บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1235: เส้นชีพทมิฬเก้าหยิน ทายาทแห่งมิตรเก่าผู้วายชนม์
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1235: เส้นชีพทมิฬเก้าหยิน ทายาทแห่งมิตรเก่าผู้วายชนม์
ตอนที่ 1235: เส้นชีพทมิฬเก้าหยิน ทายาทแห่งมิตรเก่าผู้วายชนม์
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงอึ้ง เป็นเพียงตัวตนในขอบเขตมหาจักรพรรดิ แต่ต้องการมาไล่พวกเขาไปหรือ?
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในกาลก่อน เขาคงเดือดดาลสังหารเสียทันที!
ทว่า เมิ่งฉางอวิ๋นรู้ดีว่าตนในยามนี้เป็นเพียงบ่าว จึงสงบปากสงวนคำอย่างเจียมตน และเก็บความคิดไว้เพียงในใจ
อันที่จริง เขาไม่ครหาชายชราว่ามีตาไร้แววหรอก
ปราณของซูอี้ถูกเก็บสะกด ต่อให้เป็นตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิก็ยังมิอาจมองทะลุการฝึกฝนเขาได้
แล้วในฐานะบ่าวรับใช้ เมิ่งฉางอวิ๋นหรือจะกล้าทำตัวโดดเด่น?
เขาทำเพียงยืนสงบเสงี่ยมอยู่เบื้องหลังเยี่ยงบ่าวเฒ่าผู้นอบน้อมเชื่อฟัง มิกล้าเทียบตนกับซูอี้
ด้วยเหตุนี้ ชายชราในชุดยาวจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตนกำลังเผชิญหน้ากับตัวตนร้ายกาจแบบใดอยู่
ซูอี้เหลือบมองชายชราชุดยาวด้วยแววตาประหลาดพิกล ก่อนกล่าวออกมาว่า “เจ้ามาจากตระกูลซางหรือ?”
ชายชราชุดยาวตกใจ แล้วจึงกล่าวอย่างอึ้ง ๆ “ผู้อาวุโสเห็นได้เช่นไร?”
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน พลางพูดกับตนเอง “ว่าแล้วเชียว”
เขาสงสัยอยู่ว่าไยจึงมีผู้มาหาที่นี่พบได้
ยามนี้จึงกระจ่างชัดว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลซาง เป็นสมาชิกวงศ์วานของซางเจี้ยนโหลว!
หัวใจของซูอี้วูบไหวไปชั่วขณะ “บังเอิญข้าพอรู้มาว่ามรดกสูงสุดของตระกูลซางคือ ‘คัมภีร์สุดหยินเก้าแปร’ จึงมองเจ้าออกได้ทันทีน่ะ”
ชายชราชุดยาวกล่าวอย่างตื่นตะลึง “สายตาของผู้อาวุโสยอดเยี่ยม!”
และยามนี้เองที่เมิ่งฉางอวิ๋นรู้ว่าแท้จริงแล้ว อีกฝ่ายคือสมาชิกวงศ์วานของมารดาบเก้าอินซางเจี้ยนโหลว และอดประหลาดใจมิได้
จากนั้นซูอี้พลันถามว่า “หรือตระกูลของเจ้าจะมีทายาทผู้สืบทอด ‘เส้นชีพทมิฬเก้าหยิน’ ขึ้นอีกแล้วหรือ?”
ม่านตาของชายชราชุดยาวหดตัวอย่างเงียบงัน เห็นได้ชัดว่าแปลกใจ
เขามิได้ตอบ ทว่าประคองกำปั้นถาม “ขอบังอาจถามนามของผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “อย่าห่วงไป ข้าหามีเจตนาร้ายไม่ แต่ข้ารู้ว่าโอสถทิพย์เร้นปริศนาที่ก่อกำเนิดที่นี่มีคุณประโยชน์เกินคาดหยั่งสำหรับสมาชิกตระกูลซางผู้มีเส้นชีพทมิฬเก้าหยิน”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวอย่างจริงจัง “หากทำได้ ข้าก็อยากพบกับคนผู้นี้”
หัวใจของเขาตื่นเต้นเล็กน้อย
กระทั่งในตระกูลซาง ผู้มีความสามารถเส้นชีพทมิฬเก้าหยินก็หาได้ยากยิ่ง
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีจำนวนน้อย แต่เป็นเพราะพัน ๆ ปีจะเกิดมาได้สักคน!
