บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1241: สำหรับข้า การฆ่านั้นไม่ต่างกับการเดินทอดน่อง
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1241: สำหรับข้า การฆ่านั้นไม่ต่างกับการเดินทอดน่อง
ตอนที่ 1241: สำหรับข้า การฆ่านั้นไม่ต่างกับการเดินทอดน่อง
บรรยากาศหดหู่กดดัน ทั่วทิศเงียบสงัด
ทุกคนล้วนขวัญแขวน
ราชันแห่งภูมิทั้งหลายมองหน้ากัน และร่วมมือกันโดยมิลังเล
ตู้ม!
ท้องนภาสั่นไหว
สารพัดสมบัติทะยานสู่เวหา เผยเพลิงศักดิ์สิทธิ์จ้าจรัส
สารพัดเคล็ดวิชาน่าตกตะลึงปรากฏเหนือนภา บดขยี้ลงมาสู่แดนดิน
ค่ำคืนดำดุจหมึกถูกแสงสาดส่อง
เมื่อราชันแห่งภูมิรวมกลุ่มโจมตี อำนาจนี้หาธรรมดาที่ไหน?
เพียงพริบตา ทุกคนก็ตาพร่า ประหนึ่งเห็นหายนะล้างโลกาเคลื่อนใกล้ หัวใจสั่นระรัว
และทุกการโจมตีนี้ล้วนพุ่งเป้าตรงเข้าหาซูอี้ผู้เดียว
สีหน้าของซูอี้ยังคงเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะก้าวไปเบื้องหน้า
ตุบ!
เสียงฝีเท้าเบา ๆ นั้น ยามนี้มิต่างจากอสนีบาตฟาดผืนปฐพี
ฟ้าดินอันกราดเกรี้ยวโกลาหลดูจะถูกหัตถ์ใหญ่ข้างหนึ่งผนึกไว้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทะยานเวหา รัศมีสมบัติที่เจิดจ้าน่าหวาดหวั่น เคล็ดวิชาสะเทือนแดนดินอันมีปราณทำลายล้างรุนแรง…
พวกมันล้วนนิ่งค้างกับที่
ดุจกลายเป็นภาพวาดบนม้วนกระดาษ
หนึ่งอำนาจกฎเกณฑ์มหาวิถีอันเปี่ยมความคลุมเครือเกินเข้าใจทอดลงมาจากสรวงดุจผืนม่าน ปกคลุมทั่วยอดคีรีเหมันต์นี้
นั่นคือเคล็ดพลังเร้นลับต้องห้าม!
ระงับยั้งทั่วนภาสวรรค์ ขวางการเปลี่ยนแปรทุกวิญญาณ!
อำนาจมหาวิถีใด ๆ หากมิใช่อำนาจที่แข็งแกร่งพอจะต้านทานกำลังกฎเร้นลับต้องห้ามนี้ได้ล้วนถูกสยบสิ้น
ยามนี้ช่างเงียบงันเหมือนเสียงถูกผนึก
ทุกคนล้วนเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก
ในคลองจักษุของพวกเขา ทั่วฟ้าดินนิ่งค้าง ทุกภาพหยุดกับที่ ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งหลายล้วนอยู่ในท่วงท่าขยับทำศึกประหลาดตาแตกต่างกันไป
สีหน้าบนใบหน้าของพวกเขาปรากฏชัดเจน มีทั้งโทสะ ตะลึง ตกใจ…
สมบัติและเคล็ดมหาวิถีทั้งหลายพร่างพรายหลากสีสัน นิ่งค้างกับที่อย่างไร้สุ้มเสียง
“นี่…”
ไม่อาจรู้ได้ว่ามีคนมากมายเพียงใดรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ วิญญาณแทบหลุดลอยสิ้นลม
ภาพนี้พิลึกเกินไป!
