บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1239: คืนนี้ โลหิตจะหลั่งย้อมสถาน
ตอนที่ 1239: คืนนี้ โลหิตจะหลั่งย้อมสถาน
ขณะที่เมิ่งฉางอวิ๋นกำลังคิดว่าคืนนี้ โลหิตจะหลั่งไหลเป็นธารบนยอดคีรีเหมันต์นั้นเอง
ซางชิงพิงก็เดินมาหา
“คุณชายเสิ่น ข้าคิดดูแล้ว ก็ยังต้องมาขอบคุณด้วยตนเองอยู่ดี”
ซางชิงพิงมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “เมื่องานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์นี้จบลง ข้าหวังว่าคุณชายจะมอบโอกาสให้ข้าได้จัดงานเลี้ยงแทนใจให้ด้วย”
บาดแผลของนางสมานเยียวยา และด้วยการหล่อหลอมกลืนกินมธุรสเซียนเคียงตะวันเข้าไป นางจึงห่างจากการเข้าสู่ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำเพียงเอื้อม!
ซูอี้กล่าวอย่างเรียบเฉย “ในภายหน้า ฝึกฝนให้ดี อย่าให้เส้นชีพทมิฬเก้าหยินของเจ้าต้องเสียเปล่า นั่นคือการตอบแทนข้าที่ดีที่สุดแล้ว”
ซางชิงพิงตะลึงค้าง นางรู้สึกเสมอว่าวาจาของซูอี้ฟังดูเหมือนบทพร่ำสอนของผู้เฒ่าอยู่นิดหน่อย
เหยาเสวี่ยซึ่งอยู่ข้างกายเขาอดกล่าวมิได้ว่า “ชิงพิง การประลองวิถีจะเริ่มอยู่แล้ว อย่าคิดเรื่องพวกนี้เลย เดี๋ยวจิตใจของเจ้าก็รวนเรกันพอดี”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ซางชิงพิงว่า “ข้าเพิ่งรู้ว่าคืนนี้ ตระกูลหลานโบราณก็เชิญแขกผู้มีเกียรติที่มีฐานะพิเศษยิ่งมาด้วยผู้หนึ่ง บอกว่ายามแขกผู้มีเกียรติผู้นี้มาถึง ศึกจึงเริ่มขึ้นได้”
เหยาเสวี่ยสงสัย “ขนาดตระกูลหลานโบราณยังต้องมานั่งรอ แขกผู้มีเกียรติผู้นั้นมีที่มาเช่นไรกัน?”
ซางชิงพิงส่ายหน้า “ข้าหารู้ไม่”
ทันใดนั้นเอง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังมาไกล ๆ
“ซางชิงพิง ที่แท้เจ้าก็อยู่ที่นี่!”
ผู้คนฮือฮา หลายสายตาถูกดึงหันมอง
และพบว่าจากไกล ๆ ปรากฏร่างสตรีในชุดกระโปรงสีเหลืองลออผู้หนึ่ง
ทุกคนจำได้ว่าคนผู้นี้คือหลานฉิงเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่จากตระกูลหลานโบราณ!
หลานเทียนฉี่ นายน้อยตระกูลหลานคือพี่ชายร่วมสายเลือดของนาง
ยามนี้ ใบหน้าของหลานฉิงเอ๋อร์เย็นเยียบเยี่ยงน้ำแข็ง ดวงตามองซางชิงพิงอย่างขยะแขยง กล่าวอย่างเคืองแค้น “เจ้า… ยังคิดเป็นคู่วิถีพี่ชายข้าอีกหรือ? ฝันไปเถอะ!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ชมก็ดังเซ็งแซ่ฮือฮา
หนุ่มสาวรุ่นเยาว์บางคนถึงกับถากถางซ้ำเติม
“เอาล่ะ เรื่องน่าขันมาแล้ว!”
“ตระกูลซางหนนี้ถูกย่ำเหยียบ และก่อนได้แต่งงาน คุณหนูใหญ่ตระกูลหลานก็ออกมาปฏิเสธต่อหน้าธารกำนัล ไม่เพียงครานี้ซางชิงพิงจะเสียหน้า แต่ตระกูลซางเบื้องหลังนางก็จะอับอายไปด้วย!”
“ไยต้องคิดทำร้ายตนเองเพื่อหวังอำนาจด้วยหนอ?”
