บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1244: ปีศาจวิหคเขียว
ตอนที่ 1244: ปีศาจวิหคเขียว
ม่านหมอกเบื้องหน้าหนาหนัก สารพัดหมู่ดาราวับวาววูบไหวดุจคู่เนตรเรืองประกายกลางความมืด
เรือท้องแบนลำหนึ่งทะยานเข้าไปในนั้น
ซูอี้ยืนเหยียบกราบเรือ ยกไหสุราดื่มอย่างอิสระ
ในอดีตชาติครั้งยังเป็นทัศนาจารย์ เขาก็เคยมายังธารดาราพร่างอนธการแห่งนี้
เขาไม่ได้มาเพื่อสำรวจหาโอกาส แต่ก้นธารดาราพร่างอนธการนี้มีทางเข้าสู่เมืองสวรรค์เทพมายาอยู่!
เมืองสวรรค์เทพมายาคือหนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามในจักรวาลพร่างดาว
จากคำร่ำลือ มันเป็นเมืองซึ่งหลงเหลืออยู่ของแดนสวรรค์
และยังลือกันว่าเป็นสถานที่พักแรมอันสร้างขึ้นโดยเทพปีศาจนับแต่แรกบรรพกาลอีกด้วย
จวบจนยามนี้ก็ยังไร้ผู้ใดรู้ ว่าเมืองสวรรค์เทพมายาที่ว่านั่นหน้าตาเป็นเช่นไร
เหตุเป็นเพราะสถานที่ต้องห้ามอันเกินล่วงรู้นี้มีเพียงตำนาน ยังไม่มีผู้ใดเคยได้เข้าไปจริง ๆ!
กาลก่อน ทัศนาจารย์ก็พบทางเข้าสู่เมืองสวรรค์เทพมายาแล้ว
ทว่าน่าเสียดาย ทางเข้าที่ว่าถูกกั้นขวางโดยอำนาจอันเต็มไปด้วยคลื่นพลังมิติกาลเวลา ทำให้ต้องหยุดลงที่นี่ มิอาจได้ประจักษ์โฉมหน้าแท้จริงของเมืองสวรรค์เทพมายาได้
“สหายเต๋าทั้งสอง ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ขอคารวะ”
บนพื้นในม่านหมอกที่อยู่ห่างออกไป ชายชราในชุดขาวผู้มีหน้าตาใจดีผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
เขาคำนับด้วยรอยยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่นายข้าควบคุม หากต้องการผ่านที่นี่ไป…”
โดยมิรีรอให้เขาพูดจบ ซูอี้ก็กล่าวขัดขึ้น “จะเก็บค่าผ่านทาง?”
ชายชราชุดขาวมองซูอี้อย่างชื่นชม “สหายเต๋าเข้าอกเข้าใจดีแท้ งั้นตาเฒ่าผู้นี้ไม่ขอเยิ่นเย้อ นายท่านของข้าใส่ใจความยุติธรรมเสมอ พวกเจ้าทั้งสองคนเพียงนำสมบัติออกมากึ่งหนึ่งที่มีก็พอ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างเฉยชา “แล้วหากเราไม่ส่งให้เล่า?”
ชายชราชุดขาวกล่าวพร้อมกับยิ้ม “พื้นที่ปกครองของนายข้ากินพื้นที่สามหมื่นลี้ ปกคลุมทั่วสามโลกภูมิ มีผู้แข็งแกร่งนับหมื่นใต้บัญชา หากต้องการความสงบสุข แนะนำว่าควรให้ความร่วมมือ”
เพิ่งสิ้นคำ
ในม่านหมอกที่ไกลออกไป เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นดุจเทพมารดุร้ายกระหายสงคราม
ชายชราในชุดขาวแย้มยิ้มประสานมือ “ขอสหายเต๋าทั้งสองสงเคราะห์ด้วย!”
สงเคราะห์?
เมิ่งฉางอวิ๋นแทบหลุดหัวเราะ
ไอ้แก่นี่ปล้นกันชัด ๆ ยังจะมาประดิษฐ์คำ น่าขันสิ้นดี
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นก็รู้ว่าสถานการณ์ตรงหน้าตนไม่ได้แก้ไขได้โดยง่าย
สถานที่แห่งนี้มืดมนปั่นป่วน มารปีศาจพลุกพล่านอาละวาด ไร้กฎระเบียบใด ๆ ทั้งสิ้น
“ที่แห่งนี้มืดหม่นโสโครก เจ้าเองก็อุบาทว์ มองปราดแรกก็รู้ว่ามิใช่คนดี”
ซูอี้เสสรวล “ข้าว่านะ การฆ่าเจ้าทิ้งเสียจะเป็นการสงเคราะห์ทำความดี มิต่างจากสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเลย”
รอยยิ้มเมตตาบนใบหน้าชายชราชุดขาวซึ่งอยู่ไกลออกไป เลือนหาย ปรากฏแววกระหายเลือดแฝงในแววตา “เหล้าฉลองไม่ดื่ม จะดื่มเหล้าลงทัณฑ์หรือ?”
