บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1242: แขกผู้มีเกียรติแสนขุ่นแค้น
ตอนที่ 1242: แขกผู้มีเกียรติแสนขุ่นแค้น
ร่างสูงใหญ่ของหลานเฮ่าอวิ๋นชะงักค้าง
เขาฟื้นจากความสิ้นหวังหมดอาวรณ์
ดวงตาของเขาทอประกาย ขณะกล่าวเสียงสั่น “ข้าเกือบลืม คืนนี้… ยังมีแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งมาด้วย!”
น้ำเสียงของเขายากจะซุกซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้
คนมากมายถูกย้ำเตือนว่างานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์หนนี้ ตระกูลหลานโบราณได้ประกาศอย่างมีลับลมคมในไว้ว่าพวกเขาเชิญแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งจากภูมิดาราอื่นมาด้วย
ซ้ำยังไม่เริ่มการประลองวิถีในคืนนี้เพื่อรอการมาถึงของแขกผู้มีเกียรติผู้นี้ก่อน!
ซูอี้แสนเฉื่อยชา และไร้ความรีบร้อนใด ๆ
การสังหารศัตรูทั้งหมดในคราเดียวนั้นช่างง่ายดายจริงแท้
ทว่าหากทำเช่นนี้ เขาก็อาจทำให้ศัตรูที่ยังไม่โผล่มาแตกตื่นหนีไปได้
เขาอยากเห็นนักว่าแขกผู้มีเกียรติที่ตระกูลหลานโบราณเชิญมาคืนนี้จะเป็นอย่างไร และเขาก็หวังว่า… คนผู้นั้นจะไม่น่าผิดหวังมากนัก
ไม่นานนัก ใต้ท้องนภาไกลออกไป รุ้งทองอันเจิดจรัสก็ปรากฏขึ้น
ร่างหนึ่งยืนเหนือรุ้งท้องทะยานผ่านเวหา
“ผู้น้อยหลานเฮ่าอวิ๋น ยินดีต้อนรับใต้เท้า!”
ยามนี้ สีหน้าของหลานเฮ่าอวิ๋นนั้นแสนปรีดา รีบรี่เข้าไปทักทายอย่างนอบน้อม
ทุกคนมองตามขึ้นไป และพบว่าผู้ที่ขี่รุ้งทองเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์หยก ร่างตรงแน่ว มีเพลิงแสงอาบไล้ร่างจาง ๆ
สิ่งที่สะดุดตาเป็นพิเศษคือชายในอาภรณ์หยกผู้นี้มีมีดคู่ห้อยอยู่ข้างเอว!
“ท่านนี้คือ?”
หลายคนสงสัย
“หนึ่งในแปดตระกูลราชันแห่งภูมิในจักรวาลพร่างดาว ผู้สูงส่งจากตระกูลจวง!”
ตู้ม!
ทั่วหล้าฮือฮาเซ็งแซ่เยี่ยงกระทะน้ำมันเดือด
เสียงอุทานปะทุดัง
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวมีตระกูลโบราณที่เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่แปดตระกูล
แต่ละแห่งล้วนมีอิทธิพลมหาศาลทั่วจักรวาลพร่างดาว
เหมือนเช่นเจ็ดตระกูลโบราณในภูมิดารานภาม่วง พวกเขาปกครองได้เพียงในภูมิดารานภาม่วง
ทว่าแปดตระกูลราชันแห่งภูมิเหล่านั้นแตกต่างออกไป พวกเขาแต่ละตระกูลกล่าวได้ว่าเป็นอำนาจสูงสุดในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว มิได้ต่างกับเหล่ายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวเท่าไร!
และตระกูลจวงก็คือหนึ่งในนั้น!
