บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1251: ทะเลครามสัญจร ภูเขาเผิงไหล
ตอนที่ 1251: ทะเลครามสัญจร ภูเขาเผิงไหล
………………..
ตอนที่ 1251: ทะเลครามสัญจร ภูเขาเผิงไหล
ทะเลครามกว้างใหญ่ คลื่นกระเพื่อมขึ้นลง
คลื่นลมกระทบหาด ชายฝั่งเต็มไปด้วยหินขรุขระ
ซูอี้ยืนบนหนึ่งโขดหิน สายตาจับจ้องไปไกล
นี่หรือคือเมืองสวรรค์เทพมายา?
เมืองอันหลงเหลือจากแดนสวรรค์ในคำร่ำลือ?
ซูอี้ตะลึงเล็กน้อย
นับแต่ก้าวสู่ทางเข้ามาจนถึงที่นี่ เขาก็รู้สึกราวดาราเคลื่อนท่ามกลางมิติและกาลเวลา
เพียงแรกทัศนา ทะเเเลครามนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ผืนนภาสูงส่ง มวลเมฆกระจายละล่อง ดูไม่เหมือนเมืองใด ๆ แต่เหมือนโลกเร้นลับเสียมากกว่า!
ซูอี้ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบ
ไม่นานนักเขาก็สัมผัสปราณจิตวิญญาณสายเล็ก ๆ ที่ปรากฏในอากาศได้
เพียงสายเล็ก ๆ สองสามสายก็เพียงพอขยี้ขุนเขา สร้างบรรยากาศมหาวิถีอันหนาแน่นยิ่งใหญ่ได้!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ประหลาดใจ
เขาเอื้อมือออกไปคว้า
สายปราณจิตวิญญาณทั่วฟ้าดินสายหนึ่งถูกลากมาละล่องเหนือปลายนิ้วของซูอี้
“หรือนี่จะเป็นปราณเซียน?”
ซูอี้แปลกใจเล็กน้อย
ปราณสายนี้มีคุณภาพราวอำพันกระจ่าง บรรจุอำนาจมหาวิถีพลุ่งพล่าน บริสุทธิ์และหนาแน่น
อำนาจของมันเหนือล้ำกว่าปราณในโลกหล้าห่างไกลนัก!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ถูกย้ำเตือนถึงตำนานบางเรื่อง
จากคำร่ำลือ ผู้ที่ทะยานสู่สวรรค์เถลิงเป็นเซียนสามารถไปฝึกฝนยังโลกแห่งเซียนได้ ดูดซับปราณวิญญาณเซียน สร้างกรรมวิถีเซียน หลอมรวมอสงไขยชั่วฟ้าดินสลาย
ยังมีคำร่ำลือด้วยว่าเซียนที่แท้จริงทั้งกายและวิญญาณ ถือกฎเกณฑ์วิถีเซียน แปรเปลี่ยนโลกกลับด้านได้เพียงหนึ่งคำนึง
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ในคำร่ำลือเหล่านั้น การเถลิงเป็นเซียนดูจะกลายเป็นขอบเขตอันแข็งแกร่งและสูงสุด
แน่นอนว่าข่าวลือเหล่านี้ส่วนใหญ่หาจริงไม่ มันห่างไกลเพ้อฝันมิอาจตรวจสอบได้
กระทั่งข่าวลือบางส่วนยังเป็นการเพ้อสร้างฝันลม ๆ แล้ง ๆ หามีความจริงไม่
ทว่าซูอี้นั้นแน่ใจว่าหากมีวิถีสร้างเซียนในโลก ก็ย่อมต้องมีเซียนอยู่
รากฐานแห่งวิถีเซียนอยู่ที่ ยามฝึกฝน สิ่งที่ดูดซับต้องเหนือล้ำกว่าพลังฟ้าดินของบุคคลทั่วไปมหาศาล
มันอาจจะเรียกได้ด้วยว่าเป็น ‘พลังแห่งวิถีเซียน’!
“หากนี่คือปราณในโลกเซียนที่แท้จริง มันก็อาจพิสูจน์ได้ว่าที่นี่อาจเป็นแดนสุขาวดีส่วนหนึ่งของแดนสวรรค์”
ซูอี้ครุ่นคำนึง
ตู้ม!
ฟ้าดินทั่วทศทิศ สายปราณมหาวิถีดูราวกับพิรุณแสงเซียนเคลื่อนคล้อยถูกลากเข้าหาร่างของซูอี้
ทันใดนั้น ร่างของซูอี้ก็สั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยน
หลังจากปราณมหาวิถีเหล่านั้นทะลักเข้าสู่ร่างของเขา มันก็เป็นดุจคลื่นยักษ์ประดังโถม หนักหน่วงยิ่งใหญ่ ทำให้ทั่วร่างเดือดพล่าน
ไม่ว่าจะเป็นผิวกาย เลือดเนื้อ เยื่อกระดูก เส้นชีพ จุดชีพจร อวัยวะภายใน…พวกมันล้วนถูกบำรุงยิ่งกว่าหนใด
และการฝึกฝนของเขาก็เดือดพล่านคำรามเยี่ยงกระแสวารีคลั่งโถมทั่วฟ้าดิน!
