้”
“แต่เราจะรอที่นี่อีกสองสามวัน ดูซิว่าคราวนี้พวกเขาจะพาผู้สะดุดตามาได้มากเพียงไร”
ซูอี้ตัดสินใจ
ทำการใด ก็ต้องทำให้หมดจดแต่ต้นจนจบ การกวาดล้างศัตรูก็เช่นกัน
ซูอี้ออกคำสั่ง “ใช้โอกาสนี้ เจ้ามุ่งฝึกฝนไปก่อน หากไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ในสามวัน การฝึกฝนของเจ้าจะเลื่อนขั้นแน่นอน”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงอึ้งในใจ พยักหน้ารับคำ
วันถัดมา
วังวายุเร้นอาสัญในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวค่อย ๆ เข้าสู่ภาวะชะงักงัน
ในภูมิทมิฬเร้น ผู้ฝึกตนมากมายพลิ้วร่างสู่จักรวาลพร่างดาว และเริ่มข้ามวังวายุเร้นอาสัญสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
กระทั่งในเมืองฟ้ากระจ่าง ยังเห็นได้อย่างพร่ามัวว่ามีแสงสว่างเจิดจรัสนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานผ่านนภากว้าง ทะลวงสู่จักรวาลพร่างดาว
วันที่สาม
เมิ่งฉางอวิ๋นเลื่อนสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายได้สำเร็จ การฝึกฝนของเขาเพิ่มพูนขึ้นมาก
สำหรับราชันแห่งภูมิเช่นเขา ทุกย่างก้าวในการฝึกฝนยากยิ่งเหลือล้น
บางหน หากโอกาสไม่อำนวยพอ ต่อให้ฝึกฝนเป็นพัน ๆ ปี ก็ยังไม่อาจผ่านขั้นเล็ก ๆ ในการฝึกฝนได้!
นี่หาใช่การพูดเกินไปไม่
ราชันแห่งภูมิบางผู้ใช้ชีวิตมาแสนกว่าปี บ้างก็เพราะถูกจำกัดด้วยมรดกและความสามารถตน หรืออาจเป็นเพราะขาดทรัพยากรฝึกตนบางอย่าง หรือเพราะความเข้าใจในมหาวิถีมิอาจพัฒนาอยู่นาน การฝึกฝนของพวกเขาจึงติดอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงเสมอ
กล่าวโดยรวมแล้ว ณ ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว หากสามารถก้าวผ่านขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญได้ในพันปี ก็ถือได้ว่าเป็นตัวตนระดับสูงสุดได้แล้ว!
แน่นอนว่าโลกนี้ไม่ขาดอัจฉริยะยอดคน
โดยเฉพาะในหมู่ขุมกำลังสูงสุด ตัวตนไร้ใดเทียบซึ่งก้าวขึ้นเป็นราชันแห่งภูมิแต่อายุยังน้อยได้มิได้หายากเย็น
ทว่า เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ฝึกตนนับร้อยล้านในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวแล้ว ท้ายที่สุดบุคคลผู้น่าอัศจรรย์เหล่านี้ก็เป็นเพียงส่วยน้อย
ส่วนซูอี้…
มิต้องสงสัยเลยว่าเขาพิเศษที่สุด
วิถีฝึกฝนของเขาซึ่งเวียนวัฏเกิดใหม่มามิเคยยากต่อการเคลื่อนขอบเขต
ทว่า สำหรับซูอี้ การเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ของเขามิเคยใช้เพื่อค้นหาว่าตนจะเลื่อนขอบเขตไวเพียงใด
ในทางกลับกัน เขาอยากสร้างวิถีดาบอันเหนือล้ำเกินกว่าตัวตนใด ๆ ในอดีตชาติของเขา!