พวกเขาคลุ้มคลั่ง ทว่าก็ต้องตื่นกลัวเมื่อพบว่าทุกการกระทำไร้ประโยชน์ มิอาจหลุดจากสภาพนิ่งค้างนี้ได้
“นี่มันพลังมหาวิถีอันใดกัน?”
บางคนถึงกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
“เจ้านี่เป็นผู้ใดกันแน่? ไยจึงมีอำนาจเหลือเชื่อเพียงนี้? เห็นกันชัด ๆ …ว่าเขาเพิ่งยี่สิบเศษเองนะ!”
บางคนครวญด้วยความหวาดผวา
สำหรับซางเหวินเจิ้ง ซางชิงพิง เหยาเสวี่ยและคนอื่น ๆ นั้น พวกเขาไร้ซึ่งผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
ทว่าเมื่อเห็นทั่วฟ้าดิน ทุกคนในบริเวณล้วนนิ่งค้างเยี่ยงรูปปั้นดินเหนียว
เมื่อเห็นสารพัดสมบัติที่ราชันแห่งภูมิเหล่านั้นใช้ และเคล็ดวิชาทั้งหลายค้างกลางอากาศ พวกเขาเองก็ตะลึงอย่างลึกล้ำเช่นกัน
นี่เป็น… มนตร์วิเศษอันใด?
ตึก! ตึก! ตึก!
ในโลกหล้าอันเงียบงันนิ่งค้างนี้ เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของซูอี้ก็ดังขึ้น
ดุจทำนองจากขุมนรก
หัวใจของทุกคนจุกที่คอขณะมองซูอี้ยุรยาตรมายังเหล่าสมบัติซึ่งนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ
เขาสะบัดแขนเสื้อ
แล้วสมบัติสิบกว่าชิ้นก็หายวับไป
เคล็ดวิชามหาวิถีระเบิดแหลกเยี่ยงฟองสบู่
เหล่าตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิล้วนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนกสิ้นหวัง หัวใจแทบแหลกสลาย
ช่างแข็งแกร่งร้ายกาจยิ่งนัก!?
แข็งแกร่งเสียจนพวกเขาสิ้นไร้กระทั่งแรงจะดิ้นรน!
“กฎสวรรค์ภูมิดารานภาม่วงนี้อ่อนแอกว่าจริง ๆ ด้วย มิน่าเล่า โหลวน้อยถึงต้องไปสู่ภูมิดาราอื่นเพื่อขัดเกลาวิถีดาบยามต้องพิสูจน์วิถีเป็นราชันแห่งภูมิ…”
ซูอี้กระซิบเจืออารมณ์ครุ่นคิดเล็กน้อย
หากเป็นราชันแห่งภูมิผู้ควบคุมกฎสวรรค์ภูมิดาราอย่างวอนสวรรค์ วิเวกดาราหรือแปรวิญญาณ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีกระทั่งแรงดิ้นรนขัดขืน
แน่นอนว่าท้ายที่สุด มันก็เกี่ยวกับวิถีเต๋าอันร้ายกาจเกินไปของซูอี้ด้วยเช่นกัน
ก่อนที่เขาจะพิสูจน์วิถีเป็นราชันแห่งภูมิ เขาก็สามารถสังหารราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงได้โดยง่าย!
และยังไปสู้กับราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญได้อีก!
และหลังจากพิสูจน์วิถีเป็นราชันแห่งภูมิ เขาก็เบิกถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่าง สร้างรากแห่งฟ้าดินขึ้นมาทันที ซึ่งเพียงพอแล้วหากจะเรียกว่าไม่เคยปรากฏตลอดกาลนาน!
ขณะเดียวกัน คู่ต่อสู้ในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งหลายนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายเท่านั้น ใครเล่าจะเป็นคู่มือซูอี้ได้?
