บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 125 ตะวันแย้มดอกไม้ ผู้คนไม่ใช่เยาว์วัย
ที่ประตูใหญ่ลานฝึกฝน
ร่างชายวัยกลางคนผอมบางในชุดนักพรตสีเทาก้าวเดินเข้ามา
ที่แผ่นหลังปรากฏฝักดาบไม้สน
ร่างนั้นค่อนข้างเตี้ย รูปลักษณ์ค่อนข้างธรรมดา
กระนั้นยามพบเห็นเขาปรากฏตัว ไม่ทราบว่าผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่นี้กี่คนต้องลุกขึ้นยืน
รุ่นเยาว์ทั้งหลายยังต้องเผยความยำเกรงอันเปี่ยมล้น
มู่ชางถู!
ผู้นำแห่งสำนักดาบชิงเหอ
ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่คือ ‘หนึ่งดาบลำน้ำขจีบดขยี้ครึ่งเมือง’!
ตามข่าวลือ ดาบของเขาคมกล้า สามารถผ่าซึ่งกระแสน้ำ ผ่ามิติเร้นลับประหนึ่งเสื้อผ้า!
ด้านหลังมู่ชางถู ประกอบด้วยกลุ่มผู้อาวุโสของสำนักสำนักดาบชิงเหอ ทว่าโจวฮวายชิวไม่ได้ร่วมทางมาด้วย
เห็นได้ชัด ว่าหลังพ่ายแพ้ซูอี้เมื่อคืน เขาก็ไม่มีหน้ากล้าปรากฏตัว
พบเห็นมู่ชางถูปรากฏตัว ฉินเหวินเยวียนจึงเกิดโล่งใจ
แม้ว่าตัวเขาจะมีแผนจัดการซูอี้แล้ว แต่มันจะดีกว่าหากยกให้ผู้อื่นจัดการ
“พี่มู่ ขอเชิญทางด้านนี้!”
ฉินเหวินเยวียนเผยยิ้มพร้อมลุกขึ้นทักทาย
“ไม่จำเป็น” มู่ชางถูปฏิเสธด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย
นับตั้งแต่ก้าวเดินเข้าสู่ลานฝึกฝน ตัวเขาเมินเฉยต่อผู้อื่น ประหนึ่งหยาบคาย ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำใด
เพราะในสายตาผู้คนส่วนใหญ่ มู่ชางถูนั้นมีคุณสมบัติมากพอที่จะมั่นใจกระทำเช่นนี้
สายตามู่ชางถูมองไปยังซูอี้ คิ้วนั้นขมวดเป็นปมพร้อมกล่าวคำ
“ครั้งที่เจ้าสูญเสียการบ่มเพาะ ข้านึกว่าชีวิตนี้เจ้าคงไร้โอกาสได้หวนคืนสู่การบ่มเพาะ ไม่นึกว่าผ่านไปเพียงหนึ่งปี ตัวเจ้ากลับเอาชนะโจวฮวายชิวด้วยหนึ่งดาบ ช่างทำข้าประหลาดใจนัก”
ด้านหลัง คณะผู้อาวุโสสำนักดาบชิงเหอต่างเผยสีหน้าอันซับซ้อน
มีหรือพวกเขาจะไม่รู้จักอดีตหัวหน้าศิษย์สายนอกผู้นี้?
ไม่มีใครในพวกเขา คาดคิดว่าหนึ่งปีผ่านพ้น จะได้พบพานอีกฝ่ายในสภาพเช่นตอนนี้
ซูอี้กล่าวคำเฉยชา “เจ้าสำนักมาด้วยตนเองเพื่อกล่าวรำลึก หรือมาเพื่อสะสางเรื่องราว?”
