บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1248: เผยความลับในกล่องสำริด
ตอนที่ 1248: เผยความลับในกล่องสำริด
ไฟในตะเกียงสำริดมีขนาดเพียงเมล็ดถั่ว ส่องแสงสลัวกระดำกระด่าง
ภายในร้านจำนำ ซูอี้กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้หวาย
ลูกคิดเคลื่อนดาราหยิบสุราออกมาไหหนึ่ง
ระฆังสยบใจเตรียมกับแกล้มเลิศรสมาสองจาน
ตาชั่งดุลพินิจมอบแท่นตวงของตนมาใช้เป็นโต๊ะเล็กวางกับแกล้มเครื่องดื่ม และส่งให้ซูอี้อย่างนอบน้อมว่าง่าย
ท่าทีพินอบพิเทานี้ทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นอดเบิกตากว้างไม่ได้ สมบัติเหล่านี้… รู้กระทั่งวิธีประจบใต้เท้าทัศนาจารย์ด้วยหรือ!?
เถ้าแก่เฒ่ายืนอธิบายข้างกายเขาด้วยเสียงเบา
เมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน เจ้าของร้านจำนำได้ข้ามจักรวาลพร่างดาวมาจนถึงธารดารานี้ บอกว่านางต้องการสำรวจเมืองสวรรค์เทพมายาในคำร่ำลือเพื่อหาสมบัติชิ้นหนึ่ง
หลังจากมาถึงธารดาราพร่างอนธการได้ไม่นาน เจ้าของร้านจำนำก็ออกเดินทางลำพัง
จนเดือนต่อมา มังกรเฒ่าพลันปรากฏขึ้นหน้าร้านจำนำพร้อมกับจดหมายฉบับหนึ่ง
ในจดหมายนั้นมีเศษเสี้ยวเจตจำนงของเจ้าของร้านจำนำอยู่
นางบอกกับเถ้าแก่เฒ่าว่าต่อจากนี้ไป นางจะต้องต่อสู้พัวพันกับคนผู้หนึ่งนาม ‘นักซ่อนกล’!
เมื่อจบศึก นางจะกลับมา
ขณะเดียวกัน เจ้าของร้านจำนำก็บอกว่ามังกรเฒ่าเป็นบ่าวผู้หนึ่งของ ‘นักซ่อนกล’ และจากข้อตกลงระหว่างเจ้าของร้านจำนำกับนักซ่อนกล มังกรเฒ่าจะช่วยดูแลร้านจำนำในช่วงเวลานี้
ผ่านไปสามร้อยกว่าปีแล้ว ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไร้ข่าวคราวเจ้าของร้านจำนำ
และมังกรเฒ่าซึ่งเดิมช่วยดูแลร้านจำนำ จู่ ๆ ก็เผยธาตุแท้ออกมาเมื่อร้อยปีก่อน และเข้ามาแทรกแซงการแลกเปลี่ยนของร้านจำนำ ถือเถ้าแก่เฒ่าและพวกลูกคิดเคลื่อนดาราเป็นลูกน้อง
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เถ้าแก่เฒ่าก็อดแสดงความไม่พอใจออกมาไม่ได้ เขาชี้มังกรเฒ่าซึ่งคุกเข่าอยู่พลางกล่าวอย่างเคืองแค้น “ในร้อยปีมานี้ ไอ้แก่นี่ทำร้านจำนำเราเสียสมบัติหายากไปมากมาย การกระทำชั่วร้ายน่ารังเกียจมากขอรับ!”
มังกรเฒ่าดูสงบเงียบเฉยเมย หาได้ปฏิเสธไม่
ซูอี้จิบสุราพลางกล่าว “ใจเย็นก่อน ข้าจะช่วยเจ้าระบายความแค้นทีหลัง”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเถ้าแก่เฒ่าเดือดดาลเพียงนี้
เถ้าแก่เฒ่าสูดหายใจลึก ๆ สงบโทสะในใจ “ใต้เท้าซู เหตุที่ว่าตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้หยุดมิให้ท่านสังหารมังกรเฒ่านี้เสียก็เพราะว่าบ่าวของนักซ่อนกลไม่อาจถูกฆ่าได้ง่าย ๆ ขอรับ”
ซูอี้พึมพำ “ใครคือนักซ่อนกล? และยามนี้อยู่หนใด?”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าว “นายข้าเคยกล่าวไว้ว่านักซ่อนกลซุ่มอยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายา สงสัยว่าจะเป็นยอดฝีมือซึ่งไม่ใช่ของยุคสมัยนี้ขอรับ”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
เมืองสวรรค์เทพมายานั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดพื้นที่ต้องห้ามในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
เนิ่นนานมาตั้งแต่โบราณ ยากจะได้ยินว่ามีผู้ใดเข้าไปได้
ทว่ายามนี้กลับมีผู้ต้องสงสัยจะมิใช่คนจากยุคสมัยนี้กบดานอยู่ภายใน ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?
