บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 126 คู่ควรกับดาบของซูผู้นี้
ภายในลานฝึกฝน บรรยากาศอันเคร่งเครียดและหมองหม่นแพร่กระจาย
เพียงสองการโจมตี ผู้คนต่างได้เห็นถึงพลังอำนาจของซูอี้
ทางด้านฉินเหวินเยวียนและปรมาจารย์ผู้อื่น ต่างพร้อมใจกันขมวดคิ้ว
เมื่อคืนที่ผ่านพ้นซูอี้ใช้หนึ่งดาบเอาชนะโจวฮวายชิว แม้ว่าพวกเขาจะประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก
เพราะในสายตาปรมาจารย์เช่นพวกเขา ตัวตนภายใต้ปรมาจารย์ไม่ควรค่าให้ต้องใส่ใจ!
แต่ยามนี้พบเห็นมู่ชางถูลงมือ ทว่ากลับไม่อาจจัดการซูอี้โดยทันทีได้ เรื่องนี้ทำให้ฉินเหวินเยวียนหนาวยะเยือกในหัวใจ
“หรือเพราะแบบนี้เขาจึงกล้าท้าทายจวนผู้ว่าการเขตปกครองของข้าสินะ?”
ฉินเหวินเยวียนเผยสีหน้าอันแปรปรวน
ผู้อื่นที่นี่ต่างประหลาดใจไม่แพ้กัน ใจพวกเขาเกิดหวาดหวั่นขึ้นมา
ผู้ใดกันจะนึกคิด คนหนุ่มผู้หนึ่งอายุราวสิบเจ็ดปี จะแข็งแกร่งถึงขนาดเผชิญหน้ากับตัวตนอันสูงสุดของสำนักดาบชิงเหอได้?
“เจ้าคู่ควรแก่การให้ข้าใช้คมดาบแท้จริง!”
ในลานฝึกฝน มู่ชางถูที่เงียบงันไปนาน น้ำเสียงกล่าวออกด้วยอาการสงบ
นัยน์ตาพลันเปล่งประกาย
ทิ่มแทง!
แม้ตัวเขาจะมีร่างที่เล็กเตี้ย กระนั้นสายตากลับคมกล้า ประหนึ่งดาบแห่งสวรรค์ปรากฏ
อากาศถูกตัดผ่านในพริบตา เกิดเป็นเสียงสายลมกรีดร้อง
มันคือเจตจำนงแห่งวิถียุทธ์ และพลังจิตอันแน่วแน่ที่ปะทุระเบิดออกเป็นพลังแห่งดาบอันยอดเยี่ยม
“ข้าก้าวผ่านอุปสรรค มรสุม ความยินดี และความทุกข์ทั้งหลายมานับไม่ถ้วนในชีวิต พบเจอตัวตนมาก็มาก แต่กลับไม่เคยได้พบเจออัจฉริยะเช่นเจ้า ก่อนจะก้าวลงจากตำแหน่ง ถือเป็นโชคของข้า มู่ชางถูที่ได้สู้กับคนเช่นเจ้า!”
ประกายแสงดาบในดวงตามู่ชางถูยิ่งมากก็ยิ่งรุนแรง สภาวะปราณวิญญาณพวยพุ่งสูงเสียดฟ้าเกินกว่าผู้ใดจะจินตนาการคาดคิดได้
ร่างนั้นเห็นได้ชัดว่าเตี้ยเล็ก แต่ในสายตาผู้คน ชั่วขณะนี้ มันราวกับเป็นขุนเขาใหญ่จากพื้นดิน ตั้งตระหง่านค้ำสวรรค์!
รอบลานฝึกฝนเตาหลอมขจี ปราณวิญญาณควบแน่นกดดันผู้คน
ฉินเหวินเยวียนและปรมาจารย์ผู้อื่นต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียด ปราณนี้แข็งแกร่งเกินไป!
