บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1254: ชั่งน้ำหนัก
ตอนที่ 1254: ชั่งน้ำหนัก
หนึ่งสตรีหรือจะสำคัญกว่าความลับเซียน?
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีก
ทว่าเขาก็แย้มยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น “ข้าบอกแล้ว ขอเพียงรับปาก ข้าก็จะบอกทุกสิ่งที่เจ้าต้องการทราบให้”
ซูอี้นำไหสุราออกมาจิบ “ข้าไม่สนใจคิดแลกเปลี่ยนกับเจ้า ให้เวลาสามอึดใจ บอกคำตอบข้ามา หาไม่ ข้าจะฆ่าเจ้า”
วาจาราบเรียบ ทว่าความหมายของมันช่างแข็งกร้าวและอหังการยิ่งนัก
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชเลือนหาย
เขาลูบคางตนเบา ๆ มองซูอี้ด้วยดวงตามืดทะมึน กล่าวออกมาว่า “เดิมข้าคิดว่าแสดงความจริงใจและความปรารถนาดีมากพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่า… เจ้าดูจะยังไม่ได้ชั่งน้ำหนักตนเองดีพอ”
วาจาลุ่มลึกสะท้อนก้องทั่วโถงอันว่างเปล่า
และกลิ่นอายบนร่างของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชก็แปรเปลี่ยน
ท่าทางเย็นชาเยี่ยงน้ำแข็ง การวางตนหาแตกต่างจากเทพไม่!
อำนาจร้ายกาจที่มิอาจมองเห็นได้ด้วยตาแผ่ออกมาจากร่างของเขา
ทั้งโถงเต็มไปด้วยบรรยากาศเข่นฆ่าชวนอึดอัด
ซูอี้ดูราวกับมิรู้ร้อนหนาว เขาเก็บไหสุราของตนไป “หรือเจ้าจะชั่งน้ำหนักมันให้เล่า?”
“ได้”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแย้มยิ้ม
ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับแฝงจิตสังหารร้ายกาจ
เพียงพริบตา แสงสว่างรอบโถงก็ดังวูบ ทั้งโถงจมลงสู่ความมืด
เปรี้ยง!
ประตูวิหารปิดลง
“ข้าลืมบอกเจ้าไป นามของสถานที่แห่งนี้คือ ‘โถงทัณฑ์สวรรค์’ ซึ่งมีค่ายกลสังหารอันดับหนึ่งของเมืองสวรรค์เทพมายาสลักอยู่ หากทนไม่ไหวก็แค่ส่งเสียงวอนขอสักหน่อย แล้วข้าจะปล่อยเจ้าออกไป”
เมื่อเสียงดังขึ้น ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงทั้งสามสิบหกภาพอันพร่ามัวพลันเปล่งแสงโชติช่วงชัชวาล
ท่ามกลางแสงเซียนระริกไหว หนึ่งในยอดฝีมือในภาพวาดดูจะตื่นขึ้นจากการหลับใหลชั่วกาลนาน
ทันใดนั้น จิตสังหารร้ายกาจก็แผ่ออกมาเยี่ยงกระแสน้ำ
ทั้งโถงแปรเปลี่ยนอย่างเงียบงัน กลายเป็นโลกกว้างอันแสนเก่าแก่โบราณ อสนีบาตคุกรุ่น เมฆาร้อยเรียงรวมตัว
ตัวตนคล้ายเซียนทั้งสามสิบหกคนยืนตระหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆา แต่ละคนล้วนเผยอำนาจสะเทือนแดนดิน
สีหน้าของซูอี้ยังคงสุขุมเยี่ยงกาลก่อน หาขยับจากที่ไม่
ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือ เถาวัลย์มารดาฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ อาภรณ์เขียวพลิ้วไหวตามแรงลมจนเกิดเสียงพรึ่บ ๆ ตามมา
ค่ายกลสังหารไร้ที่ติแห่งบรรพกาลเป็นโลกในตัวมันเอง โดยหลอมรวมเจตจำนงที่ผู้แปรเปลี่ยนเป็นเซียนทั้งสามสิบหกคนทิ้งไว้ในยามมีตัวตนอยู่
ค่ายกลสังหารเช่นนี้น่ากลัวพอจะทำให้ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดรู้สึกกลัวได้!
ทันใดนั้น เสียงร้องสะเทือนสรวงก็ก้องทั่วเก้าชั้นฟ้า ทศทิศบนแดนดิน
วิหคปี้ฟางตัวหนึ่งโผทะยานจากฟากฟ้า ปีกทั้งสองดุจดั่งเมฆากระจ่างสรวง โอบล้อมด้วยแสงเซียนเจิดจรัส อสนีบาตโชติช่วงแรงกล้า
มันรวดเร็วอย่างยิ่ง คู่ปีกตัดผ่านนภา โจมตีอย่างรุนแรงในพริบตา
เป็นการโจมตีโดยแท้ หาใช่ภาพลวงไม่!