…เสียงวิจารณ์ค่อนแคะดังมาไม่จบสิ้น
ใบหน้างามของซางชิงพิงซีดขาว มือในแขนเสื้อของนางกำเข้าหากันอย่างเงียบ ๆ
ในอดีต เพราะการแต่งงานนี้ นางเองก็ถูกกดดันมหาศาล ต้องทนรับสายตาเย็นชา เสียงหยามเหยียดมากมาย
ทว่าเพื่อผ่อนภาระให้ตระกูล นางจึงอดทน
เมื่อยามนี้นางมาถูกหลานฉิงเอ๋อร์ล้อเลียนปฏิเสธตรงหน้าธารกำนัล มันไม่ต่างจากมีดที่ปักลึกเข้าไปในใจของนางเลย
หลานฉิงเอ๋อร์ดูไร้ความเกรงใจอย่างยิ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา “บอกไว้ก่อนนะ ต่อให้คืนนี้เจ้าติดอันดับหนึ่งในสาม เจ้าก็ยังไร้หวังแต่งเจ้าตระกูลข้า! ไม่สำเหนียกตนเอาเสียเลย ยังคิดว่าตนมีค่าคู่ควรเป็นคู่วิถีพี่ชายข้าอยู่หรือ? น่าขำ!”
เกิดเสียงหัวเราะขึ้น
ลูกหลานตระกูลโบราณบางคนโห่ร้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้หลานฉิงเอ๋อร์
ความรู้สึกอับอายเกินบรรยายแผ่พุ่งในหัวใจของนาง ทำให้ใบหน้าของซางชิงพิงซีดขาวไร้สีเลือด ร่างบอบบางสั่นสะท้านเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ
“หลานฉิงเอ๋อร์ เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องระหว่างตระกูลหลานของเจ้ากับตระกูลซาง เจ้าหรือจะปฏิเสธได้?”
เหยาเสวี่ยกล่าวอย่างโกรธเคือง
หลานฉิงเอ๋อร์กล่าวเหยียดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามีสิทธิ์พูดด้วยหรือไร? หากกล้าพูดอีกคำเดียว อย่าโทษข้าที่ไล่เจ้าไปเชียว”
ใบหน้าของเหยาเสวี่ยแดงก่ำ โกรธจนฟันแทบแหลก
“ยายหนู ใจเย็นก่อน”
ซางเหวินเจิ้ง เจ้าตระกูลซางรีบร้อนปรี่มาปลอบซางชิงพิง “การแต่งงานนี้ ตระกูลเราไม่ต้องการมันหรอก!”
ใบหน้าของเขาเปี่ยมความกังวลและโทสะ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านพ่อ…”
ดวงตาของซางชิงพิงแดงก่ำแทบอยากร้องไห้
หลานฉิงเอ๋อร์ผงะไป
ไกลออกไป หลานเฮ่าอวิ๋น เจ้าตระกูลหลานที่ทำเพียงมองเฉย ๆ มาตลอดก็แย้มยิ้มและกล่าวช้า ๆ “พี่ซางอย่าโกรธเลย เด็ก ๆ ทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา ไยต้องสนใจด้วย?”
คนใหญ่คนโตทั้งหลายเองก็เสสรวลเกลี้ยกล่อม
พวกเขาดูมิสะทกสะท้านใด ๆ
“ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อข้ารับปากแล้ว ย่อมมิกลับวาจา ขอเพียงบุตรสาวของเจ้าเข้าถึงลำดับหนึ่งในสามได้ นางก็แต่งเข้าตระกูลหลานของข้าได้”
หลานเฮ่าอวิ๋นกล่าวเลื่อนลอย
ท่าทางน้ำเสียงราวกับกำลังทำการกุศล
หนึ่งผู้มีอำนาจอดถอนใจมิได้ “เจ้าตระกูลหลานรักษาสัจจะ น่านับถือยิ่งนัก”
ทันใดนั้น คนมากมายก็ฉวยโอกาสยกยอตามน้ำ
และทั้งหมดนี้ก็ยังทำให้ซางเหวินเจิ้งและซางชิงพิงอับอายยิ่งกว่าเก่า
และยามนี้เอง หลานเทียนฉี่ ผู้เป็นนายน้อยตระกูลหลานซึ่งอยู่ห่างออกไปพลันกล่าวว่า “ในงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์นี้ ข้ารับปากจะไม่ให้โอกาสซางชิงพิงไต่สู่สามอันดับแรก!”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกเสียงของผู้รับชมก็เงียบหาย กระทั่งสกุณายังหยุดขับขาน
พวกเขาล้วนตะลึงกับทัศนคติที่แฝงมาในวาจาของหลานเทียนฉี่
ยามนี้ ใครเล่าจะไม่รู้ว่านายน้อยตระกูลหลานผู้ขึ้นชื่อทั่วภูมิดารานภาม่วงก็ไม่ยอมรับการแต่งงานนี้เช่นกัน?