มังกรเฒ่าซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพลันเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาคลั่งไคล้ “ผิดแล้ว นายข้าคือทายาทแห่งเซียนที่แท้จริงต่างหาก!”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “ไยจึงกล่าวเช่นนั้น?”
มังกรเฒ่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เพราะนายข้ามีสายเลือดเซียนในกาย และถือครองศาสตร์เซียนที่แท้จริงอยู่! หากมิใช่เพราะท่านถูกขังไว้ในเมืองสวรรค์เทพมายาล่ะก็ ด้วยฝีมือใต้เท้าของข้าก็เพียงพอจะสยบทุกภูมิดารา สั่นสะท้านทั่วจักรวาลนี้ได้!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เมิ่งฉางอวิ๋นก็อดสะท้านในใจมิได้ ทายาทแห่งเซียน? ศาสตร์เซียน?
หรือโลกนี้จะมีเซียนอยู่จริง ๆ!?
ซูอี้หัวเราะพลางกระซิบกับตนเอง “หากมีเทพเซียนบนฟ้า ยามพบกับข้าก็ต้องก้มหัว…”
นี่คือสิ่งที่ทัศนาจารย์กล่าวไว้เมื่อนานมาแล้ว
และการสานต่อประสบการณ์ของทัศนาจารย์ก็ทำให้ซูอี้เข้าใจกระจ่างแจ้งว่าทั่วจักรวาลพร่างดาวแห่งจักรดาราตงเสวียนนี้ไร้เซียนใด ๆ!
กล่าวอีกนัยก็คือ โลกนี้ไร้เทพเซียน!
หากมี ก็ย่อมหมายความว่าพวกเขาหาได้อยู่ในจักรดาราตงเสวียนไม่
และยามนี้ คนผู้หนึ่งที่มีนามว่านักซ่อนกลกลับถือตนเป็นทายาทแห่งเซียน คงไม่พ้นไอ้แก่สับปลับสักคน!
แน่นอนว่าต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นทายาทแห่งเซียนจริง แต่เขาก็ติดอยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายา ไยเล่าจึงมิอาจออกมาได้จนยามนี้?
ซูอี้หันไปกล่าวกับเถ้าแก่เฒ่า “เจ้ารออยู่ที่นี่มาตลอด รู้ได้เช่นไรว่านายเจ้ายังอยู่?”
ระฆังสยบใจพลันกล่าวขึ้น “ใต้เท้าซูยังจำตอนที่ท่านอยู่ในมหาทวีปคังชิงและได้กระเรียนกระดาษไปจากร้านจำนำได้หรือไม่?”
ซูอี้ผงะไปและพยักหน้าเล็กน้อย
เขาแบมือออก และกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
มันเป็นสีเงินซีดทั้งตัว ดวงตาดุจเพชรสีเลือดอันกระจ่างใส หัวกดต่ำลง ปลายจะงอยปากกำลังไซ้ขนปีก มีชีวิตชีวาชัดเจน
ที่หลังกระเรียนกระดาษนี้มีกล่องสำริดขนาดราว ๆ เมล็ดข้าวอยู่
ซูอี้ได้รับของสิ่งนี้มายามมาเยือนร้านจำนำครั้งแรกหลังเวียนวัฏและปลุกความทรงจำในอดีตชาติ ณ มหาทวีปคังชิงได้
เขายังคงจำได้แม่นว่ายามนั้น มีข้อความจากเจ้าของร้านจำนำสลักอยู่บนกล่องสำริดขนาดเท่าเมล็ดข้าว
มันเขียนไว้ว่า
‘โจรเฒ่าซู เก็บกล่องนี่ไว้ให้ข้าที’
‘หากวันใดที่เจ้าประสบอันตรายถึงชีวิต เปิดกล่องนี้เสีย’
‘ข้ารู้ว่าเจ้าจะมิฟังคำเกลี้ยกล่อมใด ๆ และอยากรู้นักว่าสิ่งใดอยู่ในกล่องนี้ ทว่าครั้งนี้เห็นแก่หน้าข้าเถอะ อย่าทำเช่นนั้นได้หรือไม่?’
