บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1259: เอกเขนกนั่งเหนือเมฆา หนึ่งดาบสยบทุกผู้ยินยล
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1259: เอกเขนกนั่งเหนือเมฆา หนึ่งดาบสยบทุกผู้ยินยล
ตอนที่ 1259: เอกเขนกนั่งเหนือเมฆา หนึ่งดาบสยบทุกผู้ยินยล
ฝุ่นควันกระจายหาย เมิ่งฉางอวิ๋นร่วงลงพื้นในสภาพที่ดูไม่ได้ ใบหน้าของเขาซีดขาวเนื่องจากอาการบาดเจ็บ
“ศิษย์หลาน ไปสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิครานี้ หากเจ้าเปลี่ยนใจชดใช้ความผิดเก่าก่อน เจ้าก็อาจจะรักษาชีวิตไว้ได้บ้าง และนั่นคือสิ่งที่ทุกคนต้องการเห็น”
บรรพชนจิ้งเชวียก้มลงกล่าวเบา ๆ กับเมิ่งฉางอวิ๋น
ในขณะที่ทุกคนพยักหน้ารับ
“พวกเจ้าทอดทิ้งอาจารย์อากันอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ทั่วสำนักจะมองพวกเจ้าเช่นไร?”
ทันใดนั้น เสียงคำรามอย่างกรุ่นโกรธก็ดังมาจากไกล ๆ
ชายร่างบึกบึนในชุดนักรบพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ใบหน้าเขียวคล้ำด้วยโทสะขณะเข่นเขี้ยว “ขอเพียงเรื่องนี้แพร่ออกไป โลกภายนอกจะมองโถงวิถีแปรตะวันของเราเช่นไร? ในภายหน้า ใครเล่าจะกล้าเข้ามากราบอาจารย์ฝึกฝนในสำนักเรา?”
“พวกเจ้ากระทั่งเหยียบย่ำผู้อาวุโสสูงสุดเช่นนี้ได้ ไม่กลัวหรือว่าทั้งสำนักจะหวาดกลัวสิ้นศรัทธา?”
วาจานั้นก่อให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้น
สีหน้าของเหล่าผู้มีอำนาจย่ำแย่ลง เผยความไม่ชอบใจ
“ตบปากเขาเสีย”
เซวียจ่างอีกล่าวอย่างเย็นชา
ป้าบ!
บรรพชนจิ้งเชวียตบหน้าชายในอาภรณ์นักรบจนหน้าบวมแดงทรุดลงกองกับพื้น
บรรพชนจิ้งเชวียกล่าวอย่างเย็นชา “สิงเฟิง หากเจ้ายังกล้าพูดมากกว่านี้ เจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักนะ!”
“ข้ามิกลัวตายหรอก!”
ชายในอาภรณ์นักรบเช็ดเลือดออกจากมุมปาก
“เจ้า…”
ดวงตาของบรรพชนจิ้งเชวียเรืองประกายเย็นเยียบ ทว่ายามที่เขากำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง
เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เอาล่ะ เรื่องบ้าบอนี้ควรหยุดได้แล้ว เฒ่าเมิ่ง ขอเพียงเจ้าพยักหน้า ข้าจะช่วยเจ้าฆ่าคนเหล่านี้ให้”
วาจาอันเลื่อนลอยแว่วมาจากแสนไกล ทว่ากลับสะท้อนชัดเจนทั่วฟ้าดิน
ทุกคนต่างผงะตะลึง
ในขณะเดียวกัน เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวขึ้นเบา ๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น “ทำให้คุณชายต้องขบขันเสียแล้ว”
“หนูที่ไหนมันกล้าลอบเข้ามาในโถงวิถีแปรตะวันโดยไม่ได้รับอนุญาตกัน ยังมิออกมาอีก?”