มู่ชางถูถอนหายใจกล่าวคำเบา “เจ้าสังหารเจ็ดคนไปนั้นเพราะมีเหตุผล เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่เจ้าและข้ามีตำแหน่งที่แตกต่างกัน ข้าคือเจ้าสำนักแห่งสำนักดาบชิงเหอ ดังนั้นจึงไม่อาจเมินเฉยต่อเรื่องราว เจ้าคงเข้าใจกระมัง?”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “เป็นเช่นนั้น”
มู่ชางถูจับจ้องซูอี้ชั่วครู่ สีหน้าอับซับซ้อนปรากฏขึ้น
แต่ไม่ช้า เขาก็ส่ายศีรษะ สีหน้ายังคงสงบกล่าวถ้อยคำ “ผู้บ่มเพาะจนถึงระดับเช่นข้า ขอบเขตหลอมกำเนิดต้องขัดเกลาตำหนักภายในทั้งห้าจนสมบูรณ์ มันคือหนทางท้าทายสวรรค์ เพื่อหลุดพ้นขีดจำกัด ข้าได้ตระหนักเรื่องราว ว่าหากยึดติดกับทางโลกจนเกินไป ชีวิตนี้คงไม่อาจก้าวถึงการเป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์”
“หลังลงมือครั้งนี้ ข้าจะก้าวลงจากตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักดาบชิงเหอ มุ่งเน้นการบ่มเพาะตนเอง และขอไม่ข้องแวะเรื่องราวใดทางโลกอีก!”
หลังสิ้นคำกล่าว ฝูงชนที่รับชมเกิดแตกตื่น
หาได้มีผู้ใดคาดคิด ว่ามู่ชางถูจะประกาศเรื่องใหญ่เช่นนี้เสียที่นี่!
ซูอี้ยังอดไม่ได้ที่จะเกิดประหลาดใจ
ในห้วงการรับรู้ ตัวเขาตระหนักได้ชัดเจนผ่านร่างเตี้ยของมู่ชางถู มันปรากฏปราณวิญญาณและโลหิตที่ไหลเวียนประหนึ่งมหาสมุทร เป็นเสมือนคลื่นน้ำใหญ่
ผู้มีอำนาจเหนือสำนักดาบชิงเหอผู้นี้ ไม่ว่ากายเนื้อ จิต และพละกำลังภายใน ล้วนแล้วแต่ขัดเกลาถึงจุดสูงสุด เกินกว่าปกติที่ควรเป็น
ต่อให้ขณะนี้อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ ในแต่มุมมองของซูอี้ รากฐานการบ่มเพาะของอีกฝ่ายสามารถทัดเทียมได้กับเหล่าบรรพจารย์ยุทธ์ขั้นต้นด้วยซ้ำ!
“ไม่นึกว่า… ในมหานครอวิ๋นเหอมีตัวตนอันคู่ควรเช่นนี้ด้วย”
ซูอี้ลอบพึมพำกับตนเอง “โชคร้าย แม้จะแข็งแกร่งเกินขอบเขตหลอมกำเนิดได้เช่นนี้ แต่ด้วยอายุที่เกินเลย ความสำเร็จในอนาคตมีแต่จะถูกกำหนดขีดจำกัดเอาไว้”
“พวกเจ้าถอยไป เว้นที่ให้ข้าและซูอี้” มู่ชางถูกล่าวคำ
ผู้อื่นจากสำนักดาบชิงเหอข้างกาย ต่างถอยไปยืนด้านข้าง
ฉินเหวินเยวียนเกิดดวงตาทอประกาย รอยยิ้มปรากฏที่มุมปาก
มู่ชางถูที่เขารู้จัก คือผู้เที่ยงธรรมอันเดียวดาย เป็นมนุษย์ที่เปรียบดังดาบ!
ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนที่นี้ต่างตื่นเต้น ทั้งยังคาดหวัง
ในห้วงความประทับใจของพวกเขา มู่ชางถูไม่ได้ลงมือมานานหลายปีแล้ว
หาได้มีผู้ใดทราบ ว่าปรมาจารย์ ‘ดาบขยี้ครึ่งเมือง’ นั้นขณะนี้แข็งแกร่งเพียงใด
หยวนอู่ทงเผยประกายในดวงตา ใจขณะนี้เกิดรู้สึกบีบรัด
แม้เขาจะทราบว่า ซูอี้เคยสังหารปรมาจารย์ด้วยดาบเดียว ทว่าตัวเขายังไม่ได้พบเห็นกับตา และมู่ชางถูนั้นก็เป็นตัวตนที่ไกลห่างจากปรมาจารย์ทั่วไป จึงไม่แปลกหากเขาจะเกิดร้อนใจขึ้นมา
จางจือเหยียนถอนหายใจ “คนหนุ่มที่ดี แต่กลับต้องตายที่นี่ เป็นเรื่องอันไม่น่ารับชมยิ่งนัก”
จางเยวี่ยนซิงเผยท่าทีแปลกไป ถ้อยคำกล่าวกระซิบ “ได้ตกตายด้วยมือของเจ้าสำนักดาบชิงเหอ มากพอให้เขายิ้มยามดับสิ้นแล้ว”
ชั่วขณะนี้เอง รอบด้านลานฝึกฝนเกิดการพูดคุยกันขึ้นมา
“ไม่ว่าเขาแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่มีทางเทียบเปรียบปรมาจารย์ได้!”