คราก่อนที่ได้อ่านข้อความเหล่านี้ ซูอี้หาได้คิดจริงจังไม่และมิได้สนใจมันเลย
กล่องสำริดบนหลังกระเรียนกระดาษนี้น่าจะบรรจุสมบัติสุดยอดของหญิงบ้าเอาไว้ ทว่าก็มิได้ถูกใช้จนยามนี้
จนกระทั่งหากไม่ใช่เพราะระฆังสยบใจกล่าวถึงมันขึ้นมาตอนนี้ เขาก็เกือบลืมกระเรียนกระดาษนี่ไปเสียแล้ว
“กระเรียนกระดาษนี้เกี่ยวกับความเป็นความตายของนายเจ้าหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
กระเรียนกระดาษนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากมันสร้างขึ้นจากวัตถุดิบสวรรค์สมบัติแดนดินเยี่ยง ‘ไหมจิตดารา’ และ ‘ผลึกโลหิตอสูรลี้ลับ’ ที่มีมูลค่าสูงลิบลิ่ว
แต่ก็เป็นเพียงเท่านั้น
“ใต้เท้าซูยังไม่ทราบบางอย่างขอรับ”
เถ้าแก่เฒ่าไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “กระเรียนกระดาษนี้หาสำคัญไม่ แต่กล่องสำริดบนหลังมันสำคัญยิ่งขอรับ มันผนึก ‘ที่มาแห่งจิตวิญญาณ’ ของนายข้าไว้ ขอเพียงมีกล่องสำริดนี้อยู่ นายข้าจะไม่มีวันตกตาย นางจะสามารถฟื้นขึ้นได้ด้วยที่มาแห่งจิตวิญญาณนี้ขอรับ”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “ไยเจ้าจึงมิเคยบอกเรื่องสำคัญเช่นนี้กับข้าเลย?”
เถ้าแก่เฒ่าก้มหน้ากล่าว “นี่คือคำสั่งนายข้าขอรับ ท่านเคยบอกไว้ว่าคนเช่นใต้เท้าซูจะไม่ตายง่าย ๆ หรอก และหากนางส่งกล่องสำริดนี้ให้ใต้เท้าซูเก็บรักษา นางจะไม่ต้องห่วงว่าตนจะตกตายแม้แต่น้อย…”
มุมปากของซูอี้กระตุกเล็กน้อย สรุปว่าเขาถูกหญิงบ้าผู้นั้นหลอกใช้หรือ?
ระฆังสยบใจอธิบายอย่างร้อนใจ “ใต้เท้าซู ที่จริงแล้วกล่องสำริดนี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธสังหารที่นายข้าทิ้งไว้ให้ท่านได้จริง ๆ นะเจ้าคะ ท่านก็แค่เปิดผนึกมันเท่านั้น แล้วอำนาจในกล่องก็เพียงพอจะสังหารราชันแห่งภูมิได้ง่าย ๆ แล้วเจ้าค่ะ!”
ซูอี้สะเทือนใจวูบไหว
ยามที่เขาเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน เขาเคยพบปะเจ้าของร้านจำนำนี้มามากกว่าหน
เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าสตรีผู้นั้นงดงามเกินใคร แต่กลับมีอุปนิสัยดุร้ายรุนแรงยิ่งนัก และมีสมบัติลึกลับเกินคาดหยั่งมากมายในมือ
เหมือนเช่น ‘ระฆังสยบใจ’ ‘ลูกคิดเคลื่อนดารา’ และ ‘ตาชั่งดุลยพินิจ’ ในร้านจำนำ
พวกมันล้วนกล่าวได้ว่าเป็นสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อันหาได้ยากในโลกหล้า
และนี่เป็นเพียงหนึ่งหยดน้ำในถังสำหรับบรรดาสมบัติที่หญิงบ้าผู้นี้สะสมไว้
ทว่าซูอี้ก็ยังมิคาดว่ากระเรียนกระดาษที่สตรีผู้นี้ให้เขามาจะมีอำนาจพอจะสังหารราชันแห่งภูมิ!
สายตาของซูอี้กวาดมองเถ้าแก่เฒ่าและสมบัติทั้งสามชิ้น พลางกล่าว “แต่แรกเดิมที พวกเจ้าร่วมมือกับนายเจ้าปิดบังความจริงจากข้ามากมายใช่หรือไม่?”
“ใต้เท้าซู เราไม่มีเจตนาร้ายใด ๆ ทั้งสิ้นจริง ๆ นะขอรับ!”