“ปราณวิญญาณเช่นนี้ รวมกับพลังจิตที่ผสานกับวิถีดาบ ร่างกายคงเปรียบดังเตาหลอม ที่พร้อมกลืนกินแม้ก้อนทอง! ไม่นึกเลยว่าเจ้าสำนักมู่จะก้าวถึงขั้นนี้ได้…”
หยวนอู่ทงเกิดประทับใจ
สิ่งใดคือการกลืนกินก้อนทอง?
อวัยวะภายในจะแข็งแกร่งเปรียบดังเตาหลอม แม้เป็นศิลาหรือทองคำล้วนหลอมเหลวได้!
จางจือเหยียนหัวเราะเบา สายตามองยังซูอี้อย่างเวทนา ตัวเขาได้เห็นแล้ว ว่ามู่ชางถูไม่คิดยับยั้งฝีมืออีกต่อไป
แม้เป็นเขาที่ลงมือตอนนี้ ก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้แก่มู่ชางถู!
บรรยากาศอันอึดอัด กลุ่มคนที่รับชมแตกตื่นต่ออำนาจที่มู่ชางถูครอบครอง กลุ่มคนรุ่นเยาว์เผยประกายเฝ้าฝัน
มันเปรียบดังตัวตนเทพ!
ขณะทุกคนประหลาดใจ ชั่วเวลานี้ ซูอี้ยังคงนิ่งเฉยเหมือนดังเคย หาได้เผยอาการแตกตื่นใดไม่
เคร้ง!
มู่ชางถูเอื้อมมือคว้าดาบยาวสีดำจากฝักดาบไม้สนที่ด้านหลัง มันถูกดึงออกพร้อมเสียงคมกล้า
ชิ้ง!
“ดาบนี้นามว่าพันคมกล้า ตลอดชั่วระยะเวลาสามสิบปี มันได้สังหารศัตรูข้าไปหนึ่งร้อยหกสิบสามคน และไม่เคยทำให้ข้าผิดหวังเลย”
ด้วยดาบในมือ ท่าทีของมู่ชางถูจึงยิ่งสงบ แต่แม้ตัวคนจะสงบ ทว่าสายตากลับคมกริบจนทำผู้อื่นไม่กล้าสบตา
ซูอี้พยักหน้ากล่าวตอบ “ยืนหยัดค้ำกำแพง*[1]งั้นหรือ เป็นนามที่ไม่เลว หากเจ้าบีบบังคับให้ข้าใช้ดาบได้ เช่นนั้นวันนี้จะให้รับชม ว่าวิถีดาบแท้จริงคือสิ่งใด”
ผู้คนต่างเงียบงัน
ตัวตนเช่นฉินเหวินเยวียน จางจือเหยียน และผู้อื่นแทบหลุดหัวเราะ คนหนุ่มผู้นี้มีความหาญกล้าเล่นคำ!
มู่ชางถูหยุดกล่าววาจาอื่นใด พร้อมเหวี่ยงดาบออกซึ่งหน้า ส่งปราณดาบโผทะยานเข้าหาซูอี้เป็นครั้งที่สาม!
ตู้ม!
บรรยากาศหนักอึ้งแต่เดิมของลานฝึกฝน ปะทุระเบิดออกในพริบตา มันไม่อาจต้านรับพลังอำนาจจากร่างของมู่ชางถูเอาไว้
รุ่นเยาว์บางส่วนกระทั่งเกิดหวาดกลัวขึ้นมา
ในสายตาพวกเขา การโจมตีนี้ของมู่ชางถูนั้นเปรียบดังขุนเขายักษ์เคลื่อนเข้าหาบดขยี้ ศักยภาพของมันมากพอที่จะปกคลุมฟากฟ้า ซึ่งเป็นเหตุให้แม้ผู้คนอยู่ไกลห่างยังยากรู้สึกหายใจ
กลุ่มคนผู้ทรงอำนาจต่างสูดลมหายใจเข้าลึก
ห้วงความว่างเปล่าเดือดพล่าน กระแสอากาศแปรปรวน มู่ชางถูประหนึ่งเทพมาเยือนโลก!
