บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1233: การได้อยู่นานกว่าชาวบ้านหมายความเช่นไร
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1233: การได้อยู่นานกว่าชาวบ้านหมายความเช่นไร
ตอนที่ 1233: การได้อยู่นานกว่าชาวบ้านหมายความเช่นไร
“ในที่สุดก็ถึงเวลาคิดบัญชี!”
ผู้ฝึกตนมากมายปรากฏขึ้นไกลแสนไกล
พวกเขาล้วนแต่เป็นยอดฝีมือจากหอเมฆาเคลื่อน สำนักพันอสูรมาร ลัทธิจักรวาลและพรรคบงกชทมิฬ
พวกเขามองขึ้นไปบนท้องนภาแสนไกล สีหน้าตื่นเต้นเฝ้ารอคอย
ภายใต้ท้องนภา
ห้าตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิยืนกระจัดกระจาย มองมาทางซูอี้และเมิ่งฉางอวิ๋นจากไกล ๆ
ทว่าพลังปราณของพวกเขาล้วนจดจ่อที่เมิ่งฉางอวิ๋น
ส่วนซูอี้ คนเหล่านั้นหาสนใจเขาไม่
เหตุเป็นเพราะปราณของซูอี้ถูกกดเก็บมากมายสุดขีด แทบมิเหลือปราณใด ๆ
กอปรกับอายุยังน้อย จึงถูกมองข้ามได้ง่าย
ในขณะเดียวกัน แม้เมิ่งฉางอวิ๋นจะทำตัวไม่โดดเด่น แต่ยามก่อนที่เขาลงมือ เขาได้สำแดงการฝึกฝนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายออกมาแล้ว
“ตีสุนัขต้องดูเจ้าของ สหายเต๋า ในฐานะราชันแห่งภูมิ การสังหารยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากสำนักพวกข้าในเมืองฟ้ากระจ่างไม่เกินไปหรือ?”
ชายชราผมขาวผู้หนึ่งกล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาถือบาตรสีดำในหนึ่งในมือ เส้นผมพลิ้วสยายทรงพลัง
“มิใช่แค่มากไป มันไร้สติไร้บรรทัดฐานชัด ๆ!”
ชายชุดสีทองผู้หนึ่งกล่าวอย่างเย็นชามาดร้าย
เขาถือคันธนูใหญ่สีม่วง และศรสีครามที่ยิงมาเมื่อครู่ก็เป็นฝีมือเขา
“ข้าแค่อยากรู้ว่าใครกันที่ทำลายหอสมปรารถนา!”
ชายร่างสูงใหญ่ในอาภรณ์หนังสัตว์กล่าวขึ้นเสียงต่ำ
โครงร่างของเขาใหญ่โต บนผิวกายสลักลวดลายลับแห่งกฎเกณฑ์ดุจเทพโบราณ ดุร้ายทรงพลัง
“ท่านทั้งสองคนถูกล้อมไว้แล้ว ก่อนที่เราจะเริ่ม เราไม่ถือหากจะให้โอกาสพวกเจ้าสำนึกผิด ขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองจะเต็มใจก้มหัวหรือไม่”
บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวช้า ๆ
มือของเขาถือพัดขนนก ศีรษะโพกผ้าไหม กิริยาสง่างาม
“การสำนึกผิดขึ้นกับความจริงใจ หาไม่ก็ยากจะหลบพ้นความตาย!”
อีกฝั่งหนึ่ง หญิงชราผู้ถือโคมแปดเหลี่ยมในมือกล่าวขึ้นเสียงแหบพร่า ดวงตารูปสามเหลี่ยมเปี่ยมด้วยความเย็นชา
บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจัง อากาศราวกับถูกปิดกั้นจนแข็งทื่อ
อำนาจร้ายกาจแผ่ออกมาจากราชันแห่งภูมิทั้งห้าคน ปกคลุมทั่วฟ้าดินบริเวณนี้
มองปราดแรก คนทั้งห้าก็ดูราวทวยเทพจากสรวง!
ในเมืองฟ้ากระจ่าง ผู้ฝึกตนแทบทั้งหมดล้วนหยุดการเคลื่อนไหวและมองขึ้นสู่ฟ้าเป็นตาเดียว สีหน้าล้วนแล้วตะลึงงัน
และยอดฝีมือจากขุมกำลังใหญ่เช่นหอเมฆาเคลื่อนและพรรคบงกชทมิฬ ยามนี้ก็ดูตื่นเต้นยิ่งขึ้นทุกขณะ
“มี… แค่พวกเจ้าห้าคนหรือ?”
