บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1249: มิฟังคำแนะนำ?
ตอนที่ 1249: มิฟังคำแนะนำ?
“มังกรเฒ่าบอกว่าผู้ที่สั่งเขาทำเช่นนี้คือนักซ่อนกล เพื่อช่วยให้เขาหลุดออกมาจากเมืองสวรรค์เทพมายาได้ขอรับ”
เถ้าแก่เฒ่าตอบกลับ
“อย่างนี้เอง”
ซูอี้จำได้ว่าเขาในฐานะทัศนาจารย์เคยสำรวจพบทางเข้าเมืองสวรรค์เทพมายาอยู่
ทว่าที่ทางเข้านั้นกลับเต็มไปด้วยคลื่นพลังมิติเวลาอันร้ายกาจซึ่งสามารถบดขยี้ร่างราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้ง่าย ๆ ทุกเมื่อ!
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงหยุด ไม่อาจเข้าไปสำรวจโฉมที่แท้จริงของเมืองสวรรค์เทพมายาได้
ทว่ายามนี้ เขาพลันเข้าใจ
ผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ที่มังกรเฒ่าสะสม เห็นได้ชัดว่าเพื่อสร้างทางผ่านมิติไปยังนักซ่อนกลซึ่งติดอยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายา!
“ยังเป็นไปได้ด้วยว่า ทางเข้าแปรเปลี่ยนไปแล้วจากสิ่งที่ข้าเห็นในคราแรก…”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
ยามนี้ ไม่รู้ว่ากาลเวลาเปลี่ยนผันนานเพียงไรนับแต่ที่เขาแรกเยือนทางเข้าเมืองสวรรค์เทพมายา
เขาไม่แน่ใจว่าทางเข้านั้นจะยังคงเป็นเช่นเดิมหรือไม่
หลังพูดคุยสักพัก ซูอี้ก็ตัดสินใจทันทีว่าจะไปยังทางเข้าเมืองสวรรค์เทพมายาอีกครั้ง!
“ใต้เท้าซู มิได้นะขอรับ!”
เถ้าแก่เฒ่าพลันกระวนกระวาย “นักซ่อนกลผู้นั้นคาดว่าไม่ใช่คนของยุคสมัยนี้ และยังเป็นไปได้มากว่าจะเป็นทายาทแห่งเซียน กระทั่งนายข้าจวบจนยามนี้ก็ยังมิกลับมา หากท่านไป ก็มิอาจทราบได้ว่าต้องเผชิญอันตรายใดนะขอรับ”
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์เช่นลูกคิดเคลื่อนดาราเองก็ออกมาเอ่ยปากโน้มน้าว
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดใคร่รู้มิได้ “นายเจ้ามีระดับฝึกฝนเพียงไร?”
“เอ่อ…”
เถ้าแก่เฒ่าเกาหัวกล่าว “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้หารู้ไม่ขอรับ นายข้ากล่าวตลอดว่าจวบกาลก่อนถึงปัจจุบัน นางยังมิได้พานพบคู่ต่อสู้ที่เอาชนะมิได้สักหน…”
ซูอี้แย้มยิ้ม “แล้วไฉนนางจึงไร้ข่าวคราวยามสู้กับนักซ่อนกลเล่า?”
เถ้าแก่เฒ่าพลันกล่าวอย่างละอาย “ครานี้…อาจเป็นข้อยกเว้นก็ได้ขอรับ”
ซูอี้นำกระเรียนกระดาษออกมาส่งให้เถ้าแก่เฒ่า “สิ่งนี้ให้เจ้าเก็บไว้ก่อน เผื่อข้าถูกขังไว้ในเมืองสวรรค์เทพมายา นายเจ้าจะได้มิต้องเป็นห่วงความเป็นความตาย”
“ใต้เท้าซูอยากไปจริง ๆ หรือขอรับ?”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวอย่างประหลาดใจ
“ข้ากับนายเจ้ารู้จักกัน เมื่อเห็นนางลำบาก ข้าหรือจะอยู่เฉยได้?”
ซูอี้กล่าว หันไปกล่าวกับเมิ่งฉางอวิ๋น “เจ้าอยู่รอข้ากลับมาที่นี่แหละ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่ง
เขาเข้าใจนิสัยของซูอี้ดี และยังรู้ด้วยว่าเรื่องเช่นนี้ เขามิอาจช่วยอันใดได้นอกจากมิสร้างความวุ่นวายให้กับซูอี้
“ใต้เท้าซูช้าก่อนขอรับ!”