บางคนกล่าวออกอย่างมั่นใจ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
ไม่มีผู้ใดเข้าข้างซูอี้เลย
แม้การเอาชนะโจวฮวายชิวด้วยหนึ่งดาบเมื่อคืนนี้ จะเป็นเรื่องราวอันน่าทึ่งล้นเหลือ
แต่ต้องทราบว่ายามนี้ ซูอี้กำลังเผชิญหน้ากับยอดปรมาจารย์!
หยวนลั่วซี และหวงเฉียนจวินต่างเผยอาการอันสงบ ทว่าภายในอดไม่ได้ที่จะหวาดหวั่น
มู่ชางถูนั้นมีฝีมือไกลห่างเกินกว่าปรมาจารย์ทั่วไปจะเทียบเปรียบ!
“ตะวันแย้มบุปผา ผู้คนไม่ใช่เยาว์วัย เจ้ากระทำเช่นนี้ ก็ต้องเผชิญชะตาเดียวกับศิษย์สำนักดาบชิงเหอที่ตกตายด้วยมือเจ้า”
ในพื้นที่เปิดใจกลางลานฝึกฝน มู่ชางถูเผยอาการอันสงบ “วันนี้ข้าลงมือ ไม่ว่าผิดหรือถูก ล้วนไม่มีความเสียใจ มีเพียงชนะหรือพ่ายแพ้ เพียงเจ้า… อย่าได้กล่าวโทษที่ข้าโหดเหี้ยม”
ซูอี้ยิ้มบางกล่าวตอบคำ “ลงมือได้แล้ว อย่าได้เสียเวลา”
“ดี”
มู่ชางถูหยุดการกล่าววาจาอื่นใด
ดวงตานั้นเย็นเยือกประหนึ่งก้อนโลหะ มือขวายกขึ้น
จากนั้นจึงสับสันมือลงรุนแรงราวกับสับดาบ เสียงมือสะบัดราวกับฟ้าคำราม!
สะบั้น!
ท่ามกลางบรรยากาศกดดันได้ปรากฏเสียงสายลมหวีดร้อง
ปราณดาบอันไร้เทียบเปรียบเคลื่อนออกจากสันมือมู่ชางถู มันมุ่งผ่านความว่างเปล่านับสิบจั้งในพริบตา และสับฟันเข้าหายังซูอี้ด้วยเสียงร่ำร้องของอากาศที่ถูกตัดผ่าน
ปราณดาบตัดอากาศ ทรงอำนาจมากพอทำผู้คนล้มตาย!
มันคือพลังอันเลิศล้ำที่มีเพียงปรมาจารย์จึงกระทำได้
ทั้งลานฝึกฝน พื้นถูกปูด้วยแผ่นหินสีคราม มันแข็งเปรียบดังเหล็กกล้า แต่ยามปราณดาบของมู่ชางถูเคลื่อนผ่าน มันกลับปรากฏร่องรอยขีดข่วนบนแผ่นหิน พัดพาเศษหินกระเด็นกระจาย
อำนาจอันน่าระทึกปรากฏเข้าหาซูอี้อย่างมาดร้าย หากเป็นผู้บ่มเพาะธรรมดา ก่อนปราณดาบจะเข้าถึงตัว พวกเขาคงแตกตื่นเพราะเจตนาแห่งดาบที่พุ่งเข้ามา
นั่นคือความน่าสะพรึงของปรมาจารย์
“ทลาย!”