การปรากฏตัวของแขกผู้มีเกียรติเช่นนี้ ต่อให้เป็นเพียงบ่าวของตระกูลก็เพียงพอให้ตระกูลหลานต้องปฏิบัติด้วยเยี่ยงแขกผู้มีเกียรติสูงสุดแล้ว
และทุกคนก็เห็นได้ว่าฐานะของชายในอาภรณ์หยกผู้นี้ไม่มีทางธรรมดา และปราณราชันแห่งภูมิก็พลุ่งพล่านอยู่ในกายเขา
กล่าวอีกนัยก็คือ ฐานะของผู้มาจากตระกูลจวงผู้นี้เหนือธรรมดา!
“ตระกูลจวง!”
หัวใจของซางเหวินเจิ้งสั่นสะท้าน แม้แต่สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์
เขาหรือจะไม่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวยักษ์ใหญ่เยี่ยงตระกูลจวง?
แต่ต่อให้ตระกูลโบราณทั้งเจ็ดในภูมิดารานภาม่วงมาร่วมมือกันก็ยังมิอาจทัดเทียม!
และคืนนี้ ตระกูลหลานโบราณได้เชิญแขกผู้สูงส่งจากตระกูลจวงมาด้วย ทำให้ซางเหวินเจิ้งพลันตระหนักถึงความผิดปกติได้ทันที
เขาอดมองเมิ่งฉางอวิ๋นที่อยู่ข้างกายไม่ได้ แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายดูตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนประหลาดใจ!
มิรีรอให้ซางเหวินเจิ้งคืนสติ
เสียงอันโศกเศร้าของหลานเฮ่าอวิ๋นก็ดังขึ้นจากใต้นภา “ใต้เท้า วอนท่านช่วยทวงความยุติธรรมให้แก่ตระกูลหลานของข้าด้วยเถิด!”
หลานเฮ่าอวิ๋นกล่าวพลางคุกเข่าสะอื้นไห้
ชายในอาภรณ์หยกตกตะลึง “นี่เจ้าทำอันใด? มีผู้ใดกล้ารังแกตระกูลหลานของเจ้าด้วยหรือ?”
สีหน้าของหลานเฮ่าอวิ๋นสุดเคืองแค้น ชี้ตรงไปยังซูอี้ซึ่งยืนบนยอดคีรีเหมันต์ไกลออกไป และกล่าวว่า “ใต้เท้า คนผู้นี้โผล่มาสังหารผู้บริสุทธิ์และบรรพชนของเรามิเลือกหน้า เขา…”
หลานเฮ่าอวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ ใบหน้าแลดูเคียดแค้นสุดแสน
คนมากมายที่นี่ก็เออออตามน้ำ ทุกคนล้วนเดือดดาลราวกับซูอี้กลายเป็นเป้าสังหารแห่งจักรวาล
ทว่า ไร้ผู้ใดสังเกตเห็นว่ายามชายในอาภรณ์หยกเห็นซูอี้เข้า ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง ร่างชะงักค้างกับที่
“เจ้าอยากลุกขึ้นช่วยตระกูลหลานโบราณหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
แววตาของเขาแปรเปลี่ยนละเอียดอ่อนยิ่ง มิคาดเลยว่าจะได้พบเหลนผู้นี้ของจวงปี้ฟานที่นี่
เขายังคงจำได้ว่าเพิ่งปราบเจ้าหนูนี่ไปเมื่อไม่นานนี้ ณ เมืองฟ้ากระจ่างในภูมิทมิฬเร้น มิคาดว่าจะได้พบกันอีกหนที่นี่ยามนี้
ยิ่งกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลานโบราณเสียด้วย!
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ ชายในอาภรณ์หยกก็ร่างสั่น พลันฟื้นสติ
และภายใต้สายตาเหลือเชื่อทุกคู่ แขกผู้มีเกียรติจากตระกูลจวงพลันจัดเสื้อผ้า โค้งลงคำนับซูอี้จากระยะไกลอย่างจริงจัง
“ข้าจวงเซียวอวิ๋น ต่อให้กล้าเพียงใดก็มิกล้าล่วงเกินผู้อาวุโสขอรับ!”
