บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1253: ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวง
ตอนที่ 1253: ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวง
ซูอี้ที่หน้าประตูโถงมองชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแล้วเดินเข้ามา
“นั่งสิ”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชนั่งลงก่อน ยกเหยือกสุราขึ้นรินลงจอกให้ทั้งตนเองและซูอี้
ทันใดนั้น กลิ่นสุราอันกลมกล่อมก็ฟุ้งโชยกำจร
ทว่าซูอี้กลับเมินมันไปขณะมองไปยังภาพบนกำแพงข้างวิหาร
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชก็ผงะไป ก่อนจะแย้มยิ้มหาสนใจไม่ เขาลุกขึ้นจากที่และเดินมายืนข้างกายซูอี้
“ที่กำแพงวิหารมีลวดลายลับวิถีเซียน ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงอยู่สามสิบหกภาพ แต่ละภาพละเอียดอ่อนยิ่งนัก… พวกมันส่วนใหญ่เลือนรางลง เสียเสน่ห์และจิตวิญญาณของมันไปแล้ว”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกระซิบ “เหมือนเช่นภาพที่เจ้ากำลังมองอยู่ แม้จะคลุมเครือ แต่หลังจากเฝ้าพินิจมันเป็นปี ๆ ในที่สุดข้าก็ตัดสินได้ว่าวิหคร้ายในภาพนี้น่าจะเป็นวิหคศักดิ์สิทธิ์ปี้ฟางผู้อาบทัณฑ์อสนีบาตเข้าทะลวงประตูแห่งสวรรค์ ก่อนที่สุดท้ายจะทะยานนภาโบยบินสู่การเป็นเซียนได้”
บนกำแพงมีภาพอันหมองมัวของวิหคศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งอยู่จริง ๆ มันกระพือปีกบินสูงเหนือโลกสีฟ้าเบื้องล่าง ซึ่งอาบไล้ด้วยอสนีบาตและแสงเซียน
เหนือวิหคศักดิ์สิทธิ์มีหนทางอันเลือนราง และสุดหนทางดังกล่าวมีประตูลึกลับปรากฏอยู่
ภาพวาดบางส่วนของภาพผุพังนั้นเลือนรางขาด ๆ หาย ๆ
เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน วิหคศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เหมือนวิหคศักดิ์สิทธิ์ปี้ฟางเช่นที่ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชว่า!
ซูอี้มองมันและเดินเลาะแนวกำแพงไปมองภาพที่สอง
“ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงนี้ถูกวาดขึ้นโดยผู้ฝึกฝนในสำนักเต๋าผู้หนึ่ง การฝึกฝนของเขามิอาจหยั่งทราบได้ แต่ยามที่เขาอาบแสงเซียนและทัณฑ์อสนีบาต ก้าวย่างทำศึกบนตะวันจันทรา เพียงเสี้ยวเจตจำนงก็เหมือนจ้าวสวรรค์สะท้อนเบื้องหลังเขา ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าการฝึกฝนของคนผู้นี้บรรลุสู่ขอบเขตวิถีเซียนแล้ว!”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชว่า “เจ้าเห็นหรือไม่ เหนือคนผู้นี้ก็มีเส้นทางอันพร่าเลือน สุดปลายเส้นทางนั้นก็มีประตูสวรรค์อยู่!”
“อันที่จริง ในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงทั้งสามสิบหกภาพ หากเพ่งมองดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีหลายสิ่งสอดคล้องกัน เช่นทัณฑ์อสนีบาตและแสงเซียน รวมถึงเส้นทางและประตูแห่งสวรรค์”
“และเหตุที่ลวดลายเหล่านี้สามารถจารึกไว้ในวิหารนี้ได้ย่อมแสดงให้เห็นว่ายอดฝีมือทั้งสามสิบหกในภาพเหล่านี้ล้วนเลื่อนขอบเขตและกลายเป็นเซียนสำเร็จแล้วทั้งสิ้น”
กล่าวถึงยามนี้ ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชก็ถอนหายใจเบา ๆ “ผู้แพ้ไร้คุณสมบัติให้จดจำที่นี่ กล่าวอีกนัยก็คือ ลวดลายทั้งสามสิบหกที่เจ้าเห็น ณ ยามนี้คือการบันทึกภาพยามผู้แข็งแกร่งทั้งสามสิบหกคนเลื่อนฐานะขึ้นเป็นเซียน”
เขาพูดราวเป็นผู้นำทางท่องเที่ยว
ซูอี้มิได้กล่าววาจาใดตั้งแต่ต้นจนจบ เขาทำเพียงเฝ้าสังเกตอย่างเงียบเชียบ
ทว่าเขาก็ยังต้องยอมรับว่าวาจาของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเป็นเหตุเป็นผลอย่างมาก
แต่ซูอี้หาเชื่อถือมันไม่
ลวดลายเหล่านี้เก่าแก่คร่ำคร่า ส่วนใหญ่แล้วล้วนพร่ามัวไม่สมประกอบ แม้รายละเอียดมากมายจะมิอาจตรวจสอบได้ แต่ใครเล่าจะแน่ใจได้ว่ายอดฝีมือทั้งสามสิบหกล้วนเป็นเซียนกันไปหมดแล้ว?
