บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1234: ซางเจี้ยนโหลว
ตอนที่ 1234: ซางเจี้ยนโหลว
เมืองฟ้ากระจ่าง
ผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนตะลึงค้าง
ห้าราชันแห่งภูมิ ตายสี่!
นี่ย่อมเป็นเหตุนองเลือดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิทมิฬเร้น
หากแพร่ออกไป มันอาจสร้างคลื่นกระเพื่อมในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวได้!
ยอดฝีมือจากหอเมฆาเคลื่อน พรรคบงกชทมิฬและขุมอำนาจอื่น ๆ ซีดขาวราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง
พวกเขาตระหนักแล้วว่าทุกสิ่งล้วนสิ้นสุด!
ต่อให้คู่ต่อสู้จะรังเกียจมาลงมือกับปลาซิวปลาสร้อยเช่นนี้ แต่ด้วยการกวาดล้างดุจพายุ ภายหน้า ภูมิทมิฬเร้นนี้จะไม่มีที่ให้พวกเขาได้ซุกหัวอีก
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นไปได้มากด้วยว่าจะมีผู้ปาหินใส่คนตกบ่อ เหยียบย่ำซ้ำเติมพวกเขาอีก!
วาฬตกตาย หมื่นชีวิตก่อกำเนิด
ยามยักษ์โค่น ย่อมถูกฝูงหมาป่ากลืนกิน
“มีตัวอย่างนองเลือดเพียงนี้ ภายหน้า ใครเล่าจะกล้าหมายหัวคนจากภูมิดาราฟ้าดิน?”
ผู้อาวุโสบางคนซึ่งเห็นเหตุการณ์พลิกผันถอนใจรำพึง
“เวร ดีนะที่ข้าหนีเร็ว หาไม่ เกรงว่าคงตายตกตามคนอื่น ๆ ไปแล้ว!”
ห่างออกไปในหลืบมุมหนึ่ง ชายร่างสูงใหญ่กำยำในชุดหนังสัตว์ปาดเหงื่อโซมกาย
เขาเองก็ตกใจกลัวเช่นกัน
ต้องร้ายกาจเพียงใดจึงสามารถสังหารราชันแห่งภูมิง่าย ๆ เพียงชั่วดีดนิ้ว?
“ตัวตนร้ายกาจเช่นนี้โผล่มาในภูมิทมิฬเร้นแต่ยามใดกัน?”
ชายในชุดหนังสัตว์ขมวดคิ้ว
ทว่ายามนี้ เมื่อคิดถึงเหตุนองเลือดเมื่อครู่ เขาก็มิอาจหยุดหัวใจมิให้สั่นสะท้านได้
ร้ายกาจยิ่ง!
ภายหน้าเมื่อพบกับคนผู้นี้ ต้องเผ่นหนีไปให้ไกลที่สุด!
“จะว่าไป จากที่ผู้ใต้บัญชาในหอสมปรารถนาพูด เรื่องทั้งหมดก็เริ่มเพราะการล่าผู้ฝึกตนจากภูมิดาราฟ้าดิน หรือชายหนุ่มชุดเขียวนั่นจะมาจากภูมิดาราฟ้าดิน?”
เมื่อคิดเช่นนี้ เถาเมิ่ง ชายในชุดหนังสัตว์ก็คิดในใจ และพลันจำข่าวลืออันก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในจักรวาลพร่างดาวเมื่อปีก่อนขึ้นมาได้
ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์หวนคืนมาฝึกฝนใหม่ และพำนักอยู่ในภูมิดาราฟ้าดิน!!
“หรือ… หรือว่า… จะเป็นทัศนาจารย์จริง ๆ?”
หัวของเถาเมิ่งอื้ออึงราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ณ ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว แม้ทัศนาจารย์จะห่างหายไปไม่รู้กี่ปี แต่ตำนานของเขาก็ยังแพร่หลายในโลกหล้า!