ทั่วหล้าเงียบกริบ
ทุกคนตะลึงเสียจนกรามแทบร่วงลงพื้น
หลานเฮ่าอวิ๋นผู้กำลังฟูมฟายด่าทอซูอี้อย่างแค้นเคืองชะงักกะทันหัน
เขามองชายในอาภรณ์หยกอย่างไม่อยากเชื่อ “ใต้เท้า เหตุใดท่าน…”
จวงเซียวอวิ๋นผู้สวมอาภรณ์สีหยกโกรธเสียจนยกเท้าขึ้นกระทืบหน้าหลานเฮ่าอวิ๋น กล่าวด้วยเสียงลอดไรฟันว่า “นี่เจ้าเชิญข้ามางานเลี้ยงหรือ? ข้าว่าเจ้าเชิญข้ามาตายมากกว่า!!”
เปรี้ยง!
หลานเฮ่าอวิ๋นกระเด็นไปทันที รอยเท้ายังประทับบนหน้า
เขาร้องอย่างแทบสติเสีย “ใต้เท้า ท่านเข้าใจผิดหรือขอรับ?”
เพียะ!
ทันทีที่สิ้นคำ จวงเซียวอวิ๋นก็ตบเข้าใส่ ทำให้แก้มของหลานเฮ่าอวิ๋นบวมแดง เส้นผมกระจัดกระจาย
“ไปให้พ้น อย่าพูดกับข้าอีก หาไม่ข้าจะขยี้เจ้าเสีย!!”
จวงเซียวอวิ๋นสบถ
เขาเดือดดาลโดยแท้
ไม่นานนี้ การรอดชีวิตจากเงื้อมมือซูอี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโชคดี
ใครเล่าจะคาดว่าคืนนี้เขาจะถูกลากมาจัดการกับซูอี้อีก นี่มันผลักเขาลงกองเพลิงโดยแท้!
บรรยากาศพลันเงียบกริบวังเวงยิ่งกว่าเดิม
มิอาจจินตนาการได้เลยว่าไยแขกผู้มีเกียรติของตระกูลหลานจะแปรพักตร์ตบตีหลานเฮ่าอวิ๋นอย่างกะทันหันเช่นนี้!
นี่แปลกประหลาดโดยมิต้องสงสัย
“นี่… นี่…”
ซางเหวินเจิ้งพูดมิเป็นศัพท์
เขางุนงงเล็กน้อย
ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยมองหน้ากัน
เขาคือแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลราชันแห่งภูมิในจักรวาลพร่างดาว แต่กลับดูหวาดกลัวเสิ่นมู่ผู้นั้นนัก?
เพียงคิดก็ชวนให้ตัวสั่นแล้ว
และยามนี้ จวงเซียวอวิ๋นก็มาหาซูอี้ราวถูกไฟลวกก้น และอธิบายราวกับเกรงว่าซูอี้จะเข้าใจผิด
“ผู้อาวุโส ข้าแค่ผ่านมาจริง ๆ ขอรับ ข้าแค่มาดื่มสุราข้างทาง ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลานของพวกเขานัก แค่บุตรีผู้หนึ่งจากตระกูลพวกเขาแต่งเป็นอนุท่านอาร่วมตระกูลข้า หาเกี่ยวข้องใด ๆ กับข้าไม่ขอรับ”
ซูอี้ส่งเสียงอืม
หัวใจของจวงเซียวอวิ๋นสะท้านสั่นขณะกล่าว “หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถฆ่าคนตระกูลหลานโบราณนี้ได้ ข้าจะไม่มีทางเข้ามาแทรกแซงขอรับ กระทั่ง…”
สายตาของเขากวาดมองคนทุกผู้อย่างเย็นชา “ข้าเต็มใจลงแรงช่วยเหลือ!”
ทุกคนที่ได้สดับล้วนตระหนกตกใจ
ยามนี้ ใครเล่าจะไม่เห็นว่าแขกผู้สูงส่งจากตระกูลจวงผู้นี้กลัวชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นยิ่งนัก?
