บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1236: สวรรค์ปรีดา งานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์
ตอนที่ 1236: สวรรค์ปรีดา งานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์
ธารวารีระรินไหล ปราณศักดิ์สิทธิ์ฟุ้งกำจร
เมื่อเห็นซูอี้ถือขวดหยกเดินไป เหยาเสวี่ยก็อดกล่าวไม่ได้ “โอสถทิพย์เร้นปริศนาหาใช่สมบัติที่กักเก็บได้แม้แต่น้อย เจ้าทำอันใดอยู่?”
ซางชิงพิงและชายชราชุดยาวก็งุนงงมิต่างกัน
จริงเช่นเหยาเสวี่ยว่า เมื่อเก็บกักวัตถุศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงโอสถทิพย์เร้นปริศนาไว้ มันจะเสื่อมพลังลงในทันที
เพราะเหตุนี้ ซางชิงพิงจึงต้องเก็บตัวที่นี่
“เจ้าพูดถูก ทว่าพอดีข้ารู้จักเคล็ดวิชาที่ผนึกมันไว้แล้วพกพาไปที่อื่นได้”
กล่าวพลาง มือของซูอี้ก็ขยับแปลงเป็นวังวนปริศนา เคลื่อนเข้าไปใกล้ธารวารี
ทันใดนั้น โอสถทิพย์เร้นปริศนาดุจมุกหลอมก็ถูกดูดซับเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ทุกคนที่ได้ยินล้วนมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ
นี่มันเคล็ดวิชาใดกัน ช่างน่าอัศจรรย์!
ไม่นาน โอสถทิพย์เร้นปริศนาก็ถูกซูอี้สกัดออกไปจนไม่เหลือแม้เพียงหยด เพียงพอบรรจุได้ราว ๆ สิบจิน*[1]
จากนั้นซูอี้ก็เก็บขวดหยกไปพลางกล่าวกับซางชิงพิง “ตระกูลซางของเจ้ามีมธุรสเซียนเคียงตะวันหรือไม่?”
ซางชิงพิงลังเล “น่าจะ… มีนะ”
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว “เอาล่ะ ข้าจะไปตระกูลกับพวกเจ้าด้วย ยามนั้น หากมีมธุรสเซียนเคียงตะวัน อาการบาดเจ็บของเจ้าก็จะแก้ได้โดยง่าย หาไม่ ก็ได้แต่ต้องหาวิธีอื่น”
ซางขิงพิงเข้าใจทันทีว่ามธุรสเซียนเคียงตะวันคือกุญแจในการเยียวยาบาดแผลของนาง!
เหยาเสวี่ยกล่าวอย่างเคลือบแคลง “เสิ่นมู่ คงไม่ใช่เจ้าคิดใช้วิธีนี้สร้างความสนิทสนมกับชิงพิงหรอกหรือไม่? ร้ายนะเจ้าน่ะ!”
ซูอี้ “…”
ซางชิงพิงยกมือเคาะหน้าผากเหยาเสวี่ย “ข้าบาดเจ็บอยู่ เจ้ายังจะมาล้อเล่นอีก!”
เหยาเสวี่ยเม้มปาก หยุดกล่าววาจาใด
ซางชิงพิงหันมองซูอี้ด้วยใบหน้างดงามอันเคร่งขรึม “ต้องรบกวนสหายเต๋าแล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ข้าก็จะตอบแทนให้”
ซูไม่ได้กล่าวอันใดอีก
แน่นอนว่าเขามิได้ต้องการการตอบแทนใด ๆ
ทว่าบางอย่างก็ไม่ควรกล่าวถึง
พวกเขาออกจากหุบเหวทันที
ซูอี้ออกคำสั่ง “เฒ่าเมิ่ง ไปตระกูลซางกัน”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่งอย่างจริงจัง
เหยาเสวี่ยกะพริบตา “มิรู้เลยนะว่ามีบ่าวเฒ่าติดตามเจ้าด้วย ฐานะไม่ธรรมดาเลย”
ซูอี้ยิ้ม ๆ และไม่ได้สนใจ
ซางชิงพิงครุ่นคิดคำนึง
แดนรกร้างหมื่นพิษนี้ ต่อให้ตัวตนระดับราชันแห่งภูมิเข้ามา พวกเขาก็ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายที่เกินหยั่งคาด
ทว่าสองนายบ่าวของเสิ่นมู่กลับมายังหุบเหวนี้ได้โดยไร้รอยขีดข่วน ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาไปได้
หลังจากสงบใจได้แล้ว ซางชิงพิงก็กล่าวขึ้นมาในที่สุด “ลุงหง ไปกันเถอะ”
“ขอรับ!”