ชิ้ง!
ปราณดาบดุดันประหนึ่งมังกร แหวกผ่านผืนฟ้า ก่อนที่ปราณดาบจะถึงเป้าหมาย เจตจำนงดาบเสียดแทงกระดูกปรากฏปกคลุมฟ้าดิน
ปรมาจารย์ในที่นี้ล้วนเกิดหวาดหวั่น
ลำพังเพียงปราณดาบนี้ มู่ชางถูจึงยังสามารถยืนหยัดในบัลลังก์อันดับหนึ่งแห่งผู้บ่มเพาะวิถีดาบประจำมหานครอวิ๋นเหอได้ เพราะต่อให้เป็นพวกเขาผู้เป็นปรมาจารย์เช่นเดียวกัน ก็ยังไม่กล้ารับดาบนี้
ทว่าซูอี้ไม่แม้หวั่นไหว
ด้วยหนึ่งมือไพล่ด้านหลัง อีกหนึ่งมือยกขึ้น ฝ่ามือและนิ้วรวมกันกำเป็นหมัดส่องแสงเป็นประกาย ราวกับปราณวิญญาณจากทั้งกายปะทุ โคจรบรรจบไปยังหมัด
จนกระทั่งปราณดาบโจมตี หมัดขวาของเขาจึงต่อยออกประหนึ่งตีกลองในห้วงความว่างเปล่า ปะทะเข้ากับปราณดาบที่ไร้เทียบเปรียบ
ตูม!
เสียงเลือนลั่นแดนดิน ดังก้องทั่วสิบทิศ คลื่นปราณวิญญาณมโหฬารวาดผ่านทั่วทิศทาง ปะทุสู่คลื่นอากาศกระจายออก
ภาพฉากอันชวนตื่นตะลึงบังเกิด ปราณดาบของมู่ชางถูซึ่งสับฟันอย่างสุดแรง ถูกสลายด้วยกำปั้นของซูอี้!
พริบตาต่อมา กระทั่งดาบพันคมกล้าสีดำก็ยังคล้ายไม่อาจแบกรับได้ไหว จนเกิดเสียงฮึมฮัมลั่นดังขึ้น
สีหน้ามู่ชางถูเกิดประกายความประหลาดใจ ทว่าไม่ใช่แตกตื่น
เขาเหวี่ยงแขนขับไล่แรงสะท้อนกลับ
ดาบพันคมกล้าลากผ่านเป็นวงโค้งดาบในอากาศ สลายพลังหมัดของซูอี้ที่ยังหลงเหลือสะท้อนมา
“ดาบเจ้ายังไม่ดีพอ”
ซูอี้พลันหัวเราะเสียงเบาออกมา ร่างเงาคลี่กาง พร้อมลั่นการโจมตีออก
สภาวะปราณวิญญาณแปรเปลี่ยนกะทันหันอีกครั้ง ราวกับคมดาบอันไร้ใดเทียบเปรียบปรากฏจากฟากฟ้า มันเข้าถึงพลังอันสูงสุดและแข็งแกร่งอย่างยิ่งใหญ่
เผชิญการโจมตีนี้มีหรือมู่ชางถูจะเฉยชาได้?
ชั่วพริบตา ดาบฟาดฟันออกเก้าครั้งต่อเนื่อง ดาบแล้วดาบเล่าเผยตัว แต่ละดาบยิ่งเท่าทวีทรงอำนาจ ราวกับพายุที่พัดออกมาลูกแล้วลูกเล่า สกัดกั้นและโต้ตอบซูอี้ราวกับห่าฝนที่แหลมคมถึงตาย
ซูอี้เหวี่ยงหมัดออกต่อเนื่องเช่นกัน หมัดต่อยเก้าครั้ง แต่ละครั้งจะยิ่งหนักมือ ทั้งเรียบง่ายและงดงาม ทว่ากลับไม่เกิดปรากฏการณ์โดดเด่นเช่นดาบของมู่ชางถู
กระนั้นกลับไร้เทียมทาน เป็นพลังอันท่วมท้นที่ไม่อาจหยุดยั้งได้!