ในหัวใจเหล่าราชันแห่งภูมิทั้งหลาย กล่าวได้ว่าคนผู้นั้น ‘เป็นดั่งเทพ’!
เถาเมิ่งจำได้ชัดเจนว่ายามข่าวเกี่ยวกับทัศนาจารย์แผ่ไปทั่วจักรวาลพร่างดาวเมื่อนานมาแล้ว เหล่าตัวตนบรรพกาลซึ่งอยู่มานานที่สุดในสำนักปีศาจวารีทมิฬล้วนตกตะลึงจังงังกับข่าวนี้!
“หากเขาเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์จริง ๆ งั้นเหตุใดเขาจึงมาโผล่ในภูมิทมิฬเร้นได้เล่า หรือว่า… เขาจะหวนคืนจักรวาลพร่างดาว สานต่อตำนานแห่งอดีต?”
เถาเมิ่งคิดเช่นนี้ และเขาพลันตระหนักว่าหากคาดการณ์ถูกต้อง งั้นทั่วจักรวาลพร่างดาวในภายหน้าก็คงได้ปั่นป่วนเป็นแน่!
“ข้ารอดมาได้วันนี้ เป็นบุญกุศลในอดีตชาติหนุนเกื้อโดยแท้… ในภายหน้า ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้!”
เถาเมิ่งตบอกตน รู้สึกเพียงว่าไม่มีสิ่งใดนับเป็นโชคดีได้เท่านี้อีกแล้ว!
…
วังวายุเร้นอาสัญปกคลุมทั่วจักรวาลพร่างดาวไร้ขอบเขตดุจม่านแห่งสวรรค์
ยามเข้าสู่ภาวะชะงักงัน มันดูราวกับราตรีกาลอันเงียบสงบ ปกคลุมพื้นที่เบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ
เศษอุกกาบาตนับไม่ถ้วนละล่องอยู่ในวังวายุเร้นอาสัญ
ซูอี้มองทั้งหมดนี้จากไกล ๆ ดวงตาฉายประกายหวนรำลึก
ในอดีตชาติ เขาเองก็เคยมาพบพานและเดินทางทัศนาที่นี่
“คุณชาย สินสงครามขอรับ”
ไม่นานนัก เมิ่งฉางอวิ๋นก็พลิ้วกายมาจากไกล ๆ เตรียมส่งสินสงครามให้เขา
“เจ้าเก็บมันไว้ก่อน”
ซูอี้ว่า พลางก้าวเข้าไปสู่วังวายุเร้นอาสัญ
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบตามเขาไป
ระหว่างทาง ทั่วฟ้าดินเงียบเหงาวังเวง มืดสลัวนิ่งงันดุจป่าช้า นาน ๆ ครั้งจะเห็นได้ว่ามีรอยแตกมิติขนาดหลายพันจั้งลอยคว้างกลางอากาศ แผ่รัศมีอันตราย
วังวายุเร้นอาสัญนั้นช่างกว้างใหญ่ เทียบได้กับขนาดของภูมิดารามากมายรวมกัน
แม้มันจะตกสู่สภาวะนิ่งงัน แต่ก็ยังมีพื้นที่อันตรายร้ายกาจกระจัดกระจายภายในมากมาย หากไร้ผู้แข็งแกร่งมากประสบการณ์นำทาง เข้ามาสิบก็ยังตายเก้า
ทว่า สำหรับซูอี้และเมิ่งฉางอวิ๋น พวกเขาย่อมไม่กลัว
สองวันต่อมา
ซูอี้พลันชะงัก และมองไปยังพื้นที่หนึ่งอันปกคลุมด้วยหมอกสีดำไกล ๆ
เห็นได้เลือนรางว่ามีดินแดนที่ดูเหมือนซากปรักหักพังอยู่ในนั้น ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
เมิ่งฉางอวิ๋นมองปราดเดียวก็จำได้ว่ามันคือ ‘แดนรกร้างหมื่นพิษ’ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่อันตรายสูงสุดของวังวายุเร้นอาสัญ มีพิษร้ายแปลกประหลาดมากมายกระจายอยู่
ต่อให้ราชันแห่งภูมิบุกเข้าไป ไปสิบก็ยังตายเก้า
“ไม่รู้ว่าตาน้ำนั่นจะแห้งไปหรือยัง แต่ไปดูกันเถอะ”
ทันทีที่ซูอี้ว่า เขาก็เดินไปยัง ‘แดนรกร้างหมื่นพิษ’
เดิมเมิ่งฉางอวิ๋นคิดจะเตือนเสียหน่อย ทว่าเขาก็หัวเราะเยาะตนเองพลางส่ายหน้าทันที เขาคิดอันใดอยู่กัน มีใต้เท้าทัศนาจารย์อยู่ จะเกิดเรื่องร้ายอันใด?