ชายชราชุดยาวโบกแขนเสื้อ เรียกใช้เรือสมบัติยาวหนึ่งชุ่นลำหนึ่ง และยามมันทะยานสู่อากาศ เรือน้อยก็ขยายขนาดกลายเป็นยาวสิบจั้งกว่า เป็นสีดำทั้งลำเรือ ปกคลุมด้วยลวดลายวิถีลึกลับมากมาย
“เรือสะกดวิญญาณ สมบัตินี้ยังอยู่ในครอบครองของตระกูลซางจริง ๆ”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายหวนรำลึก
เรือสมบัตินี้ เขามอบให้ซางเจี้ยนโหลวเมื่อนานมาแล้ว และด้วยสมบัตินี้ การเคลื่อนผ่านสถานที่อันร้ายกาจและอันตรายเยี่ยงแดนรกร้างหมื่นพิษก็ทำได้ง่าย ๆ
มิต้องสงสัยเลยว่าพวกซางชิงพิงใช้สมบัตินี้มายังหุบเหวนี้เมื่อกาลก่อน
“สหายเต๋า เชิญ”
ซางชิงพิงเชิญซูอี้กับเมิ่งฉางอวิ๋นขึ้นเรือ
ไม่นานนัก เรือสมบัติก็พาพวกเขาทะยานสู่ท้องนภา
ครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา
เรือสมบัติก็ออกจากแดนรกร้างหมื่นพิษ กวาดผ่านวังวายุเร้นอาสัญสู่ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว
…
ระหว่างทาง ซางชิงพิงและซูอี้พูดคุยกันเล็กน้อย ก่อนจะนั่งเงียบไปตลอดทาง
เหยาเสวี่ยนั่งอยู่ด้านข้าง ส่วนชายชราผู้มีนามว่าลุงหงเป็นผู้ขับเคลื่อนเรือสมบัติ
ซูอี้นั่งที่ท้ายเรือ ถือไหสุรายกดื่มเงียบ ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นยืนเงียบ ๆ อยู่มิห่างจากซูอี้นัก ดวงตาทอดมองทิวทัศน์ไปตลอดทาง
บรรยากาศเงียบสงัด
“ชิงพิง คนผู้นั้นดูไร้พิษสง ทว่ากลับเปี่ยมด้วยปริศนา เจ้าต้องระวังตัวให้ดีนะ”
เหยาเสวี่ยกล่าวเตือน “ยิ่งกว่านั้น จังหวะการพบพานยังน่าสงสัย ข้าสงสัยว่า… คนผู้นี้ต้องมีเจตนาแอบแฝง!”
ดวงตาคู่งามของซางชิงพิงเหลือบมองซูอี้เล็กน้อย แล้วจึงกล่าวว่า “อย่าห่วงเลย ข้ารู้แก่ใจอยู่”
เหยาเสวี่ยครุ่นคิดสักพักก็กล่าวเสียงเบา “อีกอย่าง งานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์จะเริ่มแล้ว หากครานี้เจ้ามิอาจเคลื่อนสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำได้ เกรงว่าคงต้องเตรียมแผนอื่นไว้ด้วยนะ”
มือของซางชิงพิงกำเข้าหากันเงียบ ๆ ดวงตาหม่นหมองลงเล็กน้อย ขณะกล่าวรำพันเบา ๆ “ไม่ใช่แค่ข้าเลื่อนขอบเขตไม่สำเร็จนี่สิ ยามนี้ข้ายังบาดเจ็บด้วย… เกรงว่าคงช่วยตระกูลได้ไม่มากแล้ว”
เหยาเสวี่ยเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน “เจ้าอย่าเครียดมากไปเลย ทำให้ดีที่สุด แล้วโอนอ่อนตามชะตาฟ้าเถิด”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็เปลี่ยนน้ำเสียง “ยิ่งกว่านั้น หากคนแซ่เสิ่นผู้นั้นมีวิธีช่วยเจ้าจากอาการบาดเจ็บจริง นั่นก็ย่อมดีกว่านะ”
ซางชิงพิงพยักหน้า “นั่นคือแผนเดียวในขณะนี้แล้ว”
“เจ้ารอก่อนนะ ข้าจะไปคุ้ยข้อมูลเจ้าคนแซ่เสิ่นนั่นอีกที ดูสิว่าเขามาจากหนใด”
“อย่านะ!”