สายตาหลายคู่ที่มองมายังซางชิงพิงแปรเปลี่ยนไป
สงสาร หยอกเย้า ดูแคลน ล้อเลียน เย้ยหยัน…
คิดอยากไต่เต้าสู่ที่สูง แต่กลับถูกปฏิเสธอย่างไร้ปรานี ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
หลังเหตุการณ์นี้ เกรงว่าคงมิต้องรอวันพรุ่ง ซางชิงพิงก็ต้องกลายเป็นที่ขบขันทั่วโลกหล้าแน่!
ยามนี้เอง
เหล่าผู้มีอำนาจในงานเลี้ยงดูขบขัน
หลานเฮ่าอวิ๋นทำเพียงมองหลานเทียนฉี่ผู้เป็นบุตรเงียบ ๆ ด้วยรอยยิ้ม หาพูดสิ่งใดไม่
ยามนี้ ใบหน้าของซางเหวินเจิ้งโกรธแค้นเดือดดาล
ซางชิงพิงอับอายโกรธเคือง กัดริมฝีปากเสียจนหยาดโลหิตหลั่งรินเป็นสาย
เหยาเสวี่ยเปี่ยมทั้งความโศก ขุ่นเคืองและลนลาน
และยามนี้เอง ซูอี้ผู้มองเหตุการณ์อย่างเย็นชามาตลอดก็ลุกจากเก้าอี้หวาย และกล่าวกับซางชิงพิงว่า
“เมื่อฝีมือเทียบไม่ได้ การแต่งงานจะกลายเป็นทางเลือกที่แย่ที่สุดสำหรับผู้อ่อนแอ ข้าหวังว่าหลังจากเรื่องวันนี้ เจ้าจะเข้าใจแจ่มแจ้ง”
จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองเหล่าผู้ชมพลางกล่าว “ส่วนความอับอายที่เจ้าได้รับคืนนี้ รวมถึงสิ่งที่ตระกูลซางของเจ้าสูญเสียตลอดมา ให้ข้าจัดการเถอะ”
วาจาแผ่วเบานั้นดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด มันจึงดูเด่นชัดเป็นพิเศษ
ทุกคนล้วนตะลึงนิ่ง
นี่มันเรื่องใดกัน?
ยังมีคนกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อตระกูลซางในถิ่นฐานของตระกูลหลานโบราณอีกหรือ?
ชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ใด?
บ้าไปแล้วใช่หรือไม่?
ซางเหวินเจิ้ง ซางชิงพิง และเหยาเสวี่ยเองก็ผงะไป มิคาดเลยว่ายามอับอายตกต่ำถึงขีดสุด ชายหนุ่มผู้มีนามว่าเสิ่นมู่ผู้นี้จะเลือกลุกขึ้นเข้าข้างพวกเขา
ยิ่งกว่านั้น ไม่เพียงตอบโต้เพื่อพวกเขา ยังจะมาคิดบัญชีเพื่อตระกูลซางให้พวกเขาด้วย!
นี่ช่างน่าประหลาดใจ
มากเสียจนมิทันตั้งตัว
ความเงียบงันไร้วจีคงอยู่ต่อไม่นาน ก่อนจะแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะกึกก้อง
เหล่าลูกหลานผู้ทรงเกียรติจากตระกูลโบราณทั้งหลายล้วนหัวเราะปรีดาราวได้ยินเรื่องตลกที่น่าขำที่สุด
เหล่าผู้มีอำนาจในพื้นที่ยังอดส่ายหน้ายิ้ม ๆ มิได้
กระทั่งตัวตนเช่นบ่าวชายหญิงรับใช้ยังแอบหลุดขำ
พวกเขาเพิ่งได้พบพานไอ้หนุ่มไร้สมองเช่นนี้เป็นคราแรก
ซูอี้มิได้ยิ้ม เขาจิบสุรามองภาพเช่นนี้อยู่เนิ่นนาน
เมิ่งฉางอวิ๋นเองก็หายิ้มไม่ ทว่าสายตากลับเปี่ยมความสงสาร
“ซางชิงพิง พ่อรูปหล่อนี่เจ้าไปพบพานแต่ใดมา เกรงว่าทำคนขำตายได้เลยนะนี่”
หลานฉิงเอ๋อร์อยู่ใกล้และได้ยินชัดเจนที่สุด และเมื่อนางเห็นว่าซูอี้ยังคงมีกิริยาเฉยชาสุขุม นางก็ฮาลั่นเสียจนน้ำตาแทบเล็ด
สีหน้าของซางเหวินเจิ้ง ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยยิ่งมองดูไม่ได้
ทันใดนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นก็ก้าวเข้าไปตบหน้าหลานฉิงเอ๋อร์
เพียะ!