เปรี้ยง!
เมื่อแรกย่างกรายสู่แดนดินอันปกคลุมด้วยหมอกทมิฬ แสงสีเลือดนับไม่ถ้วนก็พุ่งขึ้นมาราวถูกกระตุ้น
เมื่อมองดี ๆ ก็พบว่าเป็นปีศาจผึ้งสีเลือดที่มีขนาดเท่ากำปั้น หน้าตาน่ากลัว ปีกปกคลุมด้วยลวดลายประหลาดสีดำ ดวงตาแดงฉานดุจโลหิต
ภมรพิษกระหายเลือด!
เป็นนักล่าในจักรวาลพร่างดาวที่รับมือได้ยากยิ่งยวด พวกมันเคลื่อนไหวเป็นฝูง สามารถดูดเลือดสูบเนื้อตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิสิ้นได้ในพริบตา!
ในขณะที่เมิ่งฉางอวิ๋นกำลังจะลงมือนั้นเอง
ซูอี้ก็ส่ายหน้า “อย่าเลย ฆ่ามันไปก็ไม่จบสิ้นหรอก”
ว่าพลาง เขาก็โคจรเคล็ดวิชานาม ‘เงามังกรคบเพลิง’
ทันใดนั้น อำนาจมหาศาลอันน่าหวาดหวั่นก็แผ่ออกจากร่างของซูอี้ เกิดภาพหลอนเหมือนมังกรคบเพลิงยาวนับหมื่นจั้งขดกายบนอากาศเหนือหัวของซูอี้
ปราณยิ่งใหญ่เย็นชาดุจเงามหึมาที่ทอดลงมาทั่วฟ้าดิน
ไกลออกไป เหล่าภมรพิษกระหายเลือดพลันหนีกระเจิงอย่างตื่นตระหนก
บางตัวกลัวจนกระทั่งร่วงลงแน่นิ่งกับพื้น
กลัวจนช็อกตาย!
สิ่งนี้ทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นได้เปิดหูเปิดตา
“ไปกันเถอะ ไม่น่ามีพิษใดกล้ามายุ่งกับเราแล้วล่ะ”
ซูอี้นำทาง
จริงดังว่า ระหว่างเดินทางต่อ เมิ่งฉางอวิ๋นก็พบว่ามีสิ่งพิษบางอย่างที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งและมีปราณประหลาดซึ่งยังมิเผยตัวซุ่มซ่อน พวกมันร่นหนีดุจคลื่นแหวกราวสัมผัสอันตรายได้
และตลอดทางพวกเขาก็ไร้อันตรายใด
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างนอบน้อม “ใต้เท้า ตาเฒ่าผู้น้อยขอบังอาจ ข้าสงสัยและมีคำถามอยากขอคำชี้แนะจากท่านอยู่ขอรับ”
“ว่ามา”
ซูอี้ว่า
“เคล็ดวิชามหาวิถีในโลกนี้ ใต้เท้าบรรลุไปมากน้อยเพียงไรหรือขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นถาม
ซูอี้นิ่งคิดชั่วขณะ “ข้าไม่เคยมานั่งนับจริงจังนะ เอาเป็นว่า ข้าบรรลุหลักคำสอนสูงสุดและมรดกสูงสุดในจักรวาลพร่างดาวแล้วกัน เช่นพุทธวิถี วิถีมาร วิถีขงจื่อ วิถีปีศาจ วิถีวิญญาณและอื่น ๆ อย่างละนิดละหน่อย”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงอึ้ง นี่ก็แทบเรียกได้ว่าชำนาญหมื่นวิถี เจนจัดในทุกกฎเกณฑ์แล้วนะ จะมาบอกว่า… นิดหน่อยได้อย่างไร?