เพียงไม่ถึงสองเค่อ
ซูอี้ก็รู้สึกว่าการฝึกฝนของเขาเพิ่มพูน!
ปรากฏสัญญาณเลือนรางว่ามันกำลังจะเลื่อนสู่ขั้นกลางของเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
การแปรเปลี่ยนอย่างสะท้านแดนดินนี้ทำให้ซูอี้อดทึ่งมิได้
ทว่าช่างน่าเสียดาย ปราณมหาวิถีอันกระจัดกระจายทั่วบริเวณนี้เบาบางเกินไป และซูอี้ดูดซับพวกมันไปสิ้นแล้ว
ไม่นานนัก ซูอี้ก็ค้นพบสิ่งใหม่
หลังจากร่างของเขาถูกพลังมหาวิถีอันเหมือน ‘ปราณเซียน’ นี้เข้าขัดเกลา ปราณของเขาก็แปรไปอย่างพิเศษเฉพาะ
“นี่คือเทวลักษณ์ของวิถีเซียนหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
ตู้ม~
ไกลออกไปในทะเลครามพลันบังเกิดเสียงหนึ่งกึกก้อง
เต่าเฒ่าขนาดยักษ์ตัวหนึ่งว่ายแหวกคลื่นลมตรงมา กระดองของมันเทียบได้กับสนามเต๋าพันจั้ง ศีรษะใหญ่พอ ๆ กับบ้านหลังหนึ่ง
“สหายเต๋ามาที่นี่เพื่อเสาะแสวงวิถีเซียนหรือ?”
เต่าชรากล่างเสียงเข้มสะท้อนทั่วฟ้าดิน
เต่าชรากล่าว “นามของที่แห่งนี้คือทะเลครามสัญจน เหนือทะเลนี้มีร่องรอยเซียนอยู่ และยังมีแดนสุขาวดีแห่งวิถีเซียนอยู่ด้วย ผู้มีวาสนาเท่านั้นที่จะได้พานพบ”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เต่าชราก็กล่าวว่า “และตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ก็คือผู้นำสัญจรประจำทะเลครามสัญจรนี้ มีหน้าที่พาผู้ใดที่มาถึงที่นี่ได้เคลื่อนคล้อยสัญจร ขึ้นมาเร็วเข้า”
กล่าวจบ เต่าชราก็เคลื่อนร่างหันหลังไป
“อืม ข้าขอไปดูสักหน่อย”
ซูอี้แย้มยิ้ม ก้าวออกไป เคลื่อนกายลงบนหลังของเต่าชรา
ตู้ม!
เต่าชราว่ายสู่ส่วนลึกแห่งทะเลครามด้วยครีบขาเป็นโล้พาย
“สหายเต๋ามีชื่ออันใดหรือ?”
เต่าชราเอ่ยถาม
ซูอี้ขานชื่อของตน กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าในทะเลนี้มีร่องรอยแห่งเซียนอยู่ จะบอกว่า…เซียนเป็นผู้ทิ้งมันไว้จริง ๆ หรือ?”
เต่าชราตอบ “ย่อมเป็นเช่นนั้น ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้เกิดและโตในทะเลครามสัญจร ถูกสัมผัสโดยผู้อาวุโสเซียนแห่งตำหนักเซียนหกทิศจนบรรลุมีจิตวิญญาณหยั่งรู้ แต่นั้นมา ข้าก็กลายเป็นผู้นำสัญจรแก่ผู้แสวงหาวิถีเซียนเยี่ยงสหายน้อย”
ทะเลครามสัญจร ตำหนักเซียนหกทิศ?
ซูอี้ครุ่นคิด และกล่าวว่า “ทุกวันนี้ เซียนเหล่านั้นยังอยู่หรือไม่?”