ยามซางเจี้ยนโหลวยังมีชีวิต เขาเคยกล่าวว่าในหนึ่งหมื่นเก้าพันปีก่อนหน้าเขา ไร้ผู้ใดซึ่งมีเส้นชีพทมิฬเก้าหยินเกิดมาในตระกูลซาง
หลังจากเขาเกิดมาได้สามหมื่นปี เขาก็ได้เห็นเพียงหนึ่งสมาชิกตระกูลที่มีเส้นชีพทมิฬเก้าหยินเช่นเดียวกับเขา และน่าเสียดายที่คนผู้นั้นมีสายเลือดไม่สมบูรณ์
จากวาจานี้ก็สามารถคาดได้ว่าเส้นชีพทมิฬเก้าหยินหาได้ยากเพียงใด จึงมิอาจคาดหวังพบพานได้เลย
และยามนี้ ปรากฏว่ามีคนจากตระกูลซางมาปรากฏที่นี่ เห็นได้ชัดว่าต้องการหล่อหลอมโอสถทิพย์เร้นปริศนาเพื่อปลดศักยภาพเส้นชีพทมิฬเก้าหยินของตน
สิ่งนี้ย่อมทำให้ซูอี้ตื่นเต้น
ความตายของซางเจี้ยนโหลวเป็นความอาวรณ์ในอดีตชาติของเขาเสมอมา
หากปลดเปลื้องมันได้เสียตอนนี้ก็คงดียิ่ง
“ไม่เหมาะสม”
ชายชราในชุดยาวส่ายหน้า “ท่านผู้นั้นของตระกูลข้ากำลังเก็บตัวในช่วงคับขัน ต้องไม่ถูกรบกวนใด ๆ”
“ท่านผู้นั้นของตระกูลเจ้า?”
ซูอี้ถาม “เขาชื่ออันใด?”
ชายชราชุดยาวตอบ “ซางชิงพิง”
ซูอี้ประหลาดใจ “เป็นสตรีหรือ?”
ชายชราชุดยาวประหลาดใจ “ในเมื่อผู้อาวุโสรู้ที่มาของตาเฒ่าผู้นี้ เหตุใดจึงมิทราบเล่าว่าคุณหนูตระกูลข้าคือธิดาอันโดดเด่นเลิศล้ำที่สุดในตระกูลทุกวันนี้?”
ซูอี้แย้มยิ้ม “ข้าห่างหายจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวมานานแสนนาน จึงไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องในตระกูลเจ้าจริงแท้”
ทันใดนั้น เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในหุบเหว
“ลุงหง เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
พร้อมกันนั้น หนึ่งสตรีร่างสูงก็เดินออกมาจากในหุบเหวอันปกคลุมด้วยหมอก
นางสวมอาภรณ์สีม่วง ดวงตาและซี่ฟันกระจ่างใส ผิวขาวเนียนเยี่ยงหิมะ เรือนผมดำขลับรวบมวยสูง งดงามสะกดสายตา
ชายชราชุดยาวก้มหัวคำนับเล็กน้อย และส่งกระแสปราณบอกสตรีชุดม่วงถึงเรื่องทั้งหมดที่นี่
เมื่อฟังจบ มุมปากของสตรีชุดม่วงก็ยกยิ้มหยอกเย้า “ลุงหง ข้าพอทราบแล้ว เจ้าไปได้”
กล่าวจบ นางก็เดินมาหาซูอี้ ดวงตาราวกับหงส์มองพินิจซูอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
จากนั้นนางก็กอดอก คางขาวเชิดขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าวยิ้ม ๆ “หน้าตาดีนะนี่ หายากที่เจ้ายังหาที่นี่พบได้ มีฝีมือไม่น้อยเลย”
“ทว่า เพื่อมิให้ต้องเสียหน้าต่อกัน หวังว่าเจ้าจะหยุดที่นี่ได้ อย่าได้คิดถึงชิงพิงอีก”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึงไป ดวงตาแปรเปลี่ยนประหลาด ยายหนูนี่คิดว่าใต้เท้าทัศนาจารย์กำลังเกี้ยวซางชิงพิงผู้นั้นอยู่หรือไร?
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้ามีสัมพันธ์ใดกับซางชิงพิง?”
ชายชราชุดยาวก้าวออกมาแนะนำ “สหายเต๋า นี่คือแม่นางเหยาเสวี่ย ทายาทตระกูลเหยาจากภูมิดาราเยือกเหมันต์ และยังเป็นสหายรักของคุณหนูของตระกูลข้าด้วย”
ตระกูลเหยาโบราณ?
ซูอี้คิดขึ้นมา และมิได้คิดถึงสิ่งใดเกี่ยวกับตระกูลนี้ขึ้นอีก
“เอาล่ะ โปรดไปได้แล้ว”
เหยาเสวี่ย หรือสตรีในชุดม่วงกล่าวเบา ๆ การวางตนของนางอบอุ่นสุขุมและสงวนตัวอยู่เสมอ
ซูอี้แย้มยิ้ม หาได้สนใจยายหนูผู้สุขุมไม่ ทว่าเนื้อแท้กลับเปี่ยมความหยิ่งทะนงผู้นี้อีก
เขาหันไปกล่าวกับชายชราชุดยาวว่า “ก่อนคุณหนูตระกูลเจ้ามา เคยได้หล่อหลอม ‘มธุรสเซียนเคียงตะวัน’ มาก่อนหรือไม่?”