มันไม่นิดแล้ว นิดไม่หน่อยชัด ๆ!
“กระทั่งปุถุชนผู้อายุยืนยาวยังสำเร็จทุกทักษะในโลกได้ อย่าว่าแต่เราผู้ฝึกตนเลย”
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “การฝึกฝนวิถีเต๋าที่ว่านั้นควรมีความกล้าจะรับความรู้ทุกแขนง หล่อหลอมหมื่นวิถีเพื่อประโยชน์ตน และเรียนรู้จุดแข็งของคนทุกผู้เพื่อพัฒนาตน ก้าวข้ามจุดบกพร่องของตนเอง”
เมิ่งฉางอวิ๋นฟังและคิดตาม
โชคร้ายที่คนเรามิได้เกิดมาเหมือนกันหมด
สารพัดมรดกในวิถีต่าง ๆ ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว มีหรือใครก็ได้จะได้เล่าเรียน?
ต้องทราบว่ายิ่งเป็นวิถีโบราณ ยิ่งมีการควบคุมมรดกของตนเองอย่างเคร่งครัด
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไป กระทั่งผู้แข็งแกร่งเยี่ยงราชันแห่งภูมิยังไร้โอกาสครูพักลักจำ!
ส่วนใต้เท้าทัศนาจารย์…
ย่อมมิอาจนำมานับรวมกันได้
เมิ่งฉางอวิ๋นแน่ใจว่าหากใต้เท้าทัศนาจารย์ไปยังขุมกำลังสูงสุดเหล่านั้น และกล่าวว่าอยากยืมมรดกคัมภีร์โบราณมาอ่านสักหน่อย เกรงว่าคงไร้ผู้ใดกล้าปฏิเสธลง!
นั่นแหละความแตกต่าง
มิเชื่อไม่ได้!
“ถึงแล้ว”
ไกลออกไป ปรากฏหุบเหวในสายหมอกขึ้น
ในหุบเหวนั้นมีแสงศักดิ์สิทธิ์ทอประกายสลัวมัว ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
ดวงตาของซูอี้นิ่งมอง ณ จุดนั้น
“ที่นี่มีตาน้ำอยู่ และทุก ๆ พันปี ‘โอสถทิพย์เร้นปริศนา’ มากมายจะพุ่งออกมา มันเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์บางอย่างที่พบหามิได้ เป็นประโยชน์เหลือคณานับสำหรับผู้ฝึกตนที่มีความสามารถ ‘เส้นชีพทมิฬเก้าหยิน’”
ซูอี้กระซิบ “เมื่อนานมาแล้ว ข้าเคยพาเจ้าคนชื่อซางเจี้ยนโหลวมาดูดซับโอสถทิพย์เร้นปริศนาที่นี่ แล้วพิสูจน์วิถีสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ สร้างพื้นฐานมหาวิถีอันหาได้ยากยิ่งในชั่วยุคสมัย”
“ทว่าจากนั้น…”
กล่าวถึงจุดนี้ ซูอี้ก็ถอนใจเบา ๆ มิได้กล่าวอันใดอีก
นี่คือความทรงจำของทัศนาจารย์
การพบพานกับซางเจี้ยนโหลวก็เป็นหนึ่งในความเสียใจไม่กี่อย่างในชั่วชีวิตของทัศนาจารย์
เมิ่งฉางอวิ๋นพลันจำบางอย่างขึ้นได้ ก่อนกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ “ซางเจี้ยนโหลว… หรือจะเป็น ‘มารดาบเก้าหยิน’ ผู้บุกเดี่ยวเข้าไปในสิบสามถ้ำมาร ณ ภูมิดารานภาหยิน ฟาดฟันราชันแห่งภูมิสิบเก้าคนด้วยดาบของเขา?”