วูบ!
ซูอี้ชี้นิ้ว
บงกชเพลิงพุทธะศักดิ์สิทธิ์อันงดงามตระการตาพลันวูบไหวขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะร่วงลงบนร่างชายชราชุดขาว
ตู้ม!
เพลิงพุทธะแผดเผาพลุ่งพล่าน คลอกร่างของชายชราชุดขาวในทันที
“ไม่!”
เสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวดังลั่น
แล้วร่างของชายชราชุดขาวก็แปรเปลี่ยนเป็นปีศาจหมูตัวใหญ่ยักษ์กว่าสิบจั้ง ร่างโชกเลือด ร่างปกคลุมด้วยหมอกลอยเคลื่อน ปราณดุร้ายเกรี้ยวกราด
ทว่าด้วยอำนาจของเพลิงพุทธะอันกล้าแกร่ง ร่างทั้งร่างของมันก็ถูกแผดเผาทะลวงเป็นรู เสียงกรีดร้องเยี่ยงหมูถูกเชือด
เพียงไม่กี่พริบตา ปีศาจหมูขนาดสิบกว่าจั้งก็สลายเป็นธุลี
ไกลออกไป เงาร่างทั้งหลายที่ดูประหนึ่งเทพมารดุร้ายต่างตะลึงเหงื่อแตกพลั่ก แล้วพากันหนีกระเจิง
ทัพแตกพ่ายไม่เหลืออะไรดี
เมิ่งฉางอวิ๋นอดบ่นอย่างเหยียดหยามมิได้
“ฝูงขี้โอ่”
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้ว่า
ตลอดทางต่อมาเงียบสงบ
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นสังเกตได้ชัดเจนว่ามีผู้ลอบตามพวกเขามามากมาย
และยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาล!
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเบา ๆ
“กลุ่มกำลังชั่วร้าย?”
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ “ก็แค่พวกปีศาจร้ายบางตนที่กล้าเพียงเตร็ดเตร่ในธารดาราพร่างอนธการเท่านั้น”
ขณะกำลังกล่าว เสียงกร้าวดุจอสนีบาตพลันดังมาจากไกล ๆ
“พวกเจ้าหรือที่ฆ่าผู้ส่งสารของข้า?”
อากาศครั่นคร้าม หมอกควันพุ่งพลิ้ว หนึ่งขุนเขาสูงพันจั้งที่ก่อจากกระดูกขาวโพลนเคลื่อนเข้ามาจากไกล ๆ
รอบขุนเขากระดูกขาว ผู้ฝึกตนปีศาจนับหมื่นรวมตัว แรงกดดันมหาศาลแผ่สยบไปทั่วสารทิศ
ที่ยอดเขากระดูกขาวมีชายหัวล้านร่างสูงผู้ดูทรงพลังนั่งอยู่บนบัลลังก์
ดวงตาของเขาเป็นสีเขียวคราม กล้ามเป็นมัด สวมสร้อยอันสร้างจากโครงกระดูกรอบคอ ร่างเต็มไปด้วยเลือด ปราณดุดัน
“จอมปีศาจในขอบเขตราชันแห่งภูมิ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นประหลาดใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหัวล้านซึ่งนั่งบนบัลลังก์ที่ยอดเขากระดูกขาวคือนายท่านที่ชายชราชุดขาวกล่าวถึงเมื่อครู่
หรือก็คือเจ้าถิ่นที่นี่!
“กล่าวให้ชัดเจนคือเป็นปีศาจวิหคเขียว”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าสัตว์ขนเรียบนี่ปรากฏตัวเหมาะเจาะดี ต่อจากนี้ก็ใช้เป็นพาหนะได้ น่าจะหยุดเรื่องยุ่ง ตัวตนมีตาไร้แววมาหาเรื่องเราได้บ้าง”
ขณะกล่าว ร่างของซูอี้ก็ทะยานจากเรือท้องแบน มุ่งหน้าไปหาภูเขากระดูกขาวอันอยู่ห่างออกไป
“วอนตาย!”
หนึ่งเสียงตะโกนลั่น
คลื่นผู้ฝึกตนปีศาจพุ่งออกมาโจมตีซูอี้
ซูอี้เมินพวกเขาไป ไม่แม้แต่จะมอง
เปรี้ยง!