ซูอี้ร้องคำรามก่อนเหวี่ยงหนึ่งหมัด
พลังภายในอันแข็งแกร่งโครจรผ่านหมัด แปรเปลี่ยนหมัดธรรมดากลายเป็นการโจมตีน่าสะพรึง สะกดข่มปราณดาบจนสั่นสะเทือนแม้ยังไม่ปะทะ
เมื่อครั้งซูอี้อยู่ในขอบเขตโคจรโลหิต เขาสามารถปลิดชีพปรมาจารย์วิถียุทธ์ได้ภายในหนึ่งดาบ แต่ขณะนี้เขาก้าวข้ามมาอยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ อำนาจอิทธิฤทธิ์จึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมนับสิบเท่า
ผสานเข้ากับความรู้การบ่มเพาะในชีวิตก่อน แม้ปล่อยหมัดเรียบง่าย ราวกับเป็นธรรมชาติ แต่อำนาจของมันกลับถาโถมราวกับคลื่นสมุทรคลั่ง ผู้ใดหาญกล้าต่อกรคงมิอาจรอด
ตู้ม!
ปราณดาบและปราณหมัดปะทะต่อกัน
ที่ใจกลางลานฝึกฝน เสียงกัมปนาทเลือนลั่น คลื่นปะทะมหึมากระจัดกระจายทั่วทิศทาง สะบั้นขุดเอาแผ่นหินสีครามปูพื้นปลิวว่อนราวกับขนนก
ขณะเดียวกัน ทุกคนในพื้นที่ต่างเกิดรู้สึกชัดเจน ทั้งลานฝึกฝนสั่นสะเทือนรุนแรง
แรงปะทะนี้ราวกับสองขุนเขายักษ์ปะทะต่อกัน จนแผ่นดินพังทลาย!
สายลมรุนแรงพัดพากระจัดกระจาย ร่างซูอี้ยังคงไร้การไหวติง ไร้ร่องรอยขีดข่วน มีเพียงชุดคลุมที่พลิ้วสะบัดกับสายลม อื่นใดล้วนยืนตรงตั้งตระหง่าน
ความเงียบงันบังเกิด
ทุกคนที่นี่ต่างกายแข็งค้าง
ฉินเหวินเยวียนเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน ใจนั้นสั่นเทา
ต้านรับไว้ได้!
“นี่มัน…”
จางจือเหยียนลุกพรวดขึ้นยืนตรง สายตาแตกตื่นปรากฏบนใบหน้าที่มักเปื้อนยิ้ม นัยน์ตาทอประกายสั่นไหว
หยวนอู่ทงดูผ่อนคลายกว่าใคร ทว่าขณะเดียวกัน เขาก็นึกทึ่งในใจเช่นกัน
แม้ว่าที่นี่จะประกอบด้วยผู้ยิ่งใหญ่หลากหลาย แต่ปรมาจารย์นั้นมีเพียงสี่
ประกอบด้วยฉินเหวินเยวียน จางจือเหยียน หยวนอู่ทง และมู่ชางถู
ด้วยเหตุนี้ จึงมีเพียงพวกเขาสามคนที่ทราบดี ถึงพลังอำนาจโจมตีมู่ชางถูครั้งนี้ว่า ยิ่งใหญ่มากพอที่จะสังหารขอบเขตรวบรวมลมปราณได้โดยง่ายดาย
กระนั้นเวลานี้ การโจมตีนั้นกลับคลี่คลายด้วยหมัดของซูอี้!
ผู้ใดบ้างจะเชื่อสายตา?
เหล่าคนรุ่นเยาว์ส่งเสียงฮือฮาในทันใด สีหน้าพวกเขาแข็งค้าง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่พบเห็น
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสสำนักดาบชิงเหอ ต่างเผยอาการแปรเปลี่ยนทันทีทันใด หรือเจ้าสำนักของพวกเขายับยั้งกำลังออมมือไว้หรือ?
ยามนี้ผู้คนที่รับชมต่างสั่นคลอน
“เจ้ารอดพ้นการโจมตีนี้ทั้งที่อยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น ไม่แปลกใจที่เอาชนะโจวฮวายชิวด้วยหนึ่งดาบเมื่อคืน น่าทึ่งนัก!”
ดวงตามู่ชางถูเกิดประกาย ถ้อยคำกล่าวชมโดยไม่ลังเล และไม่คิดปิดบังความประหลาดใจ
พลังภายในของเขาฝึกฝนยาวนานนับสิบปี และผ่านช่วงเวลาแห่งการขัดเกลา จนถึงจุดที่แข็งแกร่งเกินใดเทียบเปรียบ จนแทบจะกลายเป็นแก่นแท้
แม้การโจมตีของเขาเมื่อครู่จะดูเรียบง่าย แต่หากเป็นปรมาจารย์ผู้อื่น คงไม่มีทางต้านรับอย่างสบายเช่นซูอี้
ซูอี้เพียงต่อยหมัดเรียบง่าย สลายมันโดยไม่ยากเย็น!