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นพลันรู้สึกหนังหัวชายิบ ที่แท้ก็เป็นยักษ์ใหญ่วิถีดาบผู้น่าหวาดหวั่นผู้นั้น!
เมื่อนานมาแล้ว จักรวาลพร่างดาวได้คัดเลือกราชันแห่งภูมิอันแข็งแกร่งที่สุดในวิถีดาบขึ้นสิบอันดับ
ในหมู่พวกเขา มี ‘มารดาบเก้าหยิน’ ซางเจี้ยนโหลวรวมอยู่ด้วย!
ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็นราชันผู้สืบสายเลือดวิถีมาร แข็งแกร่งน่าอัศจรรย์จนทำให้ขุมกำลังสูงสุดในจักรวาลพร่างดาวบางแห่งต้องหวาดกลัว
ควรค่ากล่าวถึงว่าในหมู่ราชันแห่งภูมิที่แข็งแกร่งที่สุดในวิถีดาบทั้งสิบอันดับไร้ชื่อของทัศนาจารย์
เพราะความแข็งแกร่ง ณ ขณะนั้นของทัศนาจารย์มิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็ตัดสินได้ ต่อให้จัดเขาขึ้นลำดับหนึ่งก็ยังยากจะบรรยายความแข็งแกร่งของเขาได้
เมิ่งฉางอวิ๋นมิเคยคาดฝันว่ายามที่ซางเจี้ยนโหลวเข้าสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ ผู้ช่วยเหลือขัดเกลาเขาจะเป็นใต้เท้าทัศนาจารย์
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นพลันเข้าใจว่าเหตุใดซูอี้จึงมิพูดอันใดอื่น
เพราะเมื่อนานมาแล้ว มารดาบเก้าหยินซางเจี้ยนโหลวได้ตกตายสิ้นใจ กล่าวกันว่าเขาถูกขุมกำลังลึกลับแห่งหนึ่งล้อมสังหาร!
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้เดินไปยังหุบเหวไกลออกไป
เมิ่งฉางอวิ๋นทิ้งเรื่องฟุ้งซ่านและออกเดินตาม
ที่ทางเข้าหุบเหว เสียงชราวัยเสียงหนึ่งดังขึ้น
“สหายเต๋าทั้งสองโปรดหยุดก่อน!”
มีผู้มาถึงก่อนแล้วหรือ?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตลอดกาลนานมา นอกจากเขาและซางเจี้ยนโหลว ที่แห่งนี้แทบไม่มีผู้ใดได้สำรวจ
ทว่ายามนี้กลับมีคนโผล่มา ซูอี้จึงแปลกใจนัก
ชายชราผู้หนึ่งในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มเดินออกมาจากในม่านหมอก
เขามีเส้นผมดกดำ ใบหน้าชราวัย ไม่ยิ้ม แววตาเฉยชาแลดูกดดัน
ร่างของเขาเปี่ยมปราณของยอดฝีมือขอบเขตมหาจักรพรรดิ
“ขอสหายเต๋าทั้งสองให้ความร่วมมือ หยุดลงที่นี่ด้วย”
ชายชราชุดสีน้ำเงินเข้มคำนับ วาจากิริยาสุภาพมาก
ทว่าก็เป็นที่ชัดเจนว่าอีกฝ่ายกำลังออกคำสั่ง