เสียงตบดังกังวาน กลบได้กระทั่งเสียงหัวเราะฮาหงายทั่วบริเวณ สนั่นลั่นโสตคนทุกผู้
และทันใดนั้น หลานฉิงเอ๋อร์ก็ร้องลั่นราวสุกรถูกเชือด ร่างของนางปลิวกระเด็นไปสิบกว่าจั้ง เส้นผมสยายรุงรัง ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมเป่ง
เหล่าผู้ชมเงียบสนิทด้วยความตกตะลึง
เมิ่งฉางอวิ๋นก้มหัวลงมองหลายฉิงเอ๋อร์อย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะกล่าวช้า ๆ “ชอบหัวเราะนี่? ตาเฒ่าผู้นี้ให้โอกาสเจ้าแล้ว หากยังไม่หัวเราะตัวเองอีก ข้าจะให้เจ้าอยู่แย่กว่าตาย!”
เมื่อถูกแววตาไร้อารมณ์ของเขาจ้องมอง หลานฉิงเอ๋อร์ก็สะท้านทั้งร่างและวิญญาณ
เมิ่งฉางอวิ๋นก้มหัวกล่าวกับซูอี้เบา ๆ “คุณชาย ยายหนูนี่สีหน้าดูมิได้ ลบหลู่เกียรติของท่าน ตาเฒ่าผู้น้อยลงมือด้วยโทสะ หาได้รับอนุญาตไม่ ขอคุณชายยกโทษด้วย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “เรื่องนี้อภัยได้ แต่อย่าเคลื่อนไหวใด ๆ อีก เรื่องขุ่นข้องใจเป็นของข้า และข้าจะสนองตอบโดยล้างที่นี่ด้วยเลือด”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นก้มหัวรับคำสั่ง
ครานี้ รอบข้างพลันฮือฮา
“เจ้าแก่ที่กล้าตบหน้าแม่นางหลานฉิงเอ๋อร์ผู้นั้นคือใคร?”
“ต้องร้ายกาจมากแน่ หาไม่ ใครเล่าจะกล้าทำเรื่องไร้สติเช่นนี้?”
…เหตุพลิกผันนี้ก็ยังทำให้เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายประหลาดใจ หันมองมาที่นี่เช่นกัน
“วอนตาย!”
กลุ่มผู้อารักขาตระกูลหลานโบราณล้วนพุ่งเข้ามา
ผู้นำเป็นชายชราในขอบเขตมหาจักรพรรดิผู้หนึ่ง
ซูอี้หาสนใจไม่ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อของเขาเบา ๆ
ร่างของยอดฝีมือสิบกว่าคนในขอบเขตจักรพรรดิของตระกูลหลานล้วนระเบิดแหลกเป็นผุยผง
รอบข้างพลันแตกตื่น ทุกคนถึงกับตัวสั่น
เพียงหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ จักรพรรดิสิบกว่าคนก็ตกตาย!?
กระทั่งเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายยังมิอาจอยู่เฉยได้อีก พวกเขาลุกขึ้นมองซูอี้ด้วยดวงตาคมปลาบเยี่ยงอสนีบาต
สีหน้าของหลานเฮ่าอวิ๋นผู้เป็นเจ้าตระกูลหลานดำมืดลงทุกที
ยังมีผู้กล้าก่อกวนสร้างปัญหาในพื้นที่ตระกูลหลานอีก วอนตายจริง ๆ!
ซางเหวินเจิ้ง ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยล้วนตระหนกจนอกสั่น เพราะไม่คิดเลยว่าซูอี้จะลงมือฆ่าคนโดยหาลังเลไม่!
หลานฉิงเอ๋อร์ผู้นั่งกองอยู่กับพื้นดูจะตื่นกลัวขึ้นมา กรีดร้องอย่างหวาดกลัว “เร็วเข้า! ช่วยข้าด้วย!”
“มีตาเฒ่าผู้นี้อยู่ คุณหนูอย่าได้กลัว”
สิ้นเสียงแหบพร่า ชายชราชุดดำผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุตรงหน้าหลานฉิงเอ๋อร์ราวภูตพราย เปี่ยมด้วยปราณของราชันแห่งภูมิ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง
เมื่อเขาปรากฏกาย บรรยากาศทั่วฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน พลังปราณดุร้าย เปี่ยมจิตสังหารรุนแรง
“ผู้เฒ่าหมิงลงมือแล้ว”
ทุกคนในตระกูลหลานล้วนถอนใจโล่งอก
ในขณะที่เหล่าแขกเหรื่อลุ้นรอชม
หลานฉิงเอ๋อร์ตื่นเต้นกว่าใคร ดวงตาของนางเปี่ยมความชิงชัง พร้อมกับร้องตะโกน “ผู้เฒ่าหมิง เจ้าต้องฉีกพวกมันเป็นชิ้น ๆ ป่นกระดูกพวกมันเสีย!”
………………..