เสียงระเบิดดังประหนึ่งสายฟ้าอสนีบาตร่วงหล่น กระจัดกระจายระหว่างคนทั้งสอง
ภาพฉากที่ชวนสะพรึงซึ่งมู่ชางถูได้เห็นคือดาบทั้งเก้าที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นรุนแรงเปรียบดังคลื่นยักษ์ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหมัดของซูอี้ พวกมันกลับถูกบดขยี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ดาบพันคมกล้าส่งเสียงโหยหวนสั่นเทา ราวกับไม่อาจแบกรับได้ไหวอีก!
“น่าทึ่งนัก!”
มู่ชางถูสูดลมหายใจเข้าลึก ดาบตั้งท่าแปรเปลี่ยนอีกครั้ง
เคร้ง!
ดาบพันคมกล้าแปรเปลี่ยนเป็นดาบแสงสีดำยาว แม้ว่าดูไม่ตื่นตาเท่าเหล่าดาบก่อนหน้า ทว่าดาบแสงครั้งนี้ราวกับควบแน่นขึ้นอย่างถึงที่สุด ทั้งยังอันตรายยิ่งกว่าการโจมตีที่เคยปล่อยออก
หลังแสงดาบสีดำควบแน่นเต็มที่ มู่ชางถูก็ไม่รีรอ
หนึ่งดาบสับฟัน ประหนึ่งน้ำหมึกคิดแบ่งฟากฟ้า กระแสสายฟ้าเคลื่อนตัว สายลมพัดพารวดเร็ว ภาพอันงดงามบังเกิดเบื้องบนฟ้า
ยามปรมาจารย์ผู้อื่นพบเห็น หัวใจพวกเขาเกิดรู้สึกหนาวยะเยือก
ดาบนี้คือไม้ตายแท้จริงของมู่ชางถู!
“น่าสนใจดี”
ซูอี้หัวเราะ
เผชิญหน้ากับดาบที่ทุ่มเทหมดทุกสิ่งเช่นนี้ แขนทั้งสองก็กางออกเตรียมประสานต่อกัน ยามนี้เขาไม่คิดจะใช้พลังสะบั้นพลังอีกแล้ว แต่เป็นประกบรับดาบพันคมกล้าเอาไว้ด้วยฝ่ามือ!
ผู้ชมทั้งมวล พลันต้องแตกตื่นตัวสั่นเทา
“เบิกออก!”
มู่ชางถูกัดฟันกรอดสะอึกคำเสียงเบา
แสงสีดำขยายใหญ่ ดาบพันคมกล้าปะทุเอาพลังอันชวนสะพรึงออกมาประหนึ่งพายุ ดาบนี้สะเทือนฟากฟ้า เสียงดิ้นรนดังเลือนลั่น ราวคิดหลุดพ้นจากฝ่ามือเป็นอิสระ
ซูอี้เกิดรู้สึกราวกับภูเขาไฟปะทุขึ้นในฝ่ามือ ผิวหนังรู้สึกเจ็บซ่านราวถูกทิ่มแทง ปราณวิญญาณและเลือดในกายกำลังเผยร่องรอยการถูกสะกดและแข็งตัว
กระนั้นเขากลับหัวเราะดัง พร้อมปะทุพลังออกมา
“สยบ!”
ภาพฉากที่ได้เห็นทำผู้คนตื่นตะลึง
ระหว่างฝ่ามือของซูอี้ ดาบพันคมกล้าพยายามดิ้นรนประหนึ่งมังกร ก่อนจะถูกสะกดเอาไว้อีกครา
สุดท้ายแล้ว มันกลับไม่ไหวติงอีกต่อไป!