ซูอี้ส่ายหัว หาได้คิดมากไม่ และหันไปมองราชันแห่งภูมิเหล่านั้น
เมื่อถูกสายตาของเขากวาดมอง เหล่าราชันแห่งภูมิล้วนตัวสั่น สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างสมบูรณ์ กระทั่งมีสายตาหลายคู่มองมาอย่างเว้าวอน
ซูอี้แย้มยิ้ม จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อของเขา
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ผู้ทรงอำนาจในขอบเขตราชันแห่งภูมิคนแล้วคนเล่าต่างแหลกละเอียดเป็นธุลีราวรูปสลักหินถูกทุบด้วยค้อนยักษ์
“หยุดนะ!”
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงก็ตวาดลั่นด้วยโทสะ
ตู้ม!
ทั่วคีรีเหมันต์สั่นสะท้านรุนแรง
ราวกับถูกปลุกให้ตื่น ค่ายกลนับไม่ถ้วนปะทุอำนาจเดือดพล่าน
ชายชุดแดงผู้หนึ่งฟาดฟันดาบของเขาโจมตีเข้ามาอย่างดุเดือดดุจเทพเจ้าคล้อยลงจากสรวง
เพียงพริบตา อำนาจกฎเร้นลับต้องห้ามทั่วฟ้าดินนี้ก็ระเบิดออก
ทุกคนซึ่งถูกผนึกการเคลื่อนไหวดุจมัจฉาในน้ำแข็งล้วน ‘คืนชีพ’ โดยถ้วนทั่ว
ทุกคนหายใจเฮือก ก่อนจะกรีดร้องอย่างลนลาน
ก่อนหน้านี้ ความรู้สึกที่ถูกผนึกมิอาจเคลื่อนไหวนั้นราวกับฝันร้าย ทำให้จิตใจแทบแหลกละเอียด
ยามนี้เอง มีเพียงหลานเฮ่าอวิ๋นและราชันแห่งภูมิอีกสองคนหลงเหลือ
หลังจากรอดหายนะมาได้ พวกเขาก็ถอยกรูดโดยเร็วที่สุด!
โดยเฉพาะหลานเฮ่าอวิ๋นที่ร้องลั่น “ท่านบรรพชน เร็วเข้า รีบฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่เสีย!”
ชายชุดแดงผู้นั้นมิใช่ใครอื่น นอกจากตัวตนบรรพกาลในขอบเขตคืนสู่สามัญของตระกูลหลานโบราณ หลานซานตู้
สีหน้าของหลานซานตู้ถมึงทึง ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่าห่วง เขาจะตายคืนนี้แน่!”
จิตฆ่าฟันร้ายแรงกวาดออกมาจากร่างของยอดฝีมือขอบเขตคืนสู่สามัญผู้นี้ ส่งให้ทั่วฟ้าดินแปรสี หม่นแสงลงทั่วทิศ
“คนชั่วช้า กล้ามาสู้กันหรือไม่?”
ทันใดนั้น อีกเสียงก็ดังขึ้น
หญิงงามผู้มีเส้นผมสีเงินผู้หนึ่งยืนบนเวหาไกลออกไป ในมือนางถือหอกหนึ่งเล่ม แววตาเย็นชาคมกริบเยี่ยงสายฟ้า
หลานฉางสุ่ย!
หนึ่งในสองราชันแห่งภูมิขอบเขตคืนสู่สามัญในตระกูลหลานโบราณ!
ทั่วทิศเกิดเสียงเซ็งแซ่
คนตระกูลหลานทั้งหลายเหมือนได้พบกับผู้กอบกู้ พวกเขาล้วนลิงโลด
คนมากมายกระทั่งน้ำตาแทบไหล
เหล่าแขกเหรื่อซึ่งเดิมตื่นตระหนกเองก็ลอบถอนใจโล่งอก
อำนาจในขอบเขตคืนสู่สามัญนั้นนับเป็นกำลังต่อสู้สูงสุดทุกวันนี้ในภูมิดารานภาม่วง!
ยิ่งกว่านั้น ขณะนี้ ยอดฝีมือสองคนในขอบเขตคืนสู่สามัญยังออกมาด้วยกัน!
