บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1252: หนึ่งย่างก้าว หนึ่งฟ้าดิน
ตอนที่ 1252: หนึ่งย่างก้าว หนึ่งฟ้าดิน
ดาบหักเล่มนั้นสึกหรอจนแทบเหมือนก้อนโลหะทองแดงผุ ๆ
ทว่ายามสำแดงอำนาจกลับทรงพลังอหังการเป็นที่ยิ่ง!
เหมือนเช่นการโจมตีครั้งก่อนอันเทียบอำนาจได้กับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด
เปรี้ยง!!
เสียงทึบ ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น
โล่สานกลมที่ซูอี้สร้างจากเถาวัลย์มารดาฟ้าดินถูกโจมตีอีกครั้ง สภาพของมันดูไม่ค่อยสมประกอบนัก
ทว่าดาบหักหาสนใจมันไม่ และโจมตีเข้ามาอีกครั้ง
“ฮึ!”
ดวงตาของซูอี้ฉายประกายเย็นเฉียบ
โล่กลมสานแปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีซึ่งถูกเขาควบคุมฟาดฟันออกไปพร้อมกับแสงสว่างโปรยปรายเจิดจรัส
เห็นได้ชัดว่าถูกบีบให้ต้องตอบโต้
ทว่าภายใต้อำนาจแห่งแสงกฎเกณฑ์พร่างพราย ดาบอันรวดเร็วเหลือเชื่อของซูอี้ก็ทะยานเข้าไปฟาดฟันใส่ดาบสั้นเล่มนั้น
เคร้ง!!!
ด้วยเสียงกัมปนาทชวนหูอื้อ ร่างของซูอี้ก็ซวนเซและถูกดีดกระเด็นไปอีกครั้ง
“อำนาจของดาบหักเล่มนี้… ดูจะสลักอำนาจวิถีเซียนเอาไว้…”
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย
โดยไม่รีรอให้เขาคิดมากไปกว่านั้น ดาบหักโจมตีเข้ามาอีกหน
เพียงไม่กี่อึดใจ มันก็ประดังเข้ามาโจมตีใส่ซูอี้จนถอยร่นติดต่อกันมากกว่าสิบหน และแต่ละครั้ง เลือดลมในร่างของซูอี้ก็แปรปรวนไม่รู้จบ
ทว่า ไม่นานนัก เมื่อซูอี้ใช้เคล็ดเวียนวัฏสงสารออกวิชาดาบ ภาพอันน่าตื่นตาพลันอุบัติ
มันโอดครวญดังลั่น ตัวดาบที่ผุพังอยู่แล้วพลันสลายหายไปในเวลาเพียงไม่กี่พริบตา
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หาได้อยู่ในคาดเดาของซูอี้ไม่
เคล็ดเวียนวัฏสงสารสามารถหยุดดาบซึ่งบรรจุพลังวิถีเซียนได้หรือ?
ตู้ม!
ลึกเข้าไปในหุบเหวที่อยู่ห่างออกไป เสียงตู้มต้ามดังขึ้นติด ๆ กันหลายเสียง
จากนั้น สมบัติสิบกว่าชิ้นก็พุ่งออกมา
มีทั้งตราประทับ แส้นักพรต แจกัน บาตรและอื่น ๆ
ปราณของพวกมันล้วนร้ายกาจ และอัดแน่นไปด้วยอำนาจเซียน ทว่าสมบัติเหล่านั้นล้วนเสื่อมสลายลง
เหมือนกับดาบหักเล่มเมื่อครู่
สมบัติเหล่านี้ล้วนเปล่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าโจมตีซูอี้ทันที
ทว่าซูอี้หาได้ตกที่นั่งลำบากเช่นคราแรกไม่ เขาใช้เคล็ดเวียนวัฏสงสารออกมาทันที นิมิตหกวิถีเวียนวัฏเคลื่อนคล้อยกระเพื่อมขึ้นลงบนดาบวิถีจากเถาวัลย์มารดาฟ้าดิน ส่งแสงเงาพร่างพรายราวภาพหลอน ลึกลับชวนใจหาย
สมบัติสิบกว่าชิ้นเหล่านั้นล้วนถูกสยบลงพร้อมกับเสียงโอดครวญสูงแหลม
เพียงพริบตา มันก็สลายหายไปภายใต้อำนาจวัฏสงสาร!