ใครเล่าจะกล้าพูดว่าประตูลึกลับนั่นคือประตูสู่โลกเซียน?
จนกระทั่งซูอี้พินิจรูปต่าง ๆ ทั่วกำแพงแล้ว เขาจึงกล่าวกับตนเองว่า “ข้าพอตัดสินคร่าว ๆ ได้แล้วว่าที่แห่งนี้ไม่มีทางเป็นดินแดนอันหลงเหลือจากแดนสวรรค์อย่างแท้จริง แต่น่าจะเป็นซากโบราณของสำนักเต๋าบรรพกาลบางแห่ง”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวอย่างสนใจ “ไยเจ้าจึงเห็นเช่นนั้น? อย่าลืมนะว่าทะเลครามสัญจรที่เจ้าเห็นและเต่าชราที่อ้างตนเป็นผู้พาสัญจรมีตัวตนอยู่จริงในอดีตกาล ทั้งสำนักต่าง ๆ ซึ่งก่อตั้งอยู่บนทะเลครามสัญจรโดยเซียน และยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลึกลับแห่งวิถีเซียนอย่างภูเขาเผิงไหลอยู่อีก”
ซูอี้กล่าวโดยไร้ลังเล “ตลอดกาลแต่โบราณ ยังมีขุมอำนาจฝึกตนมากมายเพียงไรที่เรียกตนเองว่าสำนักวิถีเซียน?”
เขากล่าวพลางชี้ไปยังผนังวิหาร “ดูภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงพวกนี้สิ หากที่นี่เป็นสำนักวิถีเซียนจริง เหตุใดต้องทิ้งภาพการเคลื่อนสู่แดนเซียนไว้ที่นี่ด้วย? เซียนที่แท้จริงหรือจะใส่ใจเรื่องพวกนี้?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “ในความคิดข้านะ สิ่งที่ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงบันทึกไว้คือการเลื่อนขอบเขตขึ้นเป็นเซียน และเป็นการชี้แนะที่เหล่าผู้บรรลุเซียนทิ้งไว้เบื้องหลัง”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ “หมายความว่าเจ้าคิดว่า ‘เมืองสวรรค์เทพมายา’ คือดินแดนอันหลงเหลือจากแดนสวรรค์จริง ๆ หรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเองก็ตอบกลับพร้อมกับแย้มยิ้มเช่นกัน “คำถามนี้หาสำคัญไม่ เรื่องสำคัญคือวิถีแปรเปลี่ยนสู่เซียนมีอยู่จริงมิใช่หรือ?”
ซูอี้หันไปกล่าวกับอีกฝ่ายว่า “ในเมื่อเจ้าอ้างตนเป็นทายาทแห่งเซียน สืบเชื้อสายเซียนและบรรลุศาสตร์เซียน เจ้าแสดงให้ข้าเห็นสักหน่อยได้หรือไม่?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชตอบด้วยรอยยิ้ม “อย่ารีบร้อนสิ เมื่อพูดคุยกันจบ จึงถึงกาลที่เจ้าจะเริ่มการหารือในแบบของเจ้า”
ซูอี้แค่นหัวเราะกล่าว “แล้วเจ้ายังอยากพูดอันใดอีก?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเอียงศีรษะไปด้านข้าง ดวงตามืดมิดจ้องมองซูอี้ กาลเวลามืดมิดเกินเข้าใจวนเวียนอยู่ในแววตา
ครู่ต่อมา เขาก็ละสายตาและเดินไปนั่งลงร่ำสุราบนที่นั่งกลางโถง
จากนั้นจึงกล่าวว่า “นับแต่เจ้าเข้ามาที่นี่ ข้าก็มีความรู้สึกคุ้นเคย ราวกับ… เคยเจอเจ้าที่ใดมาก่อน”
กล่าวถึงจุดนี้ ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชก็เม้มปากกล่าวยิ้มๆ “และยามนี้ ในที่สุดข้าก็จำได้ ชะตา… ช่างน่าอัศจรรย์”
ซูอี้หันกลับไปถาม “งั้นเราพบกันยามใด?”
ดวงตาของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชฉายประกายหวนรำลึก “ยามนั้นข้าก็อยู่ในโถงนี่แหละ แสงสว่างทอประกาย และก็มีคนเช่นเจ้าผู้หนึ่งมาค้นหาวิถีสู่เซียน”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็หันไปมองซูอี้พลางกล่าวอย่างมีเลศนัย “ยามนั้นเหมือนขณะนี้ไม่มีผิด”
ซูอี้เลิกคิ้ว “มันจะเหมือนเพียงนั้นเชียวหรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวอย่างหนักแน่น “เหมือนสิ! เหมือนมาก!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “คงมิถึงขนาดหน้าตาเหมือนกันด้วยกระมัง?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชส่ายหน้ากล่าว “แน่นอนว่าไม่ รูปลักษณ์ การฝึกฝนและลักษณะนิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศและพฤติกรรมของพวกเจ้าก็แตกต่างกันมาก แต่เจ้า… ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน ราวกับเป็นคนคนเดียวกันเลย”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “เขามีนามเช่นไร?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวโดยไม่คิด “เสิ่นมู่!”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเงียบ ๆ และแม้สีหน้าจะไม่แปรเปลี่ยน แต่หัวใจของเขากลับกระเพื่อมไหว
ตัวตนในชาติที่หกของเขาเคยมาที่นี่หรือ?
“เจ้า… จำสิ่งใดได้หรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวเลียบเคียง
ซูอี้เงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าจะคิดว่าข้าคือเสิ่นมู่ก็ได้”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชก็ผงะไป
เขามองซูอี้อย่างลึกล้ำ ก่อนกล่าวขึ้นว่า “แน่นอน เจ้าหาใช่เสิ่นมู่ไม่ แต่ข้าสังหรณ์ว่าระหว่างเจ้ากับเสิ่นมู่มีความเกี่ยวพันบางอย่างกันอยู่”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้ จิตหยั่งรู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
“พูดถึงเสิ่นมู่ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริงแท้”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวด้วยแววตาหยอกเย้า “เจ้าของร้านจำนำหญิงที่เจ้าว่าก็มาเพราะเหตุผลนี้แหละ นางบอกว่าจะมานำสมบัติชิ้นหนึ่งที่เสิ่นมู่ทิ้งไว้ที่นี่ไป”
ซูอี้อดตะลึงมิได้
เมื่อหลายร้อยปีก่อน เหตุผลที่หญิงบ้ามายังเมืองสวรรค์เทพมายานี้ก็เพื่อเสิ่นมู่หรือ?
เรื่องนี้มิได้อยู่ในความคาดหมายของซูอี้เลย
ทว่าเมื่อคิดให้ถี่ถ้วน หัวใจของเขาก็ไหววูบขึ้นอีกครา
หญิงบ้าผู้นั้นมีที่มาเป็นปริศนา ครอบครองสมบัติศักดิ์สิทธิ์เลิศล้ำเยี่ยงร้านจำนำ เคลื่อนคล้อยสัญจรทั่วจักรวาลพร่างดาวใต้สรวงสวรรค์ได้ตามใจปรารถนา
หากนางรู้จักเสิ่นมู่มาก่อน มิหมายความว่านางมองออกแต่แรกยามปรากฏตัวในภูมิดาราฟ้าดินว่าเขาคือร่างเวียนวัฏของเสิ่นมู่หรือ?
เป็นไปได้อยู่!
ซูอี้ ณ ยามนี้เข้าใจแล้วว่าต่อให้เขาจะฝึกฝนสูงส่งขณะเป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน แต่ก็คงมิใช่คู่ต่อสู้ของหญิงบ้าผู้นี้!
และก่อนหน้านั้น เขายังไปจุดไฟเผาร้านจำนำของนางอีก!