วันที่สี่
“หว่านเอ๋อร์ ต่อจากนี้ ข้าคงทำได้แต่รบกวนให้เจ้าอยู่ฝึกฝนในน้ำเต้าปลุกวิญญาณก่อนนะ”
ซูอี้กระซิบขึ้นที่ลาน
เขาใช้วัตถุดิบทิพย์ระดับราชันแห่งภูมิหล่อหลอมน้ำเต้าปลุกวิญญาณขึ้นใหม่ และค่ายกลภายในของมันก็เพียงพอให้จักรพรรดิมุ่งเน้นฝึกฝนได้
“คุณชาย หว่านเอ๋อร์ไม่ถูกรบกวนหรอกเจ้าค่ะ”
ชิงหว่านกล่าวเบา ๆ “ขอเพียงได้ติดตามคุณชาย หว่านเอ๋อร์… หว่านเอ๋อร์ก็พอใจแล้ว”
ซูอี้ลูบหัวนางด้วยรอยยิ้ม “เมื่อปลดผลกรรมบนร่างเจ้าได้ ข้าจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว”
“อื้อ!”
ชิงหว่านพยักหน้าหงึกหงัก ดวงตาพร่างประกายเจิดจรัส เปี่ยมความคาดหวัง
ทันใดนั้น หญิงสาวก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ
จากนั้น ซูอี้ก็เก็บน้ำเต้าปลุกวิญญาณเข้าถ้ำโกลาหลมหาวิถีภายในร่างของเขา
ภายในถ้ำโกลาหลมหาวิถี เขาเบิกดินแดนดึกดำบรรพ์ ปลูกรากแห่งฟ้าดินเอาไว้ ขอเพียงเขามิได้ประสบอันตรายถึงตาย ก็จะไม่มีอันตรายใด ๆ ส่งผลถึงที่แห่งนั้น
ด้วยทำเช่นนี้ ซูอี้จึงต้องคำนึงถึงเรื่องอื่นด้วย
อีกครึ่งหนึ่งของชิงหว่านคือศิษย์สายตรงของเจ้าหอเก้าสวรรค์ ‘เทียนฉี’
ขอเพียงคิดจะทำ เทียนฉีก็สามารถรู้ถึงที่อยู่ของชิงหว่านได้!
เพื่อป้องกันมิให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น ซูอี้ก็ทำได้เพียงต้องหาที่ซ่อนชิงหว่านไว้ดี ๆ ก่อนจะข้ามวังวายุเร้นอาสัญ
และหลังซ่อนน้ำเต้าปลุกวิญญาณไว้ในถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขา หากเกิดเหตุพลิกผันใด ๆ กับชิงหว่าน เขาก็จะสามารถตรวจจับมันได้ และตอบสนองต่อมันก่อนสิ่งอื่นใด!
วันที่ห้า
“ไยพวกเขายังไม่มากันอีก?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
เขาย่อมรู้ว่าวังวายุเร้นอาสัญครอบคลุมพื้นที่กว้างไกล เทียบได้กับขนาดของภูมิดารามากมายรวมกัน
ต่อให้ตัวตนระดับราชันแห่งภูมิเป็นผู้ข้าม ก็ยังใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวัน
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ลุกขึ้น หมดความสนใจจะฆ่าศัตรู ตั้งใจออกเดินทางข้ามวังวายุเร้นอาสัญแทน
เมิ่งฉางอวิ๋นย่อมไร้ความเห็นใด
ทั้งคู่เดินออกจากโถง ทะยานสู่ฟ้า เคลื่อนสู่ท้องนภาทันที
ตู้ม!
ทว่า ยามเคลื่อนได้ครึ่งทาง หนึ่งศรสีครามพลันแหวกอากาศมา
รวดเร็วดุจสายฟ้า ดุดันเยี่ยงอัคคี!
อากาศพลันถูกฉีกกระชากเป็นแผลร้าวแคบ ๆ ส่งเสียงคำรามลั่นสะเทือนแดนดิน
เมื่อมองจากเมืองฟ้ากระจ่าง ก็เหมือนเห็นดาวหางอันมีหางยาวเฟื้อยพุ่งผ่านนภา ปักหัวลงสู่พื้น พร่างพราวระยับแสงบนท้องฟ้า
ดุร้ายไร้ใดเทียบ
เมิ่งฉางอวิ๋นแค่นเสียงอย่างเย็นชา หอกศึกสีดำปรากฏในมือจากอากาศธาตุ แทงเข้าไปในอากาแศ
เปรี้ยง!!
ศรสีครามระเบิดแหลก
เมื่อคลื่นปั่นป่วนพัดผ่าน สุญญะรอบข้างพลันสั่นสะเทือนร้าวแหลก
และรอบข้างทั่วสารทิศ ร่างแล้วร่างเล่าก็ปรากฎขึ้น