ทว่าสิ่งที่วิหคปี้ฟางเผชิญคือภาวะดาบหกวิถีเวียนวัฏทะยานสู่เวหา มืดหม่นลึกล้ำ
เปรี้ยง!!
เพียงหนึ่งดาบ ปี้ฟางก็ถูกฟันกระเด็น ร่างมหึมาของมันชนเข้ากับบรรพตใหญ่ห่างออกไป
“ไม่ตายหรือ?”
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
เขาเห็นได้ว่าวิหคศักดิ์สิทธิ์ปี้ฟางตกตายไปมิอาจทราบปีได้ และเหตุที่มันสามารถปรากฏสู่โลกาได้ยามนี้ก็เพราะถูกนักซ่อนกลปลุกขึ้นมา
และเคล็ดเวียนวัฏสงสารก็ถูกใช้เพื่อจบอำนาจดังกล่าว
แต่มิคาดเลยว่าอำนาจของดาบนี้จะทำได้เพียงสร้างรอยร้าวบนร่างของปี้ฟางได้เท่านั้น
“หรือปี้ฟางตนนี้จะทะยานชั้นฟ้าสู่สรวง เดินทางบนวิถีสวรรค์และแปรเปลี่ยนเป็นเซียนได้จริง ๆ? หาไม่ มีหรือเจตจำนงที่ทิ้งไว้จะร้ายกาจได้เพียงนี้?”
ขณะซูอี้กำลังครุ่นคิด หายนะล้อมสังหารก็เกิดขึ้น
เหนือท้องนภา เงาร่างที่ดูราวเทพเซียนล้วนขยับไหว
ผู้ฝึกวิถีเต๋าผู้หนึ่งเหยียบลงบนสุริยันจันทรา ใช้แส้นักพรต มีเงาดุจเจ้าสวรรค์ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง
ผู้ฝึกวิถีพุทธผู้หนึ่งใช้ศาสตร์แห่งฟ้าดิน ร่างของเขาขยายสูงใหญ่ขึ้นราวพันจั้ง แสงศักดิ์สิทธิ์รอบกายทะยานสู่สวรรค์ เพียงหนึ่งดีดนิ้ว เพลิงพุทธะก็พร่างพรายเยี่ยงธารดารา
หนึ่งผู้ฝึกดาบชักดาบออกมา ปราณดาบยาวสามพันจั้งถูกวาด เพลิงแสงพุ่งทะยานฮึกเหิมเยี่ยงกระทิงคึก
หนึ่งนายเหนือแห่งวิถีมารใช้มือคว้าธารโลหิต แบกอสนีบาตแสงเซียนนับพัน
…ตัวตนทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ที่ก้าวเดินบนวิถีเข้าประตูแห่งสวรรค์ในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวง
แม้พวกเขาในยามนี้จะเป็นเพียงเจตจำนงเสี้ยวเดียว แต่อำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ถือครองก็ทรงพลังเหลือเชื่อ
เพียงเท่านี้เขาก็ทราบได้ว่าการฝึกฝนวิถีของพวกเขาก่อนสิ้นใจนั้นสูงส่งกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิเป็นไหน ๆ!
และเมื่อพวกเขาร่วมใจกันโจมตีเข้ามา มันก็มิได้ต่างกับกลุ่มเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นเก้าแผลงฤทธาเลยสักนิด!
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดินปั่นป่วนรวนเร แสงเซียนหลั่งรินเยี่ยงน้ำตก
สารพัดเคล็ดวิชาน่าอัศจรรย์ทะยานผ่านนภา ปกคลุมซูอี้เยี่ยงท้องนภากดทับลง
ตู้ม!
วจีดาบซัดสาดเยี่ยงคลื่นวารี
ดาบของซูอี้ทะยานสู่เวหา ฟาดฟันสุดกำลัง
แสงเงาหกวิถีเวียนวัฏปกคลุมทั่วนภา บดบังสุริยัน หลอมรวมเข้ากับความสำเร็จในวิถีดาบของซูอี้ สร้างเป็นปราณดาบร้ายกาจดุจสวรรค์วาด
มหาสงครามอุบัติ
แม้ซูอี้จะสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แต่เขาก็หาได้ลนลานไม่
ระหว่างต่อสู้ เขาตระหนักชัดเจนว่าเคล็ดเวียนวัฏสงสารสามารถหยุดยั้งคู่ต่อสู้เหล่านี้ได้จริง ๆ!