การโจมตีเหล่านั้นดูน่าหวาดหวั่น ทว่ากลับพังทลายก่อนทันจะได้เข้าใกล้ซูอี้เยี่ยงหมอกควัน
และร่างของซูอี้ก็พลิ้วมาถึงยอดเขากระดูกขาว
ชายร่างใหญ่หัวล้านบนบัลลังก์ลุกขึ้น สัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ
เขากล่าวหยั่งเชิงขึ้นมา “เจ้าคือ…”
มิรีรอให้อีกฝ่ายพูดจบ ซูอี้ก็ยกมือขึ้นตบหัวชายหัวล้าน
แป๊ะ!
ชายหัวล้านล้มก้นจ้ำเบ้า ดวงตาเห็นดวงดาวพร่างพราย สมองอื้ออึง ตะลึงค้างกับที่
นี่… คนไร้ปรานีเช่นนี้มาจากหนใดกัน?!
ต้องทราบว่าด้วยฐานะปีศาจในขอบเขตราชันแห่งภูมิ แม้จะไม่แข็งแกร่งเหนือผู้ใดทั้งมวล แต่ในธารดารานี้ เขาก็ยังเป็นราชาปีศาจผู้ไร้เทียมทานอยู่
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้ไม่อาจทราบที่มากลับโจมตีเขาโดยมิกล่าววาจาสักคำ!
ในบริเวณภูเขากระดูกขาวเงียบสงัดเยี่ยงป่าช้า
ผู้ฝึกตนปีศาจนับหมื่น ๆ พากันตะลึงงัน นายท่าน… โดนตบเอาง่าย ๆ เช่นนั้นเลยหรือ!?
“ต่อจากนี้ รับใช้เป็นพาหนะข้าเสีย หากเจ้าร่วมมือแต่โดยดี ชีวิตของเจ้าจะได้รับการละเว้น”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
“เป็นพาหนะ!?”
ใบหน้าของชายหัวล้านแดงก่ำด้วยความอับอาย
นับแต่เหยียบย่างสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ ใครเล่าจะกล้าเหยียบย่ำหยามเขาเช่นนี้?
“ข้าเป็นราชันแห่งภูมินะ มาหยามกันเช่นนี้…”
ชายหัวล้านแสดงสีหน้าโกรธเคือง กำลังจะพูดข่มขู่
แป๊ะ!
ซูอี้ฟาดหัวใสวิ้งของเขาอีกครั้ง “ตกลงหรือไม่ เลือกเอา”
ชายหัวล้านตะลึงนิ่ง
ในธารดาราพร่างอนธการนี้ เขาเป็นฝ่ายข่มเหงรังแกผู้อื่นมาตลอด มีหรือจะมาถูกรังแกเช่นนี้?
ทว่าเมื่อถูกสายตาของซูอี้จับจ้อง ชายหัวล้านพลันหนาวยะเยือกทั้งกาย ขนทั่วร่างลุกซู่ สัมผัสแรงกดดันมหาศาลปะทะหน้าได้
เขาแน่ใจว่าหากปฏิเสธ ได้ตายแน่!
“ใต้เท้าโปรดใจเย็นก่อน!”
เข่าของชายหัวล้านทรุดฮวบกับพื้น ศีรษะโขกพื้น ร้องตะโกนเสียงสั่น “การได้รับใช้เป็นพาหนะให้ใต้เท้าคือบุญที่แปดชาติผู้น้อยก็สั่งสมไม่ได้ขอรับ!”
เหล่าผู้ฟังล้วนผงะหงาย
ผู้ฝึกตนวิถีปีศาจนับหมื่นระส่ำระสายงุนงง
นายท่านผู้ดุร้ายไร้ปรานี หาญกล้าต่อกรทุกสิ่ง เหตุใดจู่ ๆ ก็คุกเข่าลงเช่นนั้น!?
“กล่าวได้ไม่เลว”
ซูอี้กล่าวพลางก้าวเท้าลง
ตู้ม!!
ภูเขากระดูกขาวแหลกสลาย
ผู้ฝึกตนปีศาจอันหนาแน่นในบริเวณใกล้เคียงล้วนระเบิดเยี่ยงกระดาษเปื่อย ร่างมลายหายไป
ชายหัวล้านอึ้งจนหัวของเขาชุ่มเหงื่อ
เขาหรือจะกล้าลังเล ร่างของเขาสั่นเทิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นวิหคร้ายสีเขียวร่างยาวร้อยจั้ง
ปีกเป็นเช่นหมู่เมฆาบนท้องฟ้า ปกคลุมด้วยเพลิงสีเลือดเจิดจรัส
นี่คือปีศาจวิหคเขียว ปีศาจตนหนึ่งที่กล่าวได้ว่าดุร้ายนักในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว กลืนแดนดินแปดร้อยลี้ลงท้องได้ในหนึ่งคำ
“ใต้เท้า เชิญขอรับ!”