“อดีตกาลย่อมต้องจบ และต่อให้ตื่นขึ้นมาได้ก็เหลือเพียงเศษเสี้ยววูบไหวเหมือนเช่นฟองสบู่”
ซูอี้เข้าใจ
สมบัติที่ผุพังเหล่านี้น่าจะถูกคนบางผู้ใช้เคล็ดวิชาปลุกให้ตื่นเหมือนเช่นเต่าชรา มันจึงสำแดงอำนาจอันน่าตกใจเหล่านี้ออกมาได้
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพลังแห่งวัฏสงสาร เรื่องทั้งหมดนี้จะจบลง!
เพราะถึงอย่างไร กาลเวลาก็เปลี่ยนมันจนกลายเป็นซากวัตถุผุพังไปแล้ว!
“ใช้เคล็ดวิชาปลุกทุกสิ่งที่หลงเหลือในที่แห่งนี้เพื่อสร้างภาพในอดีตกาลขึ้นมาใหม่ นี่คือพลังของนักซ่อนกลหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิดไตร่ตรอง
แปรเท็จเป็นจริง ก่อให้เกิดซึ่งกันและกัน!
นายของมังกรเฒ่าผู้นั้นเป็นที่รู้จักในนามทายาทแห่งเซียน มีสายเลือดเซียนและบรรลุศาสตร์เซียน ทว่าเหตุใดเจ้าของร้านจำนำจึงเรียกเขาว่านักซ่อนกล?
คำตอบนั้นชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว พลังที่คนผู้นี้บรรลุสามารถปลุกพลังโบราณที่หลงเหลืออยู่ในเมืองสวรรค์เทพมายานี้ได้!
ไม่ว่าจะเป็นเต่าชราหรือสมบัติอันผุพังเหล่านี้ล้วนกลายเป็นอุปกรณ์ในมือนักซ่อนกล!
เมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาของซูอี้ก็กวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะกระโดดขึ้น และฟาดฟันดาบในมือออกไปทั่วทศทิศ
เปรี้ยง!
เคล็ดเวียนวัฏสงสารเป็นเช่นแสงอัสดง ปราณดาบทะยานโปรยปรายทั่วฟ้าดิน หกนิมิตสอดประสานราวกับจะหลอมรวมทั่วโลกหล้าเข้าเป็นหนึ่งเดียว
เพียงพริบตา โลกหล้าอันเย็นเฉียบแร้นแค้นก็แหลกสลายไปอีกครั้ง
และภาพตรงหน้าของซูอี้ก็แปรเปลี่ยนอีกหน
สิ่งที่เห็นในคลองจักษุคือวิหารโบราณอันใหญ่โตโอ่อ่าตั้งตระหง่านกลางเวหาเยี่ยงตำหนักเทพเซียน
และตรงหน้าวิหารดังกล่าวมีสนามเต๋าแห่งหนึ่ง
หมอกเมฆเซียนทอประกายอยู่ภายในสนามเต๋า
ณ ใจกลางมีแท่นโบราณตั้งอยู่แท่นหนึ่ง
และซูอี้ก็ยืนอยู่ไม่ห่างจากแท่นนั้นนัก
สายตาของซูอี้มองกวาดไปทั่วสนามเต๋า และอดตกตะลึงไม่ได้
สนามเต๋านี้มีความลับยิ่งใหญ่!
“เก้าตำหนัก แปดทิศ เจ็ดดารา หกสายธาร เบญจธาตุ จตุกุญชร ไตรพรสวรรค์ สองขั้วหนึ่งวิญญาณ… แปรเปลี่ยนพัวพันเก้าสิบเก้าชั้นไม่รู้จบ”
“ในสนามเต๋านี้ หากขยับแม้เพียงน้อย ก็จะเข้าสู่หนึ่งโลกาใหญ่หลวง!”
“หนึ่งย่างก้าวหนึ่งฟ้าดิน อย่างนี้นี่เอง”
ซูอี้เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นทะเลครามสัญจรที่เขาได้เห็นมาก่อน หรือโลกหล้าอันเสื่อมโทรมแร้นแค้นเมื่อครู่… ล้วนแปรเปลี่ยนมาจากพลังของสนามเต๋านี้!