เมื่อเผชิญกับการล้อมโจมตีเช่นนี้ ซูอี้ก็ดูผิดหวังเล็กน้อย
‘แค่’ อันใดกัน?
ราชันแห่งภูมิทั้งห้าคนล้วนขมวดคิ้ว เด็กนี่ไม่เห็นสถานการณ์หรือไร?
“ใครหรือที่มาจากสำนักเต๋ารุ้งเมฆา”
ซูอี้ถาม
บัณฑิตวัยกลางคนถือพัดขนนกกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าหนู นี่วางแผนเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่หรือไร? งั้นก็เสียใจด้วยนะ ไม่ว่าเจ้าจะรายงานชื่อผู้ใดมาวันนี้ หากมิชดใช้ก็มิรอดหรอก”
ราวกับจะยืนยันตัวตนของเขา ซูอี้เหลือบมองและกล่าวกับบัณฑิตวัยกลางคน “เจ้ามาจากสำนักเต๋ารุ้งเมฆาหรือ?”
บัณฑิตวัยกลางคนพยักหน้ากล่าวเบา ๆ “ถูกต้อง”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “งั้นเจ้าจะได้อยู่นานกว่าคนอื่นหน่อย”
บัณฑิตวัยกลางคน: “???”
ซูอี้สั่ง “เฒ่าเมิ่ง ครานี้เจ้าดูให้ดี”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่งอย่างจริงจัง
ทุกคนล้วนประหลาดใจ
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายไม่แม้แต่จะคิดลงมือ?
ชายหนุ่มผู้ทำให้ราชันแห่งภูมิคอยติดตามรับใช้ข้างกายผู้นี้คือใครกัน?
“เจ้าว่า… จะสู้กับเราทั้งหมดหรือ?”
ชายชราผมขาวถือบาตรสีดำดูจะคิดว่าตนหูฝาด
ทันทีที่เขากล่าวออกไป ราชันแห่งภูมิคนอื่น ๆ ก็อดขำมิได้
มีเพียงม่านตาของชายร่างสูงใหญ่ในชุดหนังสัตว์เท่านั้นที่หดตัวกะทันหัน เขากระแอมแห้ง ๆ และกล่าวขึ้นทันที “ข้าเพิ่งพูดไปว่าแค่อยากรู้ ผู้ใดกันที่ทำลายหอสมปรารถนา ยามนี้ข้าพอจะเข้าใจแล้ว ดังนั้นหมดธุระ ข้าไปล่ะ”
กล่าวจบ ร่างของเขาก็วูบไหวหายลับไปในอากาศ
ไวเสียจนแทบหายไปในพริบตา
สี่ราชันแห่งภูมิที่เหลือตะลึงอึ้ง
เมิ่งฉางอวิ๋นเองก็ผงะไป สงครามยังไม่ทันเริ่ม เขาก็ไปเสียแล้วหรือ?
ซูอี้เองก็อึ้งไป คนผู้นี้ฉลาด!
หญิงชราถือโคมแปดเหลี่ยมอดส่ายหัวมิได้ “คนจากสำนักปีศาจวารีทมิฬผู้นี้ดูดุดันกล้าหาญ แต่ไม่คิดเลยว่าจะร้ายกาจเพียงหน้าตา”
“บางทีเขาอาจสัมผัสถึงบางอย่างก็ได้”
ดวงตาของบัณฑิตวัยกลางคนวูบไหว รู้สึกว่าบางอย่างผิดแปลก
ชายชุดทองถือคันธนูสีม่วงกล่าวอย่างดูแคลน “ยอดฝีมือผู้นี้จากสำนักปีศาจวารีทมิฬใช้ไม่ได้จริง ๆ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเมิ่งฉางอวิ๋นก็อดฉายแววสงสารมิได้
เจ้าเฒ่าเหล่านี้โง่หรือ?
ไม่เลย
น่าเสียดายที่อวดดีไปหน่อย
“เจ้าหนู ที่บอกว่าจะให้ข้ารอดนานกว่าคนอื่นหน่อย หมายความเช่นไร?”