แต่แล้ว พวกเขาก็เห็นซูอี้นำไหสุราออกมาจิบ พลางกล่าวว่า “ข้ารอพวกเจ้าอยู่นานแล้ว”
ทุกคน “???”
นี่หมายความเช่นไร?
หรือจะเป็น…
โดยไม่รีรอให้คนทั้งหลายคืนสติ พวกเขาก็เห็นว่าซูอี้ฟาดแขนขวาออก นิ้วเรียวกระจ่างทั้งห้าก็คว้าไปบนอากาศ
ใต้ท้องนภา
ร่างของหญิงงามผมสีเงินถือหอกพลันชะงักค้าง
แล้วนางก็ดิ้นรนอย่างรุนแรง แสงสว่างพร่างพรายจากร่าง เพลิงแสงสาดส่องเจิดจ้า
ทว่าเพียงพริบตา ร่างของนางก็เหมือนถูกหัตถ์สวรรค์ตรึงไว้แน่น มิอาจขยับกายได้อีก
“ไม่!”
หลานฉางสุ่ยดูจะตระหนักถึงบางสิ่ง จากนั้นนางจึงกรีดร้องอย่างหวาดผวา
เปรี้ยง!
เสียงยังมิทันสร่าง ร่างของนางก็ระเบิดแหลกกลางนภารัตติกาล โลหิตหลั่งรินเยี่ยงน้ำตก ย้อมทัศนียภาพแดงฉาน
ทุกคนตกตะลึงจนวิญญาณแทบหลุดลอย
ยอดฝีมือในขอบเขตคืนสู่สามัญถูกตรึงสังหารได้ง่ายดายเพียงนี้เลยหรือ!?
ไกลออกไป หลานซานตู้ในอาภรณ์แดงถือดาบวิถีนั้นราวกับถูกอสนีบาตฟาด ร่างของเขาเซถอยไปหลายก้าว
จากนั้นเขาก็หันหลังเผ่นหนี!
ก่อนหน้านี้เขาดูราวกับเทพเซียนไร้มลทิน ใช้หนึ่งดาบทำลายกฎเร้นลับต้องห้าม ยิ่งใหญ่เหนือคนทุกผู้
ทว่ายามนี้ เขากลับเป็นประหนึ่งกระต่ายเฒ่าซึ่งเผ่นหนีด้วยตกใจกลัว กระทั่งทอดทิ้งลูกหลานร่วมตระกูลอย่างไม่สนใจ!
ช่างย้อนแย้งยิ่งนัก
มากเสียจนหลายผู้คนไม่อาจประมวลทัน
ทว่าซูอี้หรือจะปล่อยเขาหนี
จากนั้นเขาก็ยกนิ้วขึ้น
ฉัวะ!
ไกลออกไปหลายพันจั้ง หนึ่งปราณดาบปรากฏวูบไหวเหนือนภารัตติกาล
ทันใดจากนั้น ร่างของหลานซานตู้พลันแยกเป็นสองส่วน โลหิตสาดกระเซ็นเยี่ยงน้ำตก
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?!”
เขาเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ทว่าเสียงยังมิทันสร่าง ร่างทั้งสองส่วนของเขาก็สลายเป็นเถ้าสิ้นไปกับลมราตรีเสียแล้ว
ณ จุดสิ้นลมของเขามีรอยผ่าตรงขนาดพันจั้งซึ่งมิแหลกสลายไปนานแล้ว
มันคือร่องรอยการถูกปราณดาบฟาดฟัน!
มิต่างจากการสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงก่อนหน้านี้เท่าไรเลย
มันยังคงเป็นการสังหารพริบตา ลบทิ้งได้เพียงคำนึง!
“วิถีเต๋าของคุณชายในยามนี้สามารถบดขยี้ตัวตนในขอบเขตคืนสู่สามัญได้แล้ว…”
เมิ่งฉางอวิ๋นรำพึง
เหล่าผู้พบเห็นล้วนเงียบสงัด
ทุกคนนิ่งค้างกับที่
ราชันแห่งภูมิ!