ยิ่งกว่านั้น ขอเพียงมันถูกพลังแห่งวัฏสงสารกวาดไป คู่ต่อสู้ก็จะถูกทำให้บาดเจ็บอย่างมิอาจเยียวยา
บาดแผลเหล่านั้นหาได้ร้ายแรงไม่
แต่หากปล่อยไว้นาน ๆ มันจะถูกสังหารโดยสมบูรณ์!
“กาลก่อน ยามที่ผู้คนเหล่านี้ยังมีชีวิต การฝึกฝนของทุกคนน่าจะอยู่เหนือขอบเขตไร้ขีดจำกัดไป และอำนาจเคล็ดวิชาที่พวกเขาใช้ก็เกินเทียบกับขอบเขตไร้ขีดจำกัดมากนัก”
“พวกเขาเป็นใครกัน? จากยุคสมัยใด? อดีตเป็นเช่นไร?”
ความสงสัยเรื่องแล้วเรื่องเล่าหลั่งไหลเข้ามาในใจซูอี้
เรื่องเดียวที่แน่ใจได้คือยอดฝีมือเหล่านี้ต้องมีวิถีที่สูงกว่าวิถีสู่สวรรค์ก่อนปลิดปลิวแน่แท้!
เหตุผลนั้นง่ายมาก เจตจำนงที่ยอดฝีมือเหล่านี้ทิ้งไว้ คือช่วงที่เกิดเหตุการณ์ในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวง และขณะนั้น พวกเขาก็ยังมิได้แปรเปลี่ยนเป็นเซียนไปจริง ๆ!
“หรือจะยังมีวิถีอื่นอยู่ระหว่างวิถีสู่สวรรค์กับวิถีเซียนกัน?”
ซูอี้คิดเช่นนี้ และม่านตาของเขาก็หดตัวเล็กน้อย
หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นตำนานเนิ่นนานอันกระจายไปทั่วส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวก็ล้วนเป็นเท็จ!
สู่สวรรค์บรรลุเซียน?
เปล่าเลย เหนือวิถีสู่สวรรค์ยังมีวิถีอื่นอยู่อีก!
และบนวิถีดังกล่าวก็อาจจะเป็นเส้นทางที่เชื่อมกับวิถีเซียน!
ขณะคิดเช่นนี้ การเคลื่อนไหวมือของซูอี้ก็ไม่ได้เชื่องช้าลงเลย
เพียงครู่ต่อมา
เปรี้ยง!
วิหคปี้ฟางซึ่งบาดเจ็บสาหัสมิอาจรักษาร่างของตนไว้อีกต่อไป หนึ่งดาบสะบั้นร่างของมันแหลก แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงเจิดจ้าพร่างพรายเยี่ยงรัศมีตะวัน
ซูอี้ฉวยโอกาสคว้ามันไว้ในมือ
ผลก็คือภาพอันน่าตกใจบังเกิดขึ้น พิรุณแสงวิถีสายนี้ทะลักไหลเข้าสู่ร่างของเขาเยี่ยงธารวารี แปรเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิดมหาวิถีพลุ่งพล่าน หลั่งรินสู่ถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่างของซูอี้หมดสิ้น
และในถ้ำโกลาหลมหาวิถี ดินแดนดึกดำบรรพ์คำรามลั่น แสงวิถีรินหลั่งลงบนรากแห่งฟ้าดิน ดุจพฤกษาบรรพกาลที่ถูกหล่อเลี้ยงให้เติบโตยิ่งกว่าหนใด
จากนั้นซูอี้ก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างของเขาเดือดพล่าน การฝึกฝนของเขาเริ่มแกร่งขึ้นในศึกนี้!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
เขาจำพลังมหาวิถีที่หลอมรวมบนฝั่งทะเลครามสัญจรได้ เห็นได้ชัดว่ามันมีที่มาเดียวกันกับพิรุณแสงจากปี้ฟางตัวเมื่อครู่นี้
ความแตกต่างเดียวก็คือพิรุณแสงจากปี้ฟางนั้นปรากฏยามมันถูกฆ่า และสามารถดูดซับสู่ถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขาได้โดยมิต้องหล่อหลอมใด ๆ!
“มาอีกสิ”
ดวงตาของซูอี้เจิดจรัสราวกับได้ค้นพบสมบัติหายาก
เปรี้ยง!
ศึกทวีความเข้มข้น
ทว่าเมื่อสงครามดำเนินไป ไม่นานนัก ยอดฝีมืออีกผู้หนึ่งก็ถูกสังหาร
ตรงตามคาด หลังจากยอดฝีมือผู้นี้ตกตาย เขาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสง!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้มีความสุขยิ่ง
เขาไม่คิดเลยว่าเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงเหล่านี้จะยังมอบโอกาสเช่นนี้ให้เขาได้!