บัณฑิตวัยกลางคนจับจ้องซูอี้
เขาสัมผัสได้ว่าบางอย่างผิดแปลกและตัดสินใจหยั่งเชิง
อันที่จริง นับแต่ปรากฏตัวจวบจนยามนี้ เหตุที่พวกเขาไม่ริเริ่มลงมือแล้วชิงฉวยโอกาสพูดคุยก็เพื่อล้วงรายละเอียดของอีกฝ่าย
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็กำลังรับมือตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ หามีผู้ใดกล้าเลินเล่อไม่
หากมิใช่เช่นนั้น เรื่องคงจบทันทีที่เริ่ม
และการกระทำของซูอี้กับเมิ่งฉางอวิ๋นก็ทำให้พวกเขารู้สึกผิดปกติ มิอาจกล่าวได้ว่าแสร้งทำหรือไร้ความกลัว
นี่คือสาเหตุที่พวกเขาไม่ลงมือ
“อยากรู้หรือ? จะบอกให้เดี๋ยวนี้แหละ”
ซูอี้ยิ้ม
จากนั้น ร่างของเขาก็หายวับไป
อึดใจต่อมา เขาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายชราผมขาวซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุด
“ลอบโจมตีรึ?”
ชายชราผมขาวแค่นเสียงอย่างเย็นชา บาตรสีดำในมือของเขาทะยานสู่อากาศ อสนีบาตสีดำคลั่งโปรยปราย ปราณทำลายล้างรุนแรงสะเทือนพสุธา
ซูอี้ยกมือขึ้นคว้า
ฝ่ามือของเขาแทรกเข้าไปในหมู่อสนีบาต คว้าบาตรสีดำไว้
ชายชราผมขาวผงะตะลึง “เจ้า…”
เสียงของเขายังมิทันสิ้น
ซูอี้ก็สะบัดแขนเสื้อ
เปรี้ยง!
ร่างของชายชราผมขาวระเบิดแหลก วิญญาณละล่องลอย
หนึ่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายตายอนาถ ไร้ทางสู้เยี่ยงแมลงวัน!
และซูอี้ก็ไม่แม้แต่จะมองเขา
เขามองบาตรสีดำในมือ พลางกล่าวขึ้นเบา ๆ “วิธีหล่อหลอมบาตรนี้หยาบเกินไป ทำลายวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์หายากอย่างโลหะสายฟ้าทมิฬเสียของหมด”
ทุกคน “???”
ภาพนี้ทำให้ราชันแห่งภูมิทั้งสามคนที่เหลืออยู่ หัวใจสั่นสะเทือน สีหน้าเปลี่ยนโดยถ้วนทั่ว
แย่แล้ว!
เจ้าเด็กนี่ไม่ปกติอย่างยิ่ง!!
พวกเขาหันหลังเผ่นหนีอย่างไร้ลังเล
ยามนี้ พวกเขาแทบอยากให้บุพการีมอบขาให้พวกเขาเพิ่มสักคู่ พยายามเผ่นหนีอย่างสุดชีวิต สารพัดเคล็ดวิชาตัวเบาถูกงัดออกมาใช้
“รู้เช่นนี้ ข้าเผ่นป่าราบไปกับเจ้าคนจากสำนักปีศาจวารีทมิฬเสียก็ดี!”
ชายชุดทองลอบนึกเสียใจ
ในฐานะราชันแห่งภูมิ ไร้ผู้ใดโง่งม
เขาเองก็สัมผัสได้ว่าบางอย่างผิดปกติ แต่หาได้สนใจไม่ เพราะตั้งใจจะล้วงข้อมูลคู่ต่อสู้ให้มากกว่านี้
แต่ใครเล่าจะคิดว่าเหตุพลิกผันถัดมาจะน่ากลัวเสียจนพวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสหยั่งเชิง และเพียงพริบตา ชายชราผมขาวจะสิ้นใจอย่างน่าเวทนา!
ฉัวะ!
ทันใดนั้น รอยร้าวก็เหยียดตรงบนอากาศอันห่างไกล
ชายชุดทองตกใจ หันหลบเตรียมเปลี่ยนทิศทางหนี
ทว่าอึดใจต่อมา เขาก็ต้องตะลึงที่พบว่าไกลออกไปพลันปรากฏร่างไร้หัวขึ้น ถือคันธนูสีม่วงในมือ
นั่นมันร่างของเขา!
“นี่…”
ชายชุดสีทองก้มหัวลงอย่างยากลำบาก และเป็นจริงตามนั้น เขาเห็นว่าร่างของเขาหายไปแล้ว
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ดำมืดสิ้นสติ
ในสายตาของเมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งอยู่ห่างออกไป การตายของชายชุดสีทองซึ่งเป็นตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นดูประหลาดอย่างยิ่ง
มันดูราวกับเขาวิ่งชนปราณดาบของใต้เท้าทัศนาจารย์ คอและร่างแยกจากกันในทันที ศีรษะปลิดปลิวสู่ฟ้า!