ซึ่งเปรียบได้ดังกับปาฏิหาริย์
พบเห็นซูอี้แกร่งกล้าเช่นนี้ทำให้เขาครุ่นคิด ถ้อยคำกล่าวออก “เมื่อครู่เจ้าสมควรยับยั้งพละกำลังตนเองไว้ครึ่งหนึ่ง ขณะที่เจ้าไม่ใช้ปราณดาบ แต่ข้ากลับใช้ปราณดาบงั้นหรือ?”
กลุ่มคนชะงักงัน เมื่อครู่นี้ซูอี้ออมมืองั้นหรือ!?
นัยน์ตามู่ชางถูทอประกายดาบคมกล้า ถ้อยคำกล่าวออก “เช่นนั้นให้ข้าทดลอง ว่าเจ้าจะยับยั้งพลังได้สักเพียงใด!”
ฟั่บ!
มู่ชางถูสับสันมือยังด้านหน้าราวสับดาบอีกครั้ง ปราณดาบตัดอากาศรุนแรง
ครั้งนี้ รัศมีดาบเปล่งประกายเจิดจ้าสูงเสียดฟ้า ซึ่งแตกต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ประหนึ่งสายรุ้งยาวที่คิดพุ่งทะลวงถึงดวงตะวัน!
มันคือพลังแท้จริงที่มู่ชางถูครอบครอง
ตัวเขามั่นใจ ว่าแม้เป็นมือเปล่า พลังนี้ของตนเองก็สามารถผ่าแยกกระแสน้ำได้!
รวมกับเจตจำนงแห่งดาบอันชวนสะพรึงสะกดข่ม มันราวกับฟ้าร่วงหล่น อากาศรอบด้านลานฝึกฝนได้ถูกฉีกกระชากประหนึ่งผืนผ้า พร้อมปรากฏเสียงร้องกรีดผ่านอากาศและระเบิดอย่างต่อเนื่อง
เพื่อตอบสนอง ซูอี้จึงยกนิ้ว และชี้ไปยังปราณดาบที่โถมเข้าหา ก่อนจะตวัดนิ้วเล็กน้อยหนึ่งครา
เพลงดาบสุดปรีดี กระบวนท่าดาบดึงดารา!
เขายังไม่ใช่ปรมาจารย์ ดังนั้นจึงไม่อาจปลดปล่อยพลังแท้จริงเพื่อสังหารผู้คนที่อยู่ไกลห่าง แต่อำนาจที่เขามีอยู่ขณะนี้ก็เพียงพอแล้วกับการใช้นิ้วเผยท่าดาบ ทิ่มแทงออกต้านปราณดาบจากมู่ชางถู!
ตู้ม!
เสียงปะทะดังขึ้นอีกครั้ง มู่ชางถูเบิกตากว้างราวไม่นึกเชื่อ
เพียงตวัดนิ้วเรียบง่าย ซูอี้ถึงขนาดผ่าแยกปราณดาบของเขาออกเป็นสองส่วน!
เพียงหนึ่งการลงมือ มันงดงามเกินเทียบเปรียบ
“การปลดปล่อยเจตจำนงดาบแท้จริงไม่ใช่เช่นนี้ ปราณดาบนี้หยาบกร้าน และมีแต่ข้อบกพร่อง” ซูอี้กล่าวคำเสียงเบา
แม้มู่ชางถูจะมีรากฐานยุทธ์ที่ดีเยี่ยมหากเทียบกับผู้บ่มเพาะในโลกนี้ กระนั้นวิถีดาบกลับยังไม่ถึงสู่ขอบเขตแห่งการเปลี่ยนแปลง
ในสายตาผู้อื่น ปราณดาบของมู่ชางถูดูเลิศล้ำ กระนั้นในสายตาซูอี้ มันคือการโจมตีที่มีแต่ข้อบกพร่องเต็มแน่น!
กลุ่มคนเงียบงันอีกครั้ง พวกเขากำลังแตกตื่น
หาได้มีผู้ใดคาดคิดไม่ ว่าซูอี้จะสามารถทำลายดาบที่สองของมู่ชางถูได้โดยง่ายดายเช่นเดิม!