จากนิสัยดุร้ายอหังการของหญิงบ้าผู้นั้น หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงถูกฆ่าไปไม่อาจนับหนได้
ทว่ายามนั้น แม้หญิงบ้าจะมีโทสะ ทว่านางกลับมิได้ลงไม้ลงมือกับเขาเพราะเหตุนี้…
เมื่อหวนคิดในยามนี้ ตลอดกาลที่รู้จักหญิงบ้าผู้นั้นมา อีกฝ่ายก็ดูจะซุกซ่อนหลายเรื่องไว้ชัด ๆ!
“เสิ่นมู่ทิ้งสมบัติใดไว้ที่นี่?”
ซูอี้ถาม
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชยกเหยือกสุรารินลงจอกตนเอง “มิใช่สมบัติหรอก แค่เป็นหวีที่สตรีผู้หนึ่งใช้น่ะ”
ซูอี้ประหลาดใจ “เขามาหาวิถีบรรลุเซียน ไยจึงทิ้งของสิ่งนี้ไว้กัน?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชส่ายหน้ารำพึง “หารู้ไม่ ทีแรกข้าก็ถามเขาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เขามิได้พูดอันใด เมื่อคิดอีกที หวีนั่นอาจมิใช่สมบัติที่ทรงพลัง แต่สำหรับเสิ่นมู่ เกรงว่ามันคงมีความสำคัญไม่ธรรมดา บางทีอาจจะซุกซ่อนปริศนาอื่นไว้ก็เป็นได้”
ซูอี้ขมวดคิ้วถาม “ยามนี้ สิ่งนั้นอยู่หนใดหรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเสสรวลและถามด้วยแววตาใคร่รู้ “ไยเจ้าจึงสนใจเรื่องของเสิ่นมู่นักเล่า? หรือจะเป็นเช่นที่ข้าคาดไว้ก่อนหน้านี้ ว่าระหว่างเจ้ากับเสิ่นมู่มีความเชื่อมโยงไม่ธรรมดาบางอย่างอยู่?”
เขากล่าวกับตนเองโดยมิรีรอให้ซูอี้ได้พูด “น่าสนใจ เสิ่นมู่เพียงผู้เดียวก็ดึงเจ้าของร้านจำนำปริศนาและคนเช่นเจ้ามาได้ ดูเหมือนที่มาของเสิ่นมู่ผู้นี้คงมิธรรมดา”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาพลันลุกขึ้นเผชิญหน้ากับซูอี้ กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีข้อสงสัยมากมาย และข้าสัญญาว่าเพียงเจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง ข้าจะบอกเจ้าทุกเรื่องเลย”
ซูอี้ถาม “เรื่องใดหรือ?”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชกล่าวโดยไม่คิด “ง่ายมาก ทำลายสนามเต๋านอกวิหารเสีย”
ดวงตากระจ่างพร่างพรายของเขาจับจ้องไปยังซูอี้ พลางกล่าวว่า “ข้าแน่ใจว่าเจ้าทำได้แน่ และขอเพียงเจ้าช่วยข้า ไม่เพียงข้าจะช่วยคลี่คลายความสงสัยให้เจ้าเท่านั้น ยังจะให้ศาสตร์เซียนกับเจ้าด้วย!”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวยิ้ม ๆ “ถึงข้าจะถูกขังที่นี่มานาน แต่ด้วยเคล็ดวิชาบางอย่าง ข้าก็พบเบาะแสและเคล็ดวิชาเกี่ยวกับเซียนที่นี่มากมาย คงมิเป็นการพูดเกินไปหากจะบอกว่าทุกความลับในเมืองสวรรค์เทพมายาอยู่ในมือข้ามานานแล้ว!”
เขาพลิกมือ ม้วนหยกสีทองม้วนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมา “และข้าก็สลักเรื่องทั้งหมดลงในม้วนหยกนี้ ตั้งชื่อมันว่า ‘คู่มือภาพบรรลุเซียน’”
“ขอเพียงเจ้าช่วยข้า ‘คู่มือภาพบรรลุเซียน’ นี้จะเป็นของเจ้า!”
เขากล่าวพลางมองซูอี้ รอคำตอบอย่างเงียบ ๆ
แต่แล้วเขาก็แปลกใจที่ซูอี้มิพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด และกล่าวออกมาอย่างเบื่อ ๆ “ข้าอยากรู้เพียงว่ายามนี้ เจ้าของร้านจำนำอยู่หนใด”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกช “…”