“มิใช่เพราะเขาปฏิกิริยาช้าเกิน แต่ปราณดาบของใต้เท้าทัศนาจารย์เร็วเกินไปต่างหาก…”
หัวใจของเมิ่งฉางอวิ๋นสั่นระรัว
“ไม่!”
ไกลออกไป หนึ่งเสียงกรีดร้องโหยหวน
เมิ่งฉางอวิ๋นหันกลับไปด้านหลัง และพบว่าหญิงชราผู้ถือโคมแปดเหลี่ยมในมือซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันจั้งถูกสังหารลงอย่างเหี้ยมโหด
นางตายแย่เสียยิ่งกว่า ร่างและวิญญาณของนางถูกพิรุณปราณดาบฉีกกระชากจนเละเทะ!
“ไยจึงเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นเป็นใครกัน? เห็นกันอยู่ว่าเขาอายุเพียงยี่สิบเศษ ปราณเล็กจ้อยไร้ความพิเศษ ทว่าเหตุใด… จึงน่ากลัวนัก?”
บัณฑิตวัยกลางคนหนีอย่างสุดชีวิต
เขาใช้วิชาตัวเบาโดยมิสนใจว่าจะทำลายตนเองหรือไม่
ทว่าในพริบตา เขาพลันตระหนักว่าพลังทั้งหลายทั่วฟ้าดินดูราวกับถูกล่ามตรวนหยุดนิ่ง สุญญะดูค้างกับที่
และเขาก็เหมือนจมในหล่มโคลน วิถีเต๋าถูกกดอย่างร้ายแรง
“บ้าเอ๊ย!”
บัณฑิตวัยกลางคนหน้าซีดเผือด
ยามนี้ ร่างของซูอี้โผล่มาถามจากอากาศธาตุ “ไยจึงหนีเล่า ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะได้อยู่นานกว่าคนอื่น มิผิดวาจาหรอกนะ”
“ข้ายอมแพ้!”
บัณฑิตวัยกลางคนตะลึงอึ้ง กรีดร้องทันที “ได้โปรด ขอผู้อาวุโสเมตตาผู้น้อยด้วย!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ตลอดกาลผ่านมา การที่หอเมฆาเคลื่อนกระทำการรุนแรงกับผู้ฝึกตัวจากภูมิดาราฟ้าดิน เป็นฝีมือสำนักเต๋ารุ้งเมฆาของเจ้าหรือไม่?”
บัณฑิตวัยกลางคนกล่าวเสียงสั่น “หากข้าตอบตามจริง ผู้อาวุโสไว้ชีวิตข้าได้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “หากเจ้าไม่ตอบ เจ้าจะได้ใช้ชีวิตแย่กว่าตาย แต่หากตอบ เจ้าจะได้ตายไว ๆ เลือกเอา”
บัณฑิตวัยกลางคนดูสิ้นสติโดยสิ้นเชิง เขาขบเขี้ยวขณะส่งเสียงลอดไรฟัน “ฆ่าข้าไป ไม่เพียงสำนักเต๋ารุ้งเมฆาจะมิละเว้นเจ้า แต่ยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวจะมิละเว้นเจ้าด้วย!”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ว่าแล้วเชียว เป็นไปตามคาด นี่แหละคำตอบที่ข้าต้องการ”
บัณฑิตวัยกลางคน “???”
ฉับ!
หนึ่งปราณดาบปรากฏ สังหารเขาทันที
ยามนี้ สี่ราชันแห่งภูมิก็ถูกสังหารเรียบภายในชั่วดีดนิ้ว!
เมิ่งฉางอวิ๋นหาได้แปลกใจไม่
เพราะตัวตนเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง มิมีผู้ใดสู้เขาได้เลย
“เฒ่าเมิ่ง เก็บสินสงคราม ข้าจะไปรอเจ้าแถว ๆ วังวายุเร้นอาสัญ”
ซูอี้สั่ง
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่ง รีบร้อนง่วนกับงานทันที
ราชันแห่งภูมิจากภูมิดาราหมื่นโฉลกผู้นี้ แม้จะเคยรับใช้ซูอี้ แต่ก็ยังมิเข้าบทบาทบ่าวเท่าไร
ทว่ายามนี้ เขากลับประพฤติหน้าที่บ่าวอย่างสมบูรณ์แบบ
ซ้ำยังแสนยินดี ภาคภูมิในบทบาทตนเสียด้วย…
ซูอี้ใช้หนึ่งมือถือไหสุรา อีกหนึ่งมือไพล่หลังเคลื่อนคล้อยบนอากาศ อาภรณ์เขียวพัดกระพือ หายลับท้องนภาไปในไม่กี่พริบตา
………………..