ซางชิงพิงหยุดนางด้วยความรีบร้อน “ถามสุ่มสี่สุ่มห้ามีแต่จะทำให้ผิดใจกันเปล่า ๆ เจ้าอยู่กับข้าเฉย ๆ เถอะ”
เหยาเสวี่ยเม้มปาก ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ชอบใจ “การที่เขาเป็นเพียงชายผู้ไม่อาจทราบหัวนอนปลายเท้า นี่แหละถึงยิ่งต้องสนใจ”
ทว่า แม้จะกล่าวเช่นนั้น สุดท้ายนางก็ไม่ได้ลงมือใด ๆ
“สหายเต๋าเสิ่นผู้นั้นห่างไกลจากความธรรมดามากกว่าที่เจ้าและข้าคิดไว้”
ซางชิงพิงคิดชั่วขณะและกล่าวเตือน “หุบเหวในแดนรกร้างหมื่นพิษนั้นถือได้ว่าเป็นความลับตระกูลซางของข้ามาตลอด นั่นคือ ในตระกูลข้า มีเพียงบิดาและผู้อาวุโสบางท่านเท่านั้นที่รู้”
“ทว่าเสิ่นมู่ผู้นั้นกลับพบที่นี่เช่นกัน นี่มันผิดปกติอย่างแน่นอน”
กล่าวถึงจุดนี้ ซางชิงพิงก็พึมพำ “เมื่อข้ากลับถึงตระกูล จะหาโอกาสคุยกับบิดาข้าเรื่องนี้ตัวต่อตัว”
เหยาเสวี่ยตะลึงไป และกล่าวว่า “เจ้าคิดแยกแยะได้เช่นนี้ก็ดีแล้ว”
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา
เมิ่งฉางอวิ๋นพลันสัมผัสบางอย่างได้ แล้วกล่าวขึ้นโดยมิขยับตัว “คุณชาย มีคนแอบตามเราอยู่ขอรับ”
ซูอี้ส่งเสียงรับ “น่าจะตามซางชิงพิงมากกว่า เจ้าไปสืบดู หากมีปัญหาใด ฆ่าได้เลย”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่งแล้วหันหลังออกไปจากเรือสมบัติ
ภาพนี้ทำให้เหยาเสวี่ยหวาดระแวง กล่าวขึ้นว่า “เสิ่นมู่ บ่าวเฒ่าของเจ้าจะทำอันใด?”
ซางชิงพิงและลุงหงเองก็หันมาเช่นกัน
“มีคนลอบตามเรามาอยู่”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ทุกคนก็ประหลาดใจ มีคนตามมาหรือ?
“จริงหรือ?”
เหยาเสวี่ยยังคงเคลือบแคลง
ซูอี้เมินนาง แล้วหันไปกล่าวกับซางชิงพิง “ช่วงนี้เจ้าพบอุปสรรคใดบ้างหรือไม่?”
ซางชิงพิงขมวดคิ้วครุ่นคิดสักพัก นางก็ส่ายหน้า “เปล่า”
“อืม ยามเฒ่าเมิ่งกลับมา เราก็จะรู้กันว่าพวกเขามาทำไม”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
“งั้น… เราต้องหยุดรอเขาหรือไม่?”
ซางชิงพิงถาม
“ไม่หรอก ไปต่อได้เลย”
ซูอี้กล่าว
ลุงหงมองซูอี้อย่างลึกล้ำ จากนั้นจึงเคลื่อนเรือสมบัติไปเบื้องหน้า
เมิ่งฉางอวิ๋นก็กลับมา เขายังคงดูเหมือนบ่าวเฒ่าผู้สุภาพนอบน้อม ไร้จุดโดดเด่นใด ๆ
สิ่งนี้ทำให้ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยงงุนงงเล็กน้อย บ่าวเฒ่าเช่นนี้หรือจะเป็นยอดฝีมือเร้นกาย?
ยามนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นรายงานผ่านกระแสเสียงปราณ “คุณชาย คนเหล่านั้นมีกันทั้งหมดสามคนขอรับ สองคนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นปลาย หนึ่งคนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบขอรับ”
“พวกเขาล้วนแต่มาจากกลุ่มนักฆ่าชื่อ ‘สวรรค์ปรีดา’ ขอรับ”
“ครานี้พวกเขาได้รับคำสั่งให้มาจัดการคุณหนูใหญ่ตระกูลซางขอรับ”
“น่าเสียดายที่จิตวิญญาณคนเหล่านี้ถูกลงอาคมต้องห้ามไว้ พวกเขาจึงถูกสังหารยามตาเฒ่าผู้น้อยค้นวิญญาณขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วกล่าว “พวกเจ้ามีใครรู้จักกลุ่มนักฆ่านาม ‘สวรรค์ปรีดา’ หรือไม่?”