เถ้าแก่เฒ่าหันไปที่ชั้นวางของ นำกล่องสำริดออกมาใบหนึ่ง
“ใต้เท้าซู ในกล่องสำริดนี้มีหยกชิ้นหนึ่งที่นายข้าทิ้งไว้ มันอาจช่วยท่านตรวจหาปราณนายข้าได้ขอรับ”
เถ้าแก่เฒ่าเปิดกล่องสำริดออก นำชิ้นหยกกลมเรืองประกายแดงออกมาส่งให้ซูอี้ด้วยสองมือ
ซูอี้รับมันมาดู อดรำพึงไม่ได้ “นายเจ้าช่างรวยเสียจริง ถึงกับใช้ ‘หยกวิญญาณเพลิงหงส์’ มาทำจี้หยกได้ หากเจ้าเฒ่าในขอบเขตราชันแห่งภูมิบางพวกมาเจอเจ้า เกรงว่าคงด่านางแหลกลาญที่ทำลายสมบัติเทียบสวรรค์เช่นนี้เสียเป็นแน่แท้”
หยกวิญญาณเพลิงหงส์เป็นวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพบได้ ทว่ามิอาจไขว่คว้าหา
เพียงเจือเข้าไปสักเล็กน้อยยามหล่อหลอมสมบัติ ก็สามารถสร้างสมบัติในขอบเขตราชันแห่งภูมิขั้นสูงสุดได้!
ทว่ายามนี้ หยกวิญญาณเพลิงหงส์ชิ้นเท่าฝ่ามือกลับถูกเจ้าของร้านจำนำนำมาทำเครื่องประดับเสียได้…
ขณะเดียวกัน ซูอี้ก็สัมผัสได้ว่าจี้หยกนี้มีปราณพิเศษเฉพาะ เย็นเยียบดุดันเยี่ยงมีดอยู่
มันคือปราณเฉพาะตัวเจ้าของร้านจำนำ
“หลังข้าไป อย่าได้เปิดร้านอีก”
ซูอี้เคาะระฆังสยบใจเบา ๆ
“อือ!”
ระฆังสยบใจตอบรับทันที
ซูอี้แย้มยิ้ม ไพล่มือไว้เบื้องหลัง แล้วเดินออกไปนอกร้านจำนำ
เมื่อเขาจากไป เถ้าแก่เฒ่าก็ปิดประตูร้านจำนำ
ความพิเศษของร้านจำนำนี้คือ จะไม่มีผู้ใดหาร้านจำนำเจอหากไร้เสียงระฆังสยบใจ
ต่อให้อยู่ใกล้ก็เหมือนเงาสะท้อนในกระจก มิอาจเข้ามาหาได้
ม่านหมอกหนาทึบ
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด
นี่คือถิ่นของมังกรเฒ่า เป็นดั่งเขตหวงห้าม
“ไอ้#! เขา…รอดกลับมาหรือ!?”
ไกลออกไปในม่านหมอก ชายหัวล้านซึ่งแปรร่างจากปีศาจวิหคเขียวเบิกตากว้าง กรามแทบร่วงจากความตกใจ
เมื่อสองเค่อก่อน เขาเห็นกับตาว่าเจ้าอบายหลิ่วเซียง ปีศาจเฒ่าสามตาและฮูหยินกุหลาบป่าต่างเรียงกันเข้าไปในร้านจำนำ
เขายังได้เห็นสองผู้ฝึกตนเดินตามเข้าไปอย่างไม่รู้ความเป็นความตาย
เดิมที ปีศาจวิหคเขียวคิดว่าผู้ฝึกตนทั้งสองต้องตายเป็นแน่
ทว่ายามนี้ ชายชุดเขียวกลับเดินออกมาก่อน!
ทั้งยังไร้รอยขีดข่วน!
“ฮูหยินกุหลาบป่าชอบใช้โลหิตของผู้ฝึกตนมาบ่มสุราเป็นที่สุด มีหรือนางจะมิลงมือยามได้พบผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้?”
“แถมยังมีปีศาจเฒ่าสามตาซึ่งเกลียดผู้ฝึกตนยิ่งกว่าสิ่งใด และจะลงมือฆ่าทันทีที่เห็น ทว่าไฉนเล่าเขาจึงมิลงมือ?”
“ช่างผิดปกตินัก!”
ชายหัวล้านครุ่นคิดในใจ และพลันเห็นภาพอันนองเลือดปรากฏในจักษุ
นอกร้านจำนำ เดิมมีขบวนแห่ของปีศาจเฒ่าสามตาอยู่
เมื่อชายหนุ่มชุดเขียวเดินออกมาจากร้านจำนำ เขาก็โบกมืออย่างเรียบเฉย ทว่าผู้ฝึกตนปีศาจทั้งหมดในขบวนแห่นี้พลันสลายหายเป็นเถ้า!