ช่างเป็นตัวตนอันน่าหวาดหวั่น ทว่าคืนนี้ บนยอดคีรีเหมันต์ พวกเขากลับล้มตายเยี่ยงต้นหญ้าถูกเกี่ยวตาม ๆ กัน
ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงมิอาจสู้!
ขอบเขตคืนสู่สามัญก็เช่นกัน!
“ไย… จึงเป็นเช่นนี้ได้…”
สภาพจิตใจของหลานเฮ่าอวิ๋นพังยับเยิน อยากร้องไห้ทว่าก็ไร้น้ำตา
เจ้าตระกูลหลานโบราณผู้นี้ยิ่งใหญ่ทรงอำนาจในภูมิดารานภาม่วง ทรงอำนาจเยี่ยงผืนสมุทร ไม่มีผู้ใดกล้าลบหลู่ดูแคลน
ทว่าหนนี้ เขาดูจะชราลงนับปีมิถ้วนในทันใด วิญญาณล่องลอยหมดอาลัยตายอยาก!
เหล่าแขกเหรื่อในงานถูกทำให้ตกใจกลัวจนทำอันใดมิถูกแสนนาน ใบหน้าของพวกเขาซีดขาว
และยามนี้เองที่พวกเขาตระหนักได้ว่าการคิดบัญชีที่ว่าคือการละเลงเลือดอันแสนน่าสยดสยอง!!!
ราชันแห่งภูมิล้มตายประหนึ่งหยาดพิรุณ!
ตลอดมาในภูมิดารานภาม่วงนี้ แทบไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ไม่เพียงนองเลือด แต่ยังร้ายกาจพอจะเปลี่ยนสถานการณ์ทั่วโลกหล้าได้ แปลงครรลองของขุมกำลังฝึกตนในภูมิดารานภาม่วงได้!
ตุ้บ!
ไกลออกไป หลานเทียนฉี่ นายน้อยตระกูลหลานพลันคุกเข่าลงต่อหน้าซางเหวินเจิ้ง และกล่าวอย่างรวดร้าว “ท่านลุงซาง หลานน้อยผู้นี้เต็มใจแต่งงานกับแม่นางชิงพิง โปรดบรรเทาโทสะช่วยหยุดผู้อาวุโสท่านนั้นลงด้วยเถิด!”
ผู้ชมต่างเงียบกริบ
ทุกคนล้วนเหลือเชื่อ
คิดให้หัวแตกตาย พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่านายน้อยตระกูลหลานจะใช้วิธีนี้หยุดศึก
นี่ช่างดูน่าขัน
หรือเขาจะคิดว่าการคิดบัญชีหนนี้เกิดขึ้นจากการที่เขาปฏิเสธมิแต่งงานกับตระกูลซาง?
“เจ้าหนูนี่… สมองมีปัญหาหรือไร?”
เมิ่งฉางอวิ๋นประหลาดใจ
ซางเหวินเจิ้งเมินเฉยอย่างเย็นชา
ซางชิงพิงกับเหยาเสวี่ยต่างมองหลานเทียนฉี่ด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่เง่า
ซูอี้อดผงะไปไม่ได้
นายน้อยตระกูลหลานผู้นี้ต้องสิ้นหวังไร้หนทางเพียงไร จึงคิดใช้เหตุผลบ้าบอเช่นนี้มาหยุดการคิดบัญชีละเลงเลือด?
ยามนี้เอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอย่างปรีดา
“เจ้าตระกูล เรารอดแล้วขอรับ! แขกผู้มีเกียรติท่านนั้นจะมาที่นี่ในไม่ช้าขอรับ!”
บ่าวเฒ่าผู้หนึ่งวิ่งมาไกล ๆ แล้วรายงานต่อหลานเฮ่าอวิ๋นด้วยสีหน้าระริกระรี้
………………..