เวลาต่อมา ซูอี้ละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านและเริ่มมุ่งเน้นสังหารศัตรู
ด้วยการสอดประสานของเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ใต้คมดาบของเขาจึงมียอดฝีมือร้ายกาจคนแล้วคนเล่าต้องดับสูญ
และพิรุณแสงวิถีที่พรั่งพรูออกมาก็ล้วนถูกซูอี้รวบเก็บ หลอมรวมเข้ากับถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขา
หลังจากหลอมรวมพิรุณแสงจากยอดฝีมือเก้าคน การฝึกฝนของซูอี้ก็เข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นกลางอย่างราบรื่น!
ยิ่งกว่านั้น พื้นฐานของเขายังมั่นคงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ไร้จุดด่างพร้อยใด ๆ!
เหตุผลเป็นเพราะว่าพิรุณแสงวิถีเหล่านั้นล้วนบริสุทธิ์และหนาแน่นยิ่ง ดูเหมือนมันจะถูกขัดเกลามาเป็นพัน ๆ หน และหลังจากหลอมรวมเข้ากับวิถีเต๋าของซูอี้ เขาก็มิต้องขัดเกลาลับคมพวกมันแต่อย่างใด พวกมันก็กลายเป็นพลังต้นกำเนิดเสริมการฝึกฝนของเขาได้โดยตรง!
“ยังคงมีศัตรูเหลืออีกยี่สิบเจ็ดคน ไม่อาจทราบได้ว่าพิรุณแสงวิถีที่รวบรวมได้หลังฆ่าพวกเขาทั้งหมดจะทำให้การฝึกฝนของข้าเข้าสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลายได้หรือไม่…”
ซูอี้คาดหวังลุ้นรอ
ทว่าเขาก็มิได้หลงระเริงไปกับความปรีดา
เมื่อการฝึกฝนของเขาเลื่อนขั้น เขาก็สัมผัสได้ชัดเจนว่ายามหลอมรวมพิรุณแสงวิถีเหล่านั้น ผลของมันก็หาวิเศษล้ำเยี่ยงกาลก่อนไม่
แต่ถึงเช่นนั้น ซูอี้ก็พอใจแล้ว
การฝึกฝนในขอบเขตราชันแห่งภูมินั้นช่างยากเย็นยิ่ง!
ระหว่างที่ซูอี้กำลังสู่ศึกอย่างดุเดือดอยู่นั้นเอง
นอกโถงหลัก
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชนั่งอยู่ตรงหน้าบันไดหิน ใช้หนึ่งมือเท้าคาง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมร่องรอยแห่งกาลมองไปยังสนามเต๋าไกลออกไปด้วยความเกลียดชังอันเปิดเผยชัดเจน
สนามเต๋านี้แหละที่กักขังเขามาแสนนาน
ตัวมันหามีความสามารถร้ายกาจใด ๆ ไม่ แต่กลับสามารถขังเขาไว้ได้ราวเป็นนักโทษ!
“เซียนบ้าบออันใด เส้นทางสู่เซียนไร้สาระพวกนั้นหายไปนานแล้ว!”
ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชสบถออกมาอย่างรุนแรง ไม่อาจทราบได้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาดุจชายหนุ่มของเขาบิดเบี้ยวดุร้ายน่าขนลุก
ตู้ม!
วิหารเบื้องหลังเขาพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่น
ยามนี้เอง…
ประตูวิหารซึ่งปิดอยู่ก็เปิดออกอย่างเงียบ ๆ
ความมืดมิดภายในวิหารจางลง ภาพภายในพลันปรากฏขึ้น
ผนังวิหารสี่ด้านผุพังลอกออก ฝุ่นฟุ้งกระจายลงสู่พื้น ภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงทั้งสามสิบหกภาพบนผนังล้วนเลือนหาย
ใจกลางโถงมีร่างหนึ่งยืนอยู่อย่างเงียบงัน
อาภรณ์เขียวดุจหยกไร้มลทินใด ๆ
ร่างยืนตรงเยี่ยงดาบ ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนยิ่งกว่าอาภรณ์
สีหน้าของชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชแข็งค้าง ดวงตาเบิกกว้าง
ในสายตาของเขา ซูอี้หาได้บาดเจ็บไม่ และการฝึกฝนของเขายังเคลื่อนขึ้นไปอีกขั้น!
ในพริบตานั้น ชายชุดแดงสวมมงกุฎบงกชอดรู้สึกตระหนกตกใจมิได้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ ยากที่จะเชื่อลง!
………………..