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของใครหลายคนก็แหลกสลาย
ตระกูลจวงเป็นหนึ่งในแปดตระกูลราชันแห่งภูมิในจักรวาลพร่างดาว!
ทว่ากระทั่งแขกผู้มีเกียรติจากตระกูลจวงยังกลัวอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าที่มาของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ร้ายกาจนัก!
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “หากเจ้าอยากช่วย ก็ช่วยเฒ่าเมิ่งคิดบัญชีที่นี่แล้วกัน”
เขาสิ้นความสนใจจะลงมืออีก
จวงเซียวอวิ๋นโล่งอกและรีบรับปากทันที
ซูอี้โยนม้วนหยกคืนให้เมิ่งฉางอวิ๋น และกล่าวว่า “ให้เจ้าจัดการ”
“ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
ซูอี้หามองผู้ใดอีกไม่ จากนั้นเขาก็กล่าวกับซางเหวินเจิ้งและซางชิงพิงว่า “ไปกันเถอะ ไปจากที่นี่แล้วหาที่คุยกันดี ๆ”
กล่าวจบ เขาก็เดินจากไปไกล
ซางเหวินเจิ้ง ซางชิงพิงและเหยาเสวี่ยรีบร้อนตามหลัง
กระทั่งระหว่างทาง สมองของพวกเขายังมึนงง หัวใจปั่นป่วนมิหาย
ยากจะสงบใจลงได้อย่างสมบูรณ์
…
ในงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ เหล่าราชาแห่งภูมิล้วนหมอบคุกเข่า
กลุ่มยอดฝีมือจากตระกูลโบราณหลักกลุ่มหนึ่งถูกคิดบัญชี
ตัวตนสูงสุดทั่วตระกูลหลานโบราณแทบถูกกวาดล้างสิ้น
เมื่อการคิดบัญชีนี้จบลง ยอดคีรีเหมันต์ก็กลายเป็นธารโลหิตไปแล้ว!
“สหายเต๋า ต้องการทำลายตระกูลหลานนี้ให้สิ้นซากหรือไม่?”
จวงเซียวอวิ๋นถามยิ้ม ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นส่ายหน้าและถามอย่างมีวาทศิลป์ “ผู้อาวุโสว่าด้วยการตกตายของราชันแห่งภูมิเหล่านั้น ตระกูลหลานโบราณจะยังรอดชีวิตได้หรือไม่?”
จวงเซียวอวิ๋นชะงักไป ก่อนจะกล่าวอย่างมั่นใจ “เมื่อขุมกำลังใหญ่เช่นนี้ไร้ราชันแห่งภูมิ มันจะชักนำฝูงหมาป่ามาขย้ำฉีกเป็นเสี่ยงแน่”
เมิ่งฉางอวิ๋นว่า “ไม่เพียงตระกูลหลานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลโบราณอื่น ๆ ด้วย นี่คือบทลงทัณฑ์ของคุณชายของข้า และถือเป็นการช่วยตระกูลซางให้ล้างแค้นอย่างตาต่อตาฟันต่อฟันเช่นกัน”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังเดินจาก
จวงเซียวอวิ๋นลังเล ก่อนจะเดินตามไป
“เหตุใดผู้อาวุโสจึงตามมาเล่า?”
เมิ่งฉางอวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย
จวงเซียวอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเพิ่งมา และต้องกล่าวทักทายคุณชายของเจ้าสักหน่อย หาไม่คงมิสุภาพเกินไป”
เมิ่งฉางอวิ๋น “…”
แล้วเขาก็มิกล่าวอันใดอีก
คืนนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงราตรีคีรีเหมันต์ได้แพร่กระจายออกไปเยี่ยงพายุ จนเกิดเป็นเสียงฮือฮาไปทั่ว
คาดการณ์ได้เลยว่าขุมกำลังผู้ฝึกตนทั่วภูมิดารานภาม่วงจะสั่นสะท้านด้วยเหตุนี้ และมิอาจนอนหลับได้ทั้งคืน