เฮือก!
กลุ่มคนที่รับชมต่างต้องสูดลมหายใจเข้าลึก
ด้วยเพียงเลือดเนื้อสองมือ ซูอี้ถึงกับสะกดดาบของมู่ชางถูเอาไว้ได้!
ความสามารถในการใช้มือเปล่าต้านรับสิ่งมีคมเอาไว้ ผู้ฝึกตนในโลกล้วนทราบกันดีว่ามีอยู่ กระนั้นผู้ใดจะหาญกล้าลองทำกัน? ใช้ร่างกายมนุษย์ธรรมดา คว้ารับดาบวิญญาณของตัวตนระดับปรมาจารย์เอาไว้มันไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ทุกคนยังทราบ ว่าซูอี้อยู่เพียงขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นต้น กระนั้นกลับกระทำสิ่งที่แม้แต่ปรมาจารย์ยังไม่กล้ากลับกระทำโดยง่ายดาย ซึ่งเกินกว่าที่สามัญสำนึกของผู้คนจะตระหนักนึกคิดได้
“แข็งแกร่งยิ่งนัก! คนหนุ่มผู้นี้เป็นเทพเซียนหรืออย่างไร? หากไม่แล้วจะหาญกล้ารับดาบนั้นด้วยมือเปล่าได้เช่นไร!”
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายขณะนี้ต่างตกตะลึงหนังหัวแทบชา
ฉินเหวินเยวียน จางจือเหยียน และผู้อื่นต่างแสดงสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งจมห้วงน้ำลึก ตอนนี้พวกเขาถึงค่อยตระหนักได้ว่าปรามาสซูอี้ไปอย่างร้ายแรง!
คนหนุ่มเช่นนี้ ในโลกหล้าหาแล้วอาจไม่มีด้วยซ้ำ!
ใจของหยวนอู่ทงพรั่งพรู หรือชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นเซียนจริง?
ไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้!
“มีอื่นใดอีกหรือไม่?”
ที่ในลาน ซูอี้เอ่ยถาม สีหน้ายังคงนิ่งเฉยเหมือนดังเคย
นับตั้งแต่หวนคืนความทรงจำ เขายังไม่เคยเจอผู้ใดที่สามารถยืนหยัดต่อหน้าตนเองได้
มู่ชางถูซึ่งอยู่ตรงหน้า อาจนับได้เป็นหนึ่งอย่างยากลำบาก ทว่าก็มากพอกระตุ้นความคิดต่อสู้ของเขา
“มี!”
มู่ชางถูสูดลมหายใจเข้าลึก ปราณและโลหิตไหลเวียนเดือดพล่าน
ตู้ม!
บรรยากาศรอบด้านพื้นที่ โดยตัวเขาเป็นศูนย์กลาง มันราวถูกบดขยี้จนถล่มพังทลาย
เคร้ง!
ชั่วขณะนี้เอง มู่ชางถูได้ดึงเอาดาบพันคมกล้าออกจากระหว่างมือของซูอี้ พร้อมทิ่มแทงออกเป็นร่างเงาดาบวงกลมในพริบตา
ราวกับคลื่นวงน้ำที่ไม่อาจมองเห็น มันงดงามเป็นประกาย ชั้นแล้วชั้นเล่าแผ่ขยายเข้าหาซูอี้
แม้ว่าพลังนี้จะดูอ่อนนุ่มและงดงาม ราวกับสายลมเย็นเป็นประกาย เชื่องช้า ทว่าฉินเหวินเยวียนและปรมาจารย์ผู้อื่น ต่างรู้สึกใจสั่นสะท้าน
ดาบคลื่นวงน้ำ!
เคล็ดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์ของมู่ชางถูที่เก็บไว้