ชายชราร่างอ้วนเตี้ยในชุดสีเหลืองตวาดลั่นดุจอสนีบาตก้องทั่วฟ้าดิน
“แค่ประโยคนี้ เจ้าก็ตายได้แล้ว”
วาจาเรียบเฉยดังขึ้นอีกครั้ง
ทันใดนั้น ปราณดาบสายหนึ่งก็ปรากฏจากอากาศธาตุ เสียบเข้าไปที่กลางกระหม่อมของชายชราร่างอ้วนเตี้ยในชุดสีเหลือง
ร่างของชายชราร่างอ้วนเตี้ยในชุดสีเหลืองร่วงลงกองกับพื้น วิญญาณละล่องหาย
ทุกคนล้วนตะลึงล่าถอยโดยเร็วที่สุด
ชายชราชุดเหลืองผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสในขอบเขตสานพันธะลึกล้ำของโถงวิถีแปรตะวัน เป็นรองเพียงราชันแห่งภูมิเท่านั้น
แม้เขาจะไม่ได้อยู่ในสายตาของตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิ ทว่าแม้ขุมกำลังระดับราชันแห่งภูมิที่นี่จะอยู่กันมากมาย แต่กลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าปราณดาบนี้ปรากฏแต่ยามใด!
“ผู้อาวุโสคือผู้ใด เหตุใดจึงเข้ามาพัวพันเรื่องของโถงวิถีแปรตะวันของเราด้วย?”
ใบหน้าของเวินจือซินมืดหมอง มองขึ้นไปบนหมู่เมฆ
ทุกคนล้วนมองตาม ก่อนจะเห็นเมฆมงคลสีขาวหิมะล่องลอยเหนือนภา และชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนนั้นแต่ยามใดหาทราบไม่
ขาทั้งสองของเขาห้อยลงมาจากหมู่เมฆ หนึ่งมือถือไหสุรา กิริยาดูเอ้อระเหยลอยชาย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอาบด้วยแสงจากนภา ดูสูงส่งเกินผู้ใด
เขาคือซูอี้
หัวใจของทุกคนล้วนหวั่นเกรง
ที่นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์สะพานเมฆา ถิ่นที่มั่นของโถงวิถีแปรตะวันซึ่งปกคลุมด้วยค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสี่สิบเก้าชั้น
ทว่ายามนี้กลับมาผู้ลอบเข้ามานั่งบนหมู่เมฆอย่างไร้เสียงได้!
ซูอี้หาสนใจเวินจือซินไม่
เขากล่าวกับเมิ่งฉางอวิ๋นเบา ๆ “เฒ่าเมิ่ง เจ้าตัดสินใจได้หรือยัง?”
ยามนี้ ใครเล่าจะมิเห็นว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มาช่วยเมิ่งฉางอวิ๋น?
“ข้า…”
ในขณะที่เมิ่งฉางอวิ๋นกำลังจะพูดนั้นเอง
ชายชราแก่หง่อมผู้หนึ่งในชุดขาวแค่นเสียงขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร การบุกรุกเข้ามาฆ่าคนในโถงวิถีแปรตะวันของข้าก็อวดดีเกินไปหน่อยหรือไม่?”
กล่าวจบ เขาก็กระโดดขึ้นมายกมือคว้าซูอี้ “ลงมานี่ซะ!”
เขามองอากัปกิริยาเอกเขนกนั่งเหนือเมฆา ทอดมองมายังพวกเขามิเป็นที่สบอารมณ์อย่างยิ่ง และก่อนหน้านี้ซูอี้ยังลงมือสังหารชายชราชุดเหลืองอย่างเฉยเมย ทำให้เขากรุ่นโกรธโดยสมบูรณ์
ตู้ม!
อำนาจร้ายกาจของราชันแห่งภูมิปะทุออกมาจากร่างของชายชราชุดขาว และเพียงพลิกฝ่ามือ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็แผ่กระจายออกอย่างดุดันยิ่งนัก
“ก็แค่ตั๊กแตน มิสำเหนียกตนเสียเลย”
ซูอี้ขมวดคิ้วส่ายหัวน้อย ๆ ก่อนจะประทับมือลงมาอย่างเรียบเฉย
เปรี้ยง!!