หาใช่ภาพลวงไม่ แต่เป็นฟ้าดินอันแท้จริง
มีเพียงการฉีกกระชากมันออกมาเท่านั้นจึงจะหลบพ้นออกมาได้
“หนึ่งบุปผาหนึ่งโลกา หนึ่งใบไม้หนึ่งต้นโพธิ์ สนามเต๋านี้ดูจะมีขนาดเพียงไม่ถึงพันจั้ง แต่กลับบรรจุโลกเร้นลับไว้มากมายดุจภาพหลอนทับซ้อน ความจริงก่อเกิดจากภาพลวง ความจริงความเท็จ ผู้ที่สร้างสนามเต๋านี้ขึ้นมาเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านค่ายกลได้เลย”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
เขายืนนิ่งไม่ขยับ ขณะมองไปยังแท่นซึ่งอยู่มิไกลนัก
แท่นนั้นปกคลุมด้วยบรรยากาศการไหลของกาลเวลาอันเก่าแก่โบราณ ซึ่งโอบล้อมด้วยภาพสลักเช่นบุปผา สกุณา มัจฉา มวลแมลง และท้องนภาแดนดิน
เหนือแท่นมีประตูมิติเวลาหมุนวน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือประตูอันนำไปสู่โลกภายนอก เชื่อมต่อกับธารดาราพร่างอนธการ!
ซูอี้เข้าใจถ่องแท้
ยามนี้เขาพลันคิดอยากเข้าไปในโลกเร้นลับทั้งหมดบนสนามเต๋านี้เพื่อหาเบาะแสที่เกี่ยวเนื่องกับเซียน
ทว่าท้ายที่สุด ซูอี้ก็รามือ
หนนี้ เขามาเพื่อช่วยเจ้าของร้านจำนำ และต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน
ซูอี้เหลือบตามองไปไกล
วิหารโอฬารที่ดูเหมือนที่พำนักแห่งเทพเซียนนั้นโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งปกคลุมด้วยปราณเซียนเยี่ยงหมอก
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็ทำให้ผู้มองรู้สึกตัวเล็กจ้อยระคนตะลึงอึ้ง
ซูอี้โคจรเคล็ดเวียนวัฏสงสารโดยไม่ลังเล ร่างของเขาทะยานขึ้นสู่อากาศ จากนั้นจึงลอยละล่องเข้าสู่วิหารอันไกลออกไป
จนกระทั่งเมื่อเขามาถึงหน้าโถงใหญ่ของวิหาร ซูอี้พลันชะงักและร่อนลงบนพื้น
เขาสัมผัสได้ว่าโถงใหญ่แห่งนี้ปกคลุมด้วยพลังกฎเกณฑ์อันร้ายกาจยิ่ง และหากเขาทะยานเข้าไปดื้อ ๆ ก็จะถูกสยบลงทันที!
กล่าวอีกนัยก็คือ การจะเข้าวิหารแห่งนี้ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก แล้วเขาก็นำจี้หยกแดงของเจ้าของร้านจำนำออกมา ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป
ตึก ตึก ตึก…
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด จตุรทิศเงียบงัน มีเพียงเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของซูอี้ก้องกังวานจากบันไดหินหน้าวิหาร
บันไดหินแต่ละขั้นล้วนสร้างจากหยกลับสีขาวกระจ่างเยี่ยงหิมะ สลักลวดลายดุจขุมนรก
มีบรรพตซากศพ ทะเลโลหิต กระดูกขาวโพลนเรียงรายเช่นป่า เทพยดาเหี้ยมโหด อสุรกายมวลมาร สารพัดภาพนองเลือดชวนขนลุกเต็มไปหมด
แม้ลวดลายเหล่านี้จะพร่ามัวลงจากการกัดกร่อนแห่งกาลเวลา แต่มันก็ยังดูราวมีชีวิตจริง ๆ!
ซูอี้รู้สึกเหมือนว่าการเดินบนบันไดศิลาเหล่านี้เทียบได้กับการเหยียบย่ำนรกภูมิไว้ใต้ฝ่าเท้า เยื้องย่างสู่สวรรค์ทีละก้าว!
“เจ้าของวิหารนี้อหังการมิน้อยเลย”
ขณะซูอี้ครุ่นคิด เขาก็มาถึงหน้าประตูวิหาร ณ สุดทางบันไดหินแล้ว
ทั่วร่างของนางโชกไปด้วยเลือด เส้นผมยุ่งเหยิง หันหลังให้กับประตู
เมื่อซูอี้ปรากฏตัว สตรีผู้นี้ดูจะสัมผัสได้ นางจึงหันมามองอย่างยากลำบาก และรูปลักษณ์ของนางพลันประจักษ์แก่สายตาของซูอี้
ใบหน้าของนางงดงามหยดย้อย สะกดใจของคนทุกผู้ที่พบเห็น ดวงตาและซี่ฟันกระจ่างใส ผิวขาวดุจหิมะ ร่างสะโอดสะองอรชร
ทว่านางบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดขาว แววตาหม่นแสง ริมฝีปากที่เคยแดงสดของนางเสียเลือดไปจนขาว
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงกะทันหัน สตรีผู้นี้คือเจ้าของร้านจำนำ หญิงบ้าผู้มีนิสัยดุร้ายดุจมีด ผู้วางตนเย่อหยิ่งอหังการ!