ชายชราชุดยาวงุนงง “สหายเต๋าหมายความเช่นไร?”
เหยาเสวี่ยมีสีหน้าไม่พอใจ คนผู้นี้ยังคิดพัวพันมิเลิกหรือ?
ไม่ยอมไปเสียที… น่ารำคาญจริง ๆ!
เขาคิดว่าพวกนางมิแข็งกร้าวพอหรือไร?
ทว่าซูอี้นวดหว่างคิ้ว รำพึงเบา ๆ “ยุ่งแล้วสิ”
ทันทีที่สิ้นคำ คลื่นอำนาจรุนแรงสายหนึ่งพลันก่อขึ้นในหุบเหว
ตามด้วยเสียงอู้อี้แว่วมาไกล ๆ อย่างเจ็บปวด
ใบหน้าของชายชราชุดยาวและเหยาเสวี่ยล้วนเปลี่ยนสีอย่างพร้อมเพรียง จากนั้นจึงพุ่งเข้าไปในหุบเหวโดยมิครุ่นคิดอันใดอีก
“เฒ่าเมิ่ง เจ้ารอที่นี่นะ”
ซูอี้กล่าวพลางเดินเข้าไปในหุบเหวเช่นกัน
เมิ่งฉางอวิ๋นยืนตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดกับที่
เขาติดตามรับใช้ซูอี้มาสักพักแล้ว และนี่คือยามแรกที่เขาได้เห็นใต้เท้าทัศนาจารย์ริเริ่มทำบางสิ่งก่อน
“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างใต้เท้าทัศนาจารย์และมารดาบเก้าหยินซางเจี้ยนโหลวจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว และเพราะเหตุนี้ เขาจึงสนใจกับทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเขา และให้ความสนใจเรื่องวันนี้มาก”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเสียงขรึม
ภายในหุบเหว
หมอกลอยซ้อนเรียงชั้น แสงศักดิ์สิทธิ์เจิดจรัสทอระยิบระยับ
หนึ่งตาน้ำรินหลั่งวารีแผ่วเบา
ธารวารีนั้นประหลาดยิ่ง มันดูราวกับมุกหลอมใสอันบางเบา เรืองประกายสีครามจาง ๆ ปราณศักดิ์สิทธิ์พลิ้วแผ่ว
นั่นคือโอสถทิพย์เร้นปริศนา!
สมบัติอันกล่าวได้ว่าพบได้ แต่มิอาจค้นหาในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
ขณะนี้ หนึ่งสตรีในชุดกระโปรงสีดำกำลังนั่งอยู่ข้างธาร
ใบหน้าของนางงดงามสิ่งนัก ผิวกระจ่างเยี่ยงหยก ท่าทางเย็นชาเย่อหยิ่ง
ทว่าขณะนี้ใบหน้าของนางซีดขาว สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินซุกซ่อน ร่างสะโอดสะองบอบบางของนางสั่นเทิ้มน้อย ๆ
หยาดโลหิตยังคงหลั่งรินจากริมฝีปากของนาง
“คุณหนู!”
ชายชราชุดยาวกระวนกระวาย รีบนำขวดโอสถออกมาส่งให้นางทันที
“พี่ชิงพิง เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า?”
เหยาเสวี่ยเองก็เป็นกังวล
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกผู้นี้คือซางชิงพิง
นางปาดคราบเลือดที่มุมปากทิ้งไป ก่อนกลืนหนึ่งโอสถเข้าปาก แล้วจึงกล่าวอย่างขมขื่น “ล้มเหลว…”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ชายชราชุดยาวก็ถอนใจ
“นางไม่เพียงล้มเหลวในการเลื่อนขอบเขต แต่เส้นชีพทมิฬเก้าหยินของนางยังถูกกัดกร่อนด้วยฤทธิ์โอสถทิพย์เร้นปริศนาอีกด้วย หากมิแก้ไข พลังภายในของนางจะสลายสิ้น”
ซูอี้เดินมาจากไกล ๆ แววตาของเขาละเอียดอ่อน
ซางชิงพิงผู้นี้มีความสามารถของเส้นชีพทมิฬเก้าหยินเหมือนกับซางเจี้ยนโหลวจริง ๆ!
ทว่าการฝึกฝนของสตรีผู้นี้หาได้แข็งแกร่งไม่ นางอยู่แค่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเท่านั้น
มิต้องสงสัยเลยว่านางคิดจะใช้โอสถทิพย์เร้นปริศนาที่นี่เพื่อฝืนทะลวงสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ
“เจ้าเอาอันใดมาพูด?”