พิรุณแสงโปรยปรายจากนภาท่ามกลางเสียงระเบิด ร่างของชายชราชุดขาวซึ่งพุ่งเข้ามาซวนเซตุปัดตุเป๋ จากนั้นก็พุ่งไปเบื้องหลังรวดเร็วเยี่ยงคีรีทิพย์พุ่งชน กระแทกเข้ากับจุดเดิมที่ตนเคยยืนอยู่อย่างรุนแรง ทำให้ผืนพสุธายุบเป็นหลุมใหญ่ เศษศิลาฟุ้งกระเด็น
เหล่าผู้พบเห็นต่างเงียบกริบ พวกเขาตกตะลึงจนใบหน้าเปลี่ยนสี
หนึ่งราชันแห่งภูมิไร้ทางสู้เพียงนี้เชียวหรือ?
“คุกเข่าตรงนั้นไปก่อน รอเฒ่าเมิ่งตัดสินใจ แล้วว่ากันอีกทีว่าเจ้าจะรอดหรือตาย”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
เขานั่งลอยชาย ท่าทางเกียจคร้านตั้งแต่ต้นจนจบ
และสายตาที่ทุกคนมองมายังเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“อย่าโจมตีอีกนะ!”
เวินจือซินกล่าวเตือนด้วยเสียงลุ่มลึก
สิ่งดีไม่มา สิ่งที่มาไม่ดี
หนึ่งชายหนุ่มกล้าปรากฏตัวในโถงวิถีแปรตะวันของพวกเขานั้นผิดปกติอย่างมาก
และเมื่อเขาเห็นชายชราชุดขาวผู้มีการฝึกฝนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงถูกปราบแน่นิ่งกับพื้นด้วยเพียงหนึ่งฝ่ามือ ใครเล่าจะยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวยิ่ง?
ยามนี้ บรรพชนจิ้งเชวียก็อดหรี่ตาลงมิได้ สีหน้ายากอ่านออก
“อาจารย์อาเมิ่ง คนผู้นี้คือผู้ช่วยเหลือที่ท่านเชิญมาหรือ?”
เวินจือซินหันไปถามเมิ่งฉางอวิ๋น
เมิ่งฉางอวิ๋นหาได้สนใจเขาไม่
เขาถอนหายใจราวกับตัดสินใจได้แล้ว และก้มหัวลงคำนับซูอี้ “คุณชาย ตาเฒ่าผู้น้อยไม่ต้องการถกเถียงกับคนเหล่านี้อีกแล้วขอรับ”
ยามเขายังหนุ่ม เขาฝึกฝนอยู่ในโถงวิถีแปรตะวัน และการที่เขาสำเร็จเป็นเช่นทุกวันนี้ก็มิอาจแยกจากการฝึกฝนในสำนักได้
แม้ว่าเขาจะโกรธเคืองและผิดหวังเพียงใด แต่เขาก็มิอาจทนให้โลหิตหลั่งรินที่นี่ได้
ไม่ว่าอย่างไร ที่นี่ก็เหมือนบ้านสำหรับเขา
ทั่วทั้งสำนักมีหลายบุคคลที่เขาห่วงใย!
ซูอี้พยักหน้า
แม้ทางเลือกของเมิ่งฉางอวิ๋นจะผิดคาดไปบ้าง แต่มันก็สมเหตุสมผล
“ไม่อยากถกเถียง? ศิษย์หลาน เจ้าเป็นคนทรยศ มีคุณสมบัติอันใดจะมาพูดกับเราอีก?”
เขากล่าวพลางชี้ซูอี้บนหมู่เมฆ “ให้เจ้าหนุ่มนี่ช่วยหรือ? แต่ข้าผู้นี้กลับคิดว่าเขาจะมิอาจรอดจากที่นี่ได้วันนี้!”
น้ำเสียงมาดร้ายของเขาสะเทือนทั่วแดนดิน
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “อาจารย์ลุง ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าสำคัญตนผิดไป หากทำให้คุณชายของข้ามิชอบใจเข้า ไม่เพียงเจ้าจะตาย แต่ทุกคนที่นี่จะได้รับผลกระทบไปด้วยแน่!”
ทุกคนตะลึงอึ้งแทบไม่อยากเชื่อหูตน
ใบหน้าของบรรพชนจิ้งเชวียถมึงตึงขึ้นมา “งั้นข้าก็อยากเห็นนัก!”