เต่าชราส่ายหน้ารำพัน “เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เหล่าเซียนได้จากจร ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้หารู้ไม่ว่าพวกเขาไปหนใดกัน”
ทะเลครามสัญจรกว้างใหญ่ เต่าชราพาร่างซูอี้เคลื่อนสู่ส่วนลึก และจากการสนทนาตลอดทาง ไม่นานซูอี้ก็ค้นพบว่า
เจ้าเต่าชราผู้นี้ความทรงจำมีปัญหาอย่างร้ายแรง
เขาจำเรื่องมากมายไม่ได้เลย
กระทั่งหลังรับตัวผู้แสวงหาวิถีเซียนมาได้ จะไปหนใดต่อยังไม่แน่ชัด…
กระทั่งซากของตำหนักเซียนหกทิศอยู่หนใด อีกฝ่ายก็ยังจำไม่ได้เลย
หากไม่ใช่เพราะเต่าชราตัวนี้หาแสดงความมุ่งร้ายแต่ต้นจนจบไม่ ซูอี้ก็เกือบสงสัยแล้วว่าเจ้าสัตว์เฒ่านี่จะกำลังโกหกอยู่
“ข้าคิดว่าสถานที่อันทรงพลังที่สุดในทะเลนี้มีชื่อว่าเผิงไหลนะ!”
ทันใดนั้น เต่าชราก็ตะโกน “ใช่แล้ว ภูเขาเซียนเผิงไหล แต่ว่า…”
แล้วมันก็พูดคอตก “แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่าภูเขาเซียนเผิงไหลอยู่หนใด…”
“แล้วยามนี้ เจ้าจะพาข้าไปหนใดเล่า?”
ซูอี้ถาม
เต่าชราชะงัก พยายามครุ่นคิดหนัก
“ช่างเถอะ ไปตามสัญชาตญาณเป็นพอ”
ซูอี้นั่งขัดสมาธิบนกระดองเต่า
“เช่นนั้นก็ได้”
เต่าชราพยักหน้า
ด้วยกาลผันผ่าน ท้องนภาไกลออกไปพลันหม่นแสง เมฆาครึ้มพัดกระพือดุจหยดหมึกย้อมนภาสู่รัตติกาล
เหนือทะเลครามสัญจร คลื่นคลั่งโหมคำราม อสนีบาตแปลบปลาบ เดือดดาลปั่นป่วน
เต่าชรางุนงง “ตลอดมาแต่บรรพกาล ทะเลครามสัญจรนิ่งสงบอยู่เสมอ ต่อให้มีพายุก็จะถูกเหล่าเซียนเข้าสยบจึงไม่เกิดหายนะทางธรรมชาติใด ๆ ขึ้น ทว่ายามนี้ ไฉนจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้…”
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน รำพึงเบา ๆ “เจ้าไม่เข้าใจหรือ กาลเวลาเปลี่ยนไปแล้วน่ะสิ”
เต่าชรางุนงง “กาลเวลาเปลี่ยนไป? ขอบังอาจถามสหายน้อย คืนนี้อยู่ในปีใดกัน?”
ซูอี้กล่าวเสียงลุ่มลึก “ยากจะบอกเจ้าให้ชัดเจนได้ กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ทุกสิ่งในความทรงจำของเขาสลายหายไปท่ามกลางกาลเวลาแสนนานแล้วล่ะ”
“อนิจจา ข้านี่แก่แล้วจริง ๆ หลายหนนักที่ข้าสับสนฟั่นเฟือน ยากจะจำเรื่องในอดีตได้…”
เต่าชรารำพันอย่างเศร้าโศก
ซูอี้ไม่กล่าววาจาใด
ไกลออกไป ทะเลครามปั่นป่วนพลิกผัน อสนีบาตตะคุ่มฟาด และแว่วเสียงต่อสู้สะเทือนผืนฟ้ามาจากไกล ๆ
“ไปที่นั่นกันเถอะ”
ซูอี้ลุกขึ้น
“สหายน้อยกลัวจนมิกล้าเดินทางต่อหรือ?”
เต่าชราปลอบขวัญด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัวเลย ข้าคือผู้นำทาง ไม่ยอมให้เจ้าประสบอุบัติเหตุเป็นแน่แท้”
ซูอี้กล่าว “ข้าแน่ใจว่าเจ้าจะมิทำร้ายข้า ทว่า… นักซ่อนกลไม่ได้ดีเหมือนเจ้า”
เต่าชราชะงักนิ่ง “นักซ่อนกลหรือ?”
ตู้ม!
หนึ่งเสียงดาบคร่ำครวญ
ซูอี้ใช้มือดุจดาบ ฟาดฟันเข้าใส่ศีรษะขนาดเท่าบ้านของเต่าเฒ่า
พริบตาเดียว หัวของเต่าเฒ่าก็แยกออก
ร่างมโหฬารของมันแหลกสลาย
“สหายน้อย ไฉนจึงลงมือกับตาเฒ่าผู้นี้กัน!?”
เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังออกมา
เสี้ยววิญญาณของเต่าชราปรากฏขึ้นเหนือทะเลคราม
ใบหน้าของมันโกรธเกรี้ยวระคนงุนงง
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ และกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว เจ้าสิ้นใจไปแสนนาน และเหตุที่เจ้ายังพูดคุยกับข้ายามนี้ได้ก็เป็นเพราะเจ้าถูกหลอกใช้ ปลุกเสี้ยวเจตจำนงอันยึดติดในหน้าที่ของเจ้าขึ้นมาต่างหาก”
ดวงตาของเต่าเฒ่างุนงง “จริงหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า กล่าวขึ้น “ดูนะ”
กล่าวจบ เขาก็เคลื่อนร่างสู่อากาศ แขนเสื้อโบกสะบัด ปราณดาบทะลวงสวรรค์สายหนึ่งพลันรวมตัวกันบนฝ่ามือฟาดฟันลงมา
ตู้ม!!
หมู่เมฆา อสนีบาตและพายุไกลออกไป… ทุกสิ่งล้วนเหมือนฟองอากาศสลายหายด้วยดาบนี้
โลกทั้งใบสลายเปรี้ยงในบัดดล
ทัศนียภาพแปรเปลี่ยน
ปรากฏโลกหล้าอันแห้งแล้งเย็นชาขึ้นในจักษุ
ท้องนภามืดสนิท เหนือแดนดินมีซากปรักหักพังระเกะระกะทั่วไปหมด ไร้หญ้าแม้สักต้น พลังชีวิตเหือดหาย
บนอากาศมีปราณมรณะหนาแน่นจนมิอาจสลายหายด้วยกาลเวลา เป็นดั่งสถานที่รกร้าง!
ซากหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าซูอี้
มันคือเศษซากกระดองเต่าที่กระจัดกระจายไปหมดจนมองแทบไม่ออก
เสี้ยววิญญาณของเต่าชราแปรเปลี่ยนมาจากเศษกระดองเต่าชิ้นหนึ่ง
“นี่…”
ดวงตาของเต่าชราเบิกกว้าง ร่างสั่นรุนแรง “เฒ่าไร้ค่า… ผู้นี้… ตายไปแล้วจริง ๆ หรือ?”
น้ำเสียงของเต่าชราทั้งลังเลและไม่แน่ใจ
“เจ้าข้าพานพบดุจอดีตกาลจรดปัจจุบัน ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้รับการปลดปล่อยโดยแท้จริง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
จากนั้นเขาก็ขยับปลายนิ้ว เคล็ดพลังสุดวิถีสายหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ร่วงลงบนร่างของเต่าชรา
ในพริบตา ดวงตาของเต่าชราก็เบิกกว้างราวได้พบทางกลับบ้านอันปกคลุมด้วยบุปผาสุดวิถี ความสับสนลังเลในสีหน้ามลายหายไป
ในทางกลับกัน มันกลับมีความสงบเย็นโล่งใจ
“ขอบคุณสหายน้อย!”
เต่าชราไหวศีรษะ แล้ววิญญาณก็ค่อย ๆ เลือนสลาย
และซูอี้มองจ้องไปไกล
มีหุบเหวลึกอยู่หนึ่งแห่ง ลึกเข้าไปในนั้นปกคลุมด้วยหมอกหนา มีเสียงกรุ่นเกรี้ยวแห่งอสนีบาตคลั่งคำราม
แม้จะมองจากไกล ๆ ซูอี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงปราณอันตรายทิ่มแทง
ทะเลครามสัญจรและเต่าชราเมื่อครู่เป็นดั่งภาพลวงซึ่งถูกสร้างเลียนแบบมุมหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์
และก่อนหน้านี้ หากเขาไม่หยุดเต่าเฒ่ามิให้เคลื่อนที่ เขาก็คงถูกลากไปลงหุบเหวนั่นเป็นแน่แท้!
ผลที่ตามมาย่อมเกินคาดเดา
ตู้ม!
ทันใดนั้น รุ้งทิพย์สายหนึ่งก็ทะยานออกมาจากหุบเหวไกล ๆ แสงเซียนวูบไหวฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้อย่างรุนแรง
เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่ารุ้งทิพย์นั้นคือดาบผุ ๆ หัก ๆ เล่มหนึ่ง!
และเมื่อดาบหักเล่มนี้ทะยานออกมา อำนาจที่แสดงออกก็แข็งแกร่งเสียจนแทบแยกฟ้าดินที่นี่ได้
ดวงตาของซูอี้พลันแข็งค้าง
เถาวัลย์มารดาฟ้าดินปรากฏขึ้นในมือของเขาเงียบ ๆ และแปรเปลี่ยนเป็นโล่กลมสานขวางตรงหน้าเขา
เปรี้ยง!!!
เสียงดังลั่นสนั่นโลกา
ซูอี้และโล่กลมสานในมือของเขาถูกฟาดกระเด็นไปอย่างรุนแรง
ก่อนที่ซูอี้จะทันตั้งหลักได้ ดาบหักเล่มนี้ก็ฟาดฟันลงมาอีกครั้ง!