ปีศาจวิหคเขียว หรือก็คือชายหัวล้านกล่าวอย่างนอบน้อม
ซูอี้และเมิ่งฉางอวิ๋นขึ้นหลังปีศาจวิหคเขียว ออกเดินทางต่อทันที
และเป็นตามคาด ระหว่างทางไร้อุปสรรคใด ๆ อีก!
แม้จะได้พบปีศาจร้ายไม่รู้ตาสีตาสาระหว่างทาง แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าขนาดปีศาจวิหคเขียวยังกลายเป็นแค่พาหนะ พวกมันก็หันหลังเผ่นหนี ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่น้อย
ระหว่างทาง ซูอี้ก็ได้ยินเสียงระฆังพิเศษเฉพาะของร้านจำนำ ‘ระฆังสยบใจ’ อีกครั้ง
และไม่ว่าจะเป็นเมิ่งฉางอวิ๋นหรือปีศาจวิหคเขียวต่างก็หาได้ยินเสียงระฆังนั้นไม่
ทว่าซูอี้ก็ต้องแปลกใจที่ปีศาจวิหคเขียวพลันกล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้า ท่านตามหาร้านจำนำลึกลับนั่นอยู่หรือขอรับ?”
“เจ้าก็รู้จักร้านจำนำนี้หรือ?”
ซูอี้ประหลาดใจ
“ราวสี่ร้อยปีก่อน ร้านจำนำนี้ปรากฏขึ้นในธารดาราพร่างอนธการ และตลอดกาลผ่านมา เหล่าปีศาจเฒ่าในธารดาราพร่างอนธการก็ได้เป็นลูกค้าร้านจำนำ ได้รับผลประโยชน์จากมันมากมายขอรับ”
ปีศาจวิหคเขียวรีบกล่าว “เรื่องนี้รู้กันแค่ในหมู่ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิขึ้นไปเท่านั้น น่าเสียดายที่การฝึกฝนผู้น้อยมิสูงพอ จึงไร้โอกาสได้เข้าร้านจำนำขอรับ”
เสียงของเขาดูเสียดาย
“การฝึกฝนไม่พอหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
ตั้งแต่ยามใดกันที่เงื่อนไขเลือกลูกค้าของร้านจำนำแปรเปลี่ยน?
ต้องทราบว่าในอดีต ร้านจำนำเคลื่อนคล้อยทั่วแดนใต้สรวงสวรรค์ และรับเพียงผู้มีวาสนา!
ปีศาจวิหคเขียวอธิบาย “ตอบใต้เท้าตามตรง ร้านจำนำนี้รับเพียงราชันแห่งภูมิเหนือขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขอรับ”
ซูอี้ยิ่งแปลกใจยิ่งกว่าเก่า
นานมาแล้ว เขารู้ว่าที่มาของร้านจำนำนี้ลึกลับเหนือธรรมดา
ยิ่งกว่านั้น หญิงบ้าผู้เป็นเจ้าของร้านจำนำยังเป็นผู้มีภูมิหลังประหลาด และสุดยอดสมบัติมากมาย
เหมือนเช่นระฆังสยบใจ ตาชั่งดุลยพินิจและลูกคิดเคลื่อนดารา ซึ่งเป็นสามสมบัติประจำร้าน พวกมันแต่ละชิ้นต่างกล่าวได้ว่ามีเพียงชิ้นเดียวทั่วโลกหล้า!
ต่อให้ซูอี้ใช้ประสบการณ์ของทัศนาจารย์ ทุกสิ่งในร้านจำนำนี้ก็หาธรรมดาไม่
เพราะถึงอย่างไร ร้านจำนำซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างภพภูมิมิติต่าง ๆ ได้ตามใจย่อมเหลือเชื่อยิ่งนัก
ทว่าเขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าเมื่อร้านจำนำนี้ปรากฏขึ้นในธารดาราพร่างอนธการ มันจะรับเพียงราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญขึ้นไป!
“กาลก่อน เถ้าแก่เฒ่าเคยบอกไว้ว่าหญิงบ้าละจากแดนเทวามหาแดนดิน เดินทางสู่ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวเมื่อสี่ร้อยปีก่อน บอกว่าหากทำธุรกรรมกับพัศดี”
“ทว่ายามนี้… เหตุใดร้านจำนำจึงมาโผล่ในธารดาราพร่างอนธการนี่ได้?”
คำถามแล้วคำถามเล่าประดังเข้าสู่ใจของซูอี้ กระตุ้นความใคร่รู้ของเขาขึ้นมา