เขาสะบัดแขนเสื้อ หนึ่งดาบวิถีเจิดจรัสพุ่งออกมาฟาดฟันใส่ซูอี้
ปราณดาบรุ่งโรจน์ชัชวาลเยี่ยงดวงตะวันแผดเผา ภาวะดาบแพร่กระจายทั่วทศทิศ!
อำนาจในขอบเขตคืนสู่สามัญทำให้ผู้คนมากมายในบริเวณนั้นประหลาดใจตื่นเต้น
ทว่าความตื่นเต้นก็คงอยู่บนใบหน้าพวกเขาในพริบตาเท่านั้น
เพราะเมื่อซูอี้ซึ่งนั่งเหนือเมฆมงคลเคาะนิ้วอย่างเรียบง่าย
ราวกับเทพเซียนแตะเบา ๆ บนประตูสวรรค์
แล้วปราณดาบเจิดจรัสนั้นก็พลันสลายแหลกดุจอสรพิษที่ถูกโจมตีจุดตาย
ทุกคนล้วนตกตะลึง เสียงสูดหายใจเฮือกดังแทรก
ผู้พบเห็นล้วนขนลุกด้วยความเสียวสันหลังวาบ
ในโถงวิถีแปรตะวัน บรรพชนจิ้งเชวียผู้มีการฝึกฝนในขอบเขตคืนสู่สามัญนั้นนับได้ว่าเป็นพลังต่อสู้สูงสุดเหนือผู้ใดในภูมิดาราหมื่นโฉลกแล้ว และยังเป็นกำลังหลักในขอบเขตราชันแห่งภูมิอีกด้วย!
ทว่ายามนี้ ดาบที่เขาฟาดฟันออกไปกลับถูกทำลายลงเพียงหนึ่งเคาะนิ้ว ใครเล่าจะมิตะลึงอึ้ง?
“เจ้าลองดาบข้าด้วยสิ”
ซูอี้โบกมืออย่างหาแยแสไม่
ฉัวะ!
อากาศแตกเป็นร่อง
ปราณดาบสายหนึ่งวูบไหวจากอากาศธาตุและหายวับไป
ในขณะที่ทุกคนกำลังงุนงงอยู่นั้น บรรพชนจิ้งเชวียพลันอุทานอย่างตื่นตะลึง “เจ้า… เจ้า…”
เสียงของเขาขาดช่วง
ทุกคนต่างตะลึงเมื่อเห็นว่าที่หว่างคิ้วของบรรพชนจิ้งเชวียพลันแยกเป็นร่อง
และทันใดนั้น ร่องก็แยกลงมาถึงดั้งจมูก คาง คอและอก
ร่างของเขาเป็นดั่งแผ่นกระดาษที่ถูกตัดครึ่ง!
เปรี้ยง!
ร่างซึ่งแยกเป็นสองซีกระเบิดเป็นธุลีล่องลอยไปบนเวหา
หนึ่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญถูกสังหาร!
แต่แรกจนสิ้น เขาไม่มีกระทั่งเวลาจะทันต่อต้าน ก่อนจะถูกสังหารในดาบเดียว!
คิดให้หัวแตกตายก็ไม่มีผู้ใดคาดได้แน่ ว่าตัวตนเยี่ยงบรรพชนจิ้งเชวียจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเพียงนี้!
เจ้าโถงเวินจือซินนิ่งค้างกับที่ ใบหน้าซีดขาวเยี่ยงกระดาษ
ชายหนุ่มผู้นี้คือผู้ใด?
ไยความแข็งแกร่งของเขาจึงร้ายกาจนัก?
“ข้าเตือนอาจารย์ลุงไม่ให้สำคัญตัวผิดแล้ว แต่ท่านก็ยังมิฟังข้า”
เมิ่งฉางอวิ๋นกระซิบ “เหตุใดต้องสนใจด้วย”
บรรยากาศพลันกดดันเครียดขึ้ง
ความกลัวแผ่กระจายไปในใจของเหล่าผู้ถืออำนาจทั้งหลายดุจพิภพถล่มคลื่นยักษ์ซัดสาด
ร่างของคนบางผู้สั่นสะท้านเกินควบคุม
โดยเฉพาะชายชราชุดขาวซึ่งถูกซูอี้ซัดกระเด็นไปก่อนหน้านี้ อาภรณ์ของเขาชุ่มเหงื่อเย็นเฉียบ หัวใจสะท้านสั่น
ในที่สุดเขาก็สำเหนียกว่าก่อนหน้านี้ที่เขามิตาย โชคดีเพียงใด!