“เจ้านั่นสังหารโหดสมุนของปีศาจเฒ่าสามตา!?”
ชายหัวล้านเหงื่อแตกพลั่ก
ผู้ฝึกตนมนุษย์ผู้นี้ร้ายกาจเกินไปอย่างเห็นได้ชัด!
ชายหันล้านหันหลังเผ่นหนี
เขามิกล้าอยู่ต่อ
“หยุด”
วาจาเลื่อนลอยดังขึ้นในหู แต่เป็นประหนึ่งสายตาฟาดลงให้หัวใจชายหัวล้านสั่นระรัว เขาหยุดลงกะทันหัน มิกล้าขยับตัวอีก
ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายหนุ่มชุดเขียวปรากฏอยู่ตรงหน้า
ซูอี้ออกคำสั่ง
ชายหัวล้านถอนหายใจโล่งอกทันที “การได้รับใช้เป็นพาหนะให้ใต้เท้า ผู้น้อยช่างตื้นตันนักขอรับ”
เขากล่าวพลางกลายร่างเป็นปีศาจวิหคเขียว “ใต้เท้าโปรดขึ้นมาเถิด!”
ซูอี้หรือจะเกรงใจเจ้าสัตว์ขนเรียบนี่ เขาเหยียบขึ้นหลังของมัน นำเก้าอี้หวายออกมาและนั่งลงอย่างสบายใจ
พรึ่บ!
ปีศาจวิหคเขียวพาร่างของซูอี้และเก้าอี้หวายทะยานสู่อากาศ
ระหว่างทาง ซูอี้ใช้ความทรงจำของเขานำทางปีศาจวิหคเขียว
และเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ปีศาจวิหคเขียวก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายจิตใจ มิประหม่าอีกต่อไป และกล่าวถามว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยขอถือวิสาสะถาม สัตว์ประหลาดเฒ่าก่อนหน้านี้ทั้งหลาย…”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเรียบเฉยก่อนที่อีกฝ่ายจะทันกล่าวจบ “ตายไปแล้ว”
ตายไปแล้ว!??
ปีกของปีศาจวิหคเขียวสั่นสะท้าน วิญญาณแทบทะยานออกจากร่างอย่างตกใจ
สามนายเหนือสูงสุดแห่งธารดาราพร่างอนธการ… ตายเกลี้ยงไปแล้วหรือ!?
ปีศาจวิหคเขียวหัวใจสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
นี่เขาแบกตัวตนน่าหวาดหวั่นใดไว้บนหลังกัน?
เพียงคิดเช่นนี้ ตลอดทางต่อมา ปีศาจวิหคเขียวก็ดูเชื่อฟังมากขึ้นทุกขณะ
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วจุดธูป
เปรี้ยง!
ไกลออกไปพลันเกิดเสียงคำรามเลื่อนลั่น
ตาเปล่าก็เห็นได้ว่า ณ ฟ้าดินไกลออกไปเปิดกระแสแสงพรั่งพรูลงจากท้องนภา เจิดจ้าพริ้วพรายเยี่ยงน้ำตก
นั่นคืออำนาจแห่งมิติเวลา ยิ่งใหญ่กว้างขวาง นภาแดนดินบิดเบี้ยว แผ่ปราณทำลายล้างน่าสะพรึงกลัว
เพียงมองจากไกล ๆ ปีศาจวิหคเขียวก็รู้สึกครั่นคร้าม ที่แห่งนั้นมันบ้าอันใดกัน!?
เขาสัญจรไปมาในธารดาราพร่างอนธการนี้นานแสนนาน ทว่ากลับเป็นหนแรกที่เขาได้เห็นสถานที่น่าสะพรึงกลัวเพียงนี้
“เอาล่ะ ไปที่นั่นกัน”
ซูอี้เก็บเก้าอี้หวาย ร่างของเขาทะยานสู่อากาศ
“ใต้เท้า ขอผู้น้อยไปได้หรือไม่ขอรับ?”
ปีศาจวิหคเขียวรวบรวมความกล้าถาม
“ไปเถอะ”
ซูอี้โบกมือโดยมิหันมอง
ฟิ้ว!
ปีศาจวิหคเขียวหันหลังเผ่นตะบึง กระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง หายวับไปในพริบตา
เห็นได้ชัดว่ากลัว
“ต่างจากสิ่งที่ข้าเห็นในคราแรกจริง ๆ”
ไม่นานนัก ซูอี้ก็มายังโลกหล้าอันมิติเวลาบิดเบี้ยวเชี่ยวกราก สองมือไพล่หลัง ยืนมองจากไกล ๆ
เปรี้ยง!