“เจ้า… เจ้าคือ…”
สตรีนางนั้นเอ่ยปากด้วยเสียงอันแผ่วเบา แววตาดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ เขาก้าวเข้าไปหา ใช้มือดุจดาบ กวาดไปบนอากาศเบา ๆ
หัวของสตรีผู้นั้นกลิ้งหลุดจากบ่า
หากเถ้าแก่เฒ่าได้เห็นเช่นนี้ เกรงว่าคงได้ตะลึงงันเป็นแน่
ทว่าทันใดนั้น ภาพอันน่าอัศจรรย์ก็บังเกิด
ร่างและศีรษะของสตรีผู้นั้นร่วงลงกับพื้น สลายเป็นฝุ่นควันลอยหายทันที เหลือไว้เพียงยันต์ลับอันมอดไหม้ซึ่งไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้า
“ปิดสิ่งนี้จากเจ้าไม่ได้หรือนี่?”
ในโถงหลักมีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างประหลาดใจ
มีชายผู้หนึ่งในชุดสีแดงเพลิงนั่งบนบัลลังก์กลางวิหาร
เขาสวมมงกุฎบงกชบนศีรษะ รูปลักษณ์หล่อเหลาองอาจทรงศักดิ์เยี่ยงชายหนุ่ม มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เผยบรรยากาศกาลเวลาแปรผันเนิ่นนานชัดเจน
ขณะนี้เขานั่งไขว่ห้าง ใช้หนึ่งมือเท้าคางมองซูอี้ที่ทางเข้าโถงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าจะลอกเลียนแบบรูปลักษณ์และกิริยาของหญ้าบ้าผู้นั้นได้ แต่ขาดเสน่ห์ของนางไป วาดผิวกายกระดูกนั้นง่าย แต่วาดหัวใจยากยิ่ง เป็นเช่นนั้นแหละ”
ซูอี้หยอกเล่นกับจี้หยกในมือของเขา “นอกจากนั้น จี้หยกของนางยังอยู่กับข้า และก่อนหน้านี้มันก็หามีปฏิกิริยาไม่”
“ดูเหมือนครานี้จะไม่สวยแล้วจริง ๆ”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชถูจมูกตนอย่างล้อเลียน
เขากล่าวพลางลุกขึ้นจากบัลลังก์
ทันใดนั้น อำนาจซึ่งมิอาจมองเห็นก็แผ่ออกมาเต็มโถง ขับเน้นให้ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชดูเจิดจรัสยิ่งนัก
ดวงตาของเขามืดมิดดุจสองวังวนจับจ้องมาที่ซูอี้พลางกระซิบ “มังกรเฒ่านั่นถูกเจ้าฆ่าใช่หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชคิดสักครู่แล้วจึงรำพึง “เขาตายด้วยมือคนเช่นเจ้า นับว่าไม่ผิดแปลก แต่ก็ยังน่าเสียดาย เกรงว่าผลึกจักรวาลศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าให้เขาสั่งสมตลอดมาคงตกสู่มือเจ้าแล้ว”
ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา “ทว่าในคราวเคราะห์ย่อมมีโชค การที่เจ้ามาเยือนครานี้ สำหรับข้าคือโชคมหาศาล”
เขาผายมือขวาออกเชื้อเชิญ “สหายเต๋า หากไม่ถือ เข้ามาคุยกันหน่อยดีหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวอย่างราบเรียบ “ตอบข้ามาก่อนว่าเจ้าของร้านจำนำอยู่หนใด”
เขาถือจี้หยกสีชาดในมืออยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่ากลับไม่เคยสัมผัสปราณของหญิงบ้าผู้นั้นได้ ทำให้หัวใจของเขารู้สึกมิชอบมาพากลเล็กน้อย
“นางหรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวยิ้ม ๆ “อย่าห่วงเลย ข้าจะตอบเจ้าในภายหลัง”
กล่าวพลาง เขาก็ยกสองมือขึ้นตบเบา ๆ
ตะเกียงสำริดถูกจุดขึ้นในโถงที่เดิมเคยมืดสลัว และหนึ่งโต๊ะศิลาสองเก้าอี้ก็ปรากฏขึ้นกลางโถง
บนโต๊ะศิลามีเหยือกสุราหนึ่งใบและจอกสองใบ
“มันเรียบง่ายไปหน่อย โปรดอย่าถือสา เชิญ”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแย้มยิ้ม และเชื้อเชิญซูอี้อีกครั้ง
………………..