“คุณชาย ไปกันเถิดขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นมิอยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป
เขาไม่อยากหวนคืนสู่สถานที่วิปโยคนี้อีกชั่วชีวิต
จริงที่ว่าไว้ทุกข์ผู้ตายยังดีเสียกว่าหัวใจตายด้าน
ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดยั้ง
ในสำนัก ตัวตนเช่นบรรพชนจิ้งเชวียนั้นเป็นกำลังต่อสู้สูงสุดแล้ว
แต่เขากลับถูกสังหารทันทีด้วยหนึ่งดาบ
ใครเล่าจะกล้าหยุด?
“ช้าก่อน”
เซวียจ่างอีเงียบสนิทมาแต่เมื่อครู่ ใบหน้าก้มงุด ดูสงบเงียบอย่างยิ่งราวกับกลัวถูกซูอี้เห็นเข้า
ยามนี้ เมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ เขาก็ตะโกนลั่นอย่างลนลาน
“เจ้าจะทำอันใด?!”
เขาดูตื่นตระหนกพรั่นพรึง หันไปตะโกนใส่เวินจือซิน “พวกเจ้ายังนิ่งทื่อเพื่ออันใด หากข้าตาย โถงวิถีแปรตะวันของเจ้าจะมิอาจหนีคำครหาได้!”
สีหน้าของเวินจือซินแปรเปลี่ยน
จริงดังว่า หากผู้อาวุโสจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมาตายที่นี่ได้ เขาย่อมต้องเป็นผู้แบกรับโทสะของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ!
ยามนี้ เวินจือซินดูราวไขว่คว้าหาเส้นฟางช่วยชีวิต ก่อนจะกล่าวกับเมิ่งฉางอวิ๋นอย่างรวดร้าว “อาจารย์อาเมิ่ง ท่านเกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสท่านนี้ให้หยุดที่นี่ได้หรือไม่? โถงวิถีแปรตะวันของเรา… มิอาจรับผลที่ตามมาได้ขอรับ!”
เหล่าผู้อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเงียบกริบ
ไม่มีผู้ใดคาดว่าเจ้าโถงจะขอความช่วยเหลือจากเมิ่งฉางอวิ๋น ณ ขณะนี้!
ทว่าหลังจากคิดให้ดี ก็ต้องยอมรับว่าการกระทำของเจ้าโถงถูกต้องที่สุด ขอเพียงเมิ่งฉางอวิ๋นพยักหน้า หายนะฆ่าฟันนี้ก็อาจหยุดลงที่นี่ได้!
เมิ่งฉางอวิ๋นนิ่งกับที่ รู้สึกน่าขันและเศร้าหมองอย่างมิอาจพรรณนา
ก่อนหน้านี้ ศิษย์ร่วมสำนักเหล่านี้ปรามาสเขาเป็นผู้ทรยศ พวกเขาแต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะมัดเขาใส่พานประเคนขอรางวัลจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิด้วยตนเองเต็มแก่
เรื่องที่พวกเขามิเห็นหัว เขายังพอทนไหว ทว่าใครเล่าจะคิดว่าพวกเขาจะมาร้องขอความช่วยเหลือจากเขาเสียดื้อ ๆ เพื่อหวังให้เขามาช่วยคลายข้อพิพาทกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ช่างน่าขำนัก!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดส่ายหน้าชั่วขณะมิได้
พวกเขาช่วยสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจัดการกับเมิ่งฉางอวิ๋นอย่างหาโอนอ่อนไม่
ทว่ายามนี้ยังอยากให้เมิ่งฉางอวิ๋นช่วยแก้หายนะให้คนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิอีก ช่างเป็นสำนักห่วยแตกเสียนี่กระไร!
………………..