คลื่นพลังมิติเวลาอันเชี่ยวกรากดุจคลื่นสมุทรกว้างใหญ่ปั่นป่วนบิดเบี้ยวทั่วโลกา สร้างเป็นภาพบิดเบือนราวฉากอวสาน
พอจะเห็นได้ลาง ๆ ว่าลึกเข้าไปในคลื่นมิติเวลานี้มีประตูบานหนึ่งลอยตะคุ่ม ดูคลุมเครือและเลือนรางยิ่ง
นั่นคือทางเข้าธารดาราพร่างอนธการ!
สิ่งที่ต่างจากก่อนหน้านี้คือกระแสมิติเวลายามนี้อ่อนแอลงมาก ห่างไกลเกินเทียบได้กับกาลก่อน
แรกเริ่มเดิมที แม้เขาจะยืนอยู่ห่างออกไปแสนไกล แต่เขาในขณะที่เป็นทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมก็ยังสัมผัสได้ถึงภัยร้ายถึงชีวิตปะทะหน้า มิกล้าก้าวเฉียดเข้าไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป ไม่เพียงพลังของคลื่นมิติเวลาอ่อนแอลงมาก แต่กระทั่งทางเข้าธารดาราพร่างอนธการยังเด่นชัดขึ้นมา!
“มิน่าเล่า นักซ่อนกลจึงสั่งให้มังกรเฒ่าสะสมผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ไว้ ทางเข้าของเมืองสวรรค์เทพมายาจะเชื่อมต่อกับธารดาราพร่างอนธการนี้ในไม่ช้าก็เร็ว และเป็นโอกาสที่นักซ่อนกลจะหลุดรอดมาได้”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
ขณะครุ่นคิด เขาก็ก้าวไปเบื้องหน้า
ผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ในมือของเขาแผดเผาหายไปชิ้นแล้วชิ้นเล่า พลังมิติระเบิดออกเยี่ยงเพลิงทิพย์อาบไล้รอบกายซูอี้
อำนาจมิติดุจปาฏิหาริย์นี้เข้าขัดขวางภยันตรายจากพลังอันคุกรุ่นของมิติเวลาส่วนใหญ่ไปได้
“พ่อหนุ่ม ด้วยการฝึกฝนของเจ้า หากบุกเข้าไปที่นั่นคงมิแคล้วลำบากแน่ หยุดที่นี่เถอะ”
ทันใดนั้น เสียงอันเก่าแก่ซับซ้อนก็ดังขึ้น
ซูอี้พลันชะงักและหันไปมองมิห่างออกไปนัก
พบว่ามีชายร่างผอมสวมผ้าคลุมไหล่นั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนปฐพีเละเทะซึ่งถูกคลื่นพลังมิติเวลากวาดถล่ม
คลื่นพลังมิติเวลาปั่นป่วนอาละวาด นานๆ ครั้งจะมีอำนาจมิติเวลาฟาดลงใส่ชายร่างผอม ทำให้ร่างของเขาปริแตก เลือดเนื้อไหม้เกรียมปริแตก
ทว่าเขากลับมิขยับกาย นั่งอยู่เช่นนั้นเยี่ยงศิลา ให้ความรู้สึกไม่อาจเคลื่อนขยับ
ภาพเช่นนี้ก็น่าตระหนกเป็นพิเศษ
“ยืมพลังกระแสมิติเวลามาขัดเกลาร่างเนื้อและมหาวิถี คนผู้นี้… เด็ดเดี่ยวพอ!”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย อดประหลาดใจมิได้
เขามองปราดแรกก็เห็นว่าชายร่างผอมผู้นั่งอยู่เฉย ๆ นี้มีการฝึกฝนเพียงขั้นปลายขอบเขตคืนสู่สามัญ
ทว่าเจตจำนงและปราณของคนผู้นี้น่ากลัวยิ่ง
แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดบางคนเสียอีก!
เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแน่แท้!
ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในสิบภูมิดาราสูงสุดก็ยังเป็นราชันแห่งภูมิชั้นหนึ่ง มีความกล้าระดับโลกา!
ซูอี้แย้มยิ้ม พยักหน้าน้อย ๆ ทันที “ขอบคุณสำหรับคำเตือน”
เขาเบือนสายตาออกไปและก้าวสู่เบื้องหน้า
ไกลออกไป ชายร่างผอมขมวดคิ้ว ไม่ฟังคำแนะนำหรือ?