“จะว่าไป ที่จริงแล้ว… นี่คือสิ่งที่นายเราสั่งมาขอรับ…”
“ใต้เท้าซูโปรดอย่าโกรธเลยนะขอรับ”
เถ้าแก่เฒ่าและสมบัติทั้งหลายล้วนรีบร้อนอธิบาย
ซูอี้โบกมือกล่าว “พอแล้ว ภายหน้ายามไปพบนายเจ้า ข้าจะคุยกับนางเอง”
พวกเถ้าแก่เฒ่าถอนหายใจโล่งอกกันทันที
ซูอี้เก็บกระเรียนกระดาษไปและกล่าวอย่างครุ่นคิด “นั่นก็คือจะบอกว่า กระทั่งพวกเจ้ายังไม่รู้ความเป็นความตายนายเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
เถ้าแก่เฒ่ารำพัน “ใช่ขอรับ”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็หันไปมองมังกรเฒ่าพลางพูด “ทว่าเราทั้งหลายล้วนสังหรณ์ว่านายข้ายังมีชีวิต เพราะหาไม่ หากว่าไอ้แก่นี่คิดยึดร้านจำนำ ก็คงไม่ปล่อยเราไว้จนยามนี้”
ซูอี้เองก็หันไปกล่าวกับมังกรเฒ่า “เจ้าของร้านจำนำยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
มังกรเฒ่ากล่าวอย่างเย็นชา “หากข้ายังอยู่ บางทีเจ้าก็อาจยังได้คำตอบ แต่หากข้าตาย เจ้าจะไม่ได้อันใดทั้งสิ้น และนายข้าจะรู้ทันที! เจ้าไม่มีทางรับผลเช่นนั้นไหวแน่!”
ซูอี้แค่นเสียง ‘เหรอ’ ยาว ๆ ออกมาแล้วเอื้อมมือออกไป
ตู้ม!
ท่ามกลางแสงเพลิงเจิดจ้า ร่างของมังกรเฒ่าพลันหดลงไม่รู้กี่เท่า เผยร่างจริงออกมาเป็นมังกรยาวหนึ่งจั้ง
ทว่ายามนี้ มังกรเฒ่าดูจะสังหรณ์ถึงอะไรบางสิ่ง จึงอุทานออกมาว่า “เจ้ากำลังจะทำอันใด?!”
ซูอี้แย้มยิ้มเฉยเมย “บดขยี้ป่นกระดูกเจ้า แล้วก็ให้นายเจ้ารู้ว่าเจ้าตายไง”
มังกรเฒ่า “???”
มันกระวนกระวายไม่อาจสงบใจลงได้อีก ก่อนจะส่งเสียงคำรามซ้ำ ๆ
ทว่าซูอี้หาสนใจมันไม่ และไม่นาน เขาก็ฉีกกระชากเนื้อขอดเกล็ดมังกรของมัน เริ่มขยำบดขยี้…
ในชั่วขณะนั้น หัวใจของเมิ่งฉางอวิ๋นรู้สึกเย็นยะเยียบ
นี่คือมังกรในขอบเขตคืนสู่สามัญ มีความสามารถไม่ธรรมดา ภูมิหลังและความแข็งแกร่งเด่นล้ำเหนือผู้ฝึกตนมนุษย์ไปไกลโข
ทว่ายามนี้กลับถูกจับขึ้นมาขยำขยี้!
ไม่ว่าใครได้เห็นภาพนองเลือดนี้ ก็เกรงว่าคงมิอาจสงบใจ
“เย้!”
ลูกคิดเคลื่อนดารา ตาชั่งดุลยพินิจและระฆังสยบใจล้วนโห่ร้องอย่างแสนปรีดา
เถ้าแก่เฒ่าเองก็ตื่นเต้นเสียจนปรบมือรัว ๆ
ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา พวกเขาถูกมังกรเฒ่าใช้งานเป็นข้าทาส จนตอนนี้รอดูดเลือดสูบเนื้อมันมิไหวแล้ว!
เปรี้ยง!
ท้ายที่สุด มือของซูอี้ก็ขยี้ร่างของมังกรเฒ่าเป็นผุยผงไป
จากนั้นเขาก็เก็บเกล็ด หนังและเอ็นมังกรอันเป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์หายากในโลกหล้าไป
และซูอี้ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าในหมู่ซากที่เหลือของมังกรเฒ่ายังมีผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์อยู่เป็นพัน ๆ ชิ้น!
ของพวกนี้คือสมบัติหายากที่เปี่ยมไปด้วยพลังมิติ!
ไม่กี่ชิ้นก็มีค่ามหาศาล
ทว่ายามนี้ สมบัติเหล่านี้กลับกองเป็นภูเขาเลากา!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดไส้เดือนเฒ่านี่จึงสะสมผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์เสียมากมายเพียงนี้?”
ซูอี้อดถามไม่ได้