เหยาเสวี่ยขมวดคิ้ว ตำหนิซูอี้ด้วยสีหน้าเย็นชา
ชายชราในชุดยาวเองก็มิชอบใจนัก ไม่เห็นสาเหตุการบาดเจ็บคุณหนูของเขาแท้ ๆ แต่กลับมาพูดซ้ำเติม น่ารังเกียจจริง ๆ
“เขาพูดถูก”
ซางชิงพิงดูหมองเศร้า รำพันเบา ๆ “โทษข้าเถอะที่หลงโลภใจร้อน พยายามเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำก่อนจะถึงงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ เพื่อที่…”
ก่อนจะทันได้พูดจบ ดวงตาของนางก็เคร่งเครียดขึ้นมา
ชายชราในชุดยาวกับเหยาเสวี่ยมองหน้ากัน ‘ชายผู้นั้นพูดถูกหรือ?’
“สหายเต๋าผู้นี้คือใครกัน?”
ทันใดนั้น ซางชิงพิงดูจะสงบใจได้แล้ว ดวงตาของนางมองซูอี้ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าอย่างงุนงงเล็กน้อย
เหยาเสวี่ยประหลาดใจ “มิใช่ว่าเขาคือหนึ่งในผู้หมายปองเจ้าหรือ?”
ซางชิงพิงใช้มือก่ายหน้าผาก กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “เหยาเสวี่ย อย่าล้อเล่นสิ ข้าไม่รู้จักสหายเต๋าผู้นี้นะ”
เหยาเสวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง “แต่เขามาหาเจ้าถึงนี่ รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับเจ้า พยายามขนาดนี้ มิเรียกว่าสนใจเจ้าได้เช่นไร?”
ซางชิงพิง “???”
ซูอี้ขนขัน สตรีผู้นี้คิดลึกจริง ๆ
ชายชราชุดยาวไอแห้ง ๆ “คุณหนู นี่คือสหายเต๋าเสิ่นมู่ เขามองเห็นที่มาของตาเฒ่าไร้ประโยชน์ผู้นี้ได้ทันที และดูเหมือนจะมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับโอสถทิพย์เร้นปริศนานะขอรับ”
ซางชิงพิงอดประหลาดใจมิได้ นางลุกจากพื้นมาคำนับ “ซางชิงพิง ทายาทตระกูลซางคารวะสหายเต๋า เหตุใดสหายเต๋าจึงเข้าใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของข้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “หากเจ้าไม่กลืนมธุรสเซียนเคียงตะวันเข้าไปก่อน ด้วยวิถีเต๋าของเจ้า การหล่อหลอมวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชั้นเลิศเยี่ยงโอสถทิพย์เร้นปริศนาจะมีผลข้างเคียงต่อเจ้าแน่นอน”
“มธุรสเซียนเคียงตะวัน…”
ซางชิงพิงดูตะลึง ก่อนกล่าวกับตนเอง “ข้าพอจะจำได้ว่าบิดาข้าเหมือนจะเคยพูดว่าท่านปู่ทวดของข้ามีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่ยามแรกบรรลุขอบเขตราชันแห่งภูมิ ทว่า… ผู้เฒ่าทั้งหลายไม่ได้บอกเลยว่าการจะหล่อหลอมโอสถทิพย์เร้นปริศนา ข้าต้องกลืนมธุรสเซียนเคียงตะวันก่อน…”
ยามนี้ หัวใจของชายชราชุดยาวเต้นกระตุก แล้วรีบกล่าวกับซูอี้ “ในเมื่อสหายเต๋ารู้จักอาการบาดเจ็บของคุณหนูตระกูลข้า หมายความว่าเจ้ารู้หนทางช่วยนางด้วยหรือไม่?”
“ถูกต้อง”
ดวงตาอันเจิดจรัสของเหยาเสวี่ยหันมองซูอี้ “เสิ่นมู่ นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตเลยนะ หากเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บของซานชิงพิงได้ เจ้าก็อาจชนะใจนางได้เช่นกัน”
ซางชิงพิง “…”
ศีรษะนางปวดตุบ ถลึงตามองเหยาเสวี่ยอย่างดุดัน “เหยาเสวี่ย อย่าพูดเพ้อเจ้อสิ!”
กล่าวพลาง นางก็หันมาขอโทษขอโพยซูอี้ “สหายเต๋าอย่าสนใจเลย เหยาเสวี่ยนาง…”
ซูอี้โยกมือยิ้ม ๆ “ไม่ต้องพูดหรอก ข้ารู้ว่าพูดเล่นกัน”
เขาหยิบขวดหยกขวดหนึ่ง เดินมายังธารวารี
ทุกสายตาอดถูกดึงมายังการกระทำของเขามิได้