“ข้าพอรู้บ้างขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นคิดชั่วครู่หนึ่งและกล่าวว่า “ราวสามหมื่นปีก่อน กลุ่มมือสังหารนี้เรืองอำนาจขึ้นในโลกหล้า กระทำการฉาวโฉ่มากมาย กล่าวกันว่าเคยลอบสังหารหนึ่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิสำเร็จด้วยขอรับ!”
“กลุ่มมือสังหารนี้ยังลึกลับยิ่ง ทุกสิ่งเป็นเพียงข่าวลือ ยากที่คนทั่วไปจะติดต่อพวกเขาได้ขอรับ”
ซูอี้ว่า “หากเจ้าว่าเช่นนั้น หมายความว่าผู้ที่ว่าจ้างนักฆ่าจากสวรรค์ปรีดาได้ต้องไม่ธรรมดา”
เมิ่งฉางอวิ๋นพยักหน้า
ยอมรับได้ว่าสำหรับพวกเขา มือสังหารสามคนในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำหาอยู่ในสายตาไม่ หรืออาจเรียกว่าไร้พิษสงโดยสิ้นเชิง
ทว่านักฆ่าทั้งสามนี้เพียงพอแล้วจะเป็นภัยถึงตายต่อตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
“พวกเจ้าคุยอันใดกันอยู่?”
เหยาเสวี่ยที่อยู่ไม่ห่างไปนักอดถามมิได้
ซูอี้หันไปสั่งเมิ่งฉางอวิ๋น “เล่าสิ”
เมิ่งฉางอวิ๋นพยักหน้า มองเหยาเสวี่ยและซางชิงพิง ก่อนกล่าวอย่างรัดกุม “ข้าสืบพบว่าผู้ที่แอบสะกดรอยตามเรามาคือนักฆ่าจากสวรรค์ปรีดาสามคน พวกเขามาครานี้เมื่อลอบสังหารแม่นางซาง”
สวรรค์ปรีดา!
นักฆ่า!
ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยล้วนเปลี่ยนสีหน้า บรรยากาศในเรือสมบัติหนักอึ้งขึ้นอย่างเงียบ ๆ
กระทั่งลุงหงผู้ขับเรือสมบัติยังตกใจ
“ชิงพิง เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครกันที่สิ้นหนทางเสียจนต้องจ้างนักฆ่าของสวรรค์ปรีดามาฆ่าเจ้า?”
เหยาเสวี่ยขมวดคิ้ว
ซางชิงพิงส่ายหน้า ดวงตาเปี่ยมความงุนงง “ช่วงนี้ข้าไม่ได้สร้างเรื่องใด ๆ เลยนะ”
เหยาเสวี่ยกล่าวอย่างครุ่นคิด “หรือจะมีผู้ใดมิต้องการให้เจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์?”
ใบหน้างดงามของซางชิงพิงดูมิอาจคาดหยั่ง “ยากจะกล่าวได้”
“งานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์? ขยายความได้หรือไม่”
ซูอี้ถาม
ซางชิงพิงสูดหายใจลึก ๆ สะกดความงุนงงสงสัยในใจ และเล่าเกี่ยวกับงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์
งานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ที่ว่านี้คืองานเลี้ยงของเจ็ดตระกูลโบราณในภูมิดารานภาม่วง
มันจะถูกจัดขึ้นทุกหนึ่งพันปี
ยามนั้น ยอดฝีมือจากเจ็ดตระกูลโบราณจะนำลูกหลานผู้เลิศล้ำที่สุดจากกลุ่มชนรุ่นเยาว์ตระกูลตนมายังงานเลี้ยงด้วย
และลูกหลานรุ่นเยาว์จากเจ็ดตระกูลโบราณจะประชันกันในนามการประลองวิถี
ท้ายที่สุด ผู้เลิศล้ำสามลำดับแรกจะได้รับรางวัลอย่างงามจากเจ็ดตระกูลโบราณ
ยิ่งกว่านั้น ยังได้รับโอกาสเข้าฝึกฝนในโลกเร้นลับโบราณอีกด้วย!
ตระกูลซางคือหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณแห่งภูมิดารานภาม่วง และเข้าร่วมงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ทุกครั้ง
ในฐานะผู้นำชนรุ่นหลังตระกูลซาง ซางชิงพิงจึงถือเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งของตระกูลซางที่จะติดอันดับหนึ่งในสามได้!
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วมิได้
มันเป็นเพียงงานเลี้ยง ต่อให้เจ็ดตระกูลโบราณอยากแข่งขันแย่งสามอันดับแรกกัน ก็ไม่น่าก่อเรื่องยุ่งยากขนาดจ้างนักฆ่ามาฆ่าคน
ต้องเคียดแค้นอาฆาตกันเพียงไร?
[1] 1 จิน (斤) เท่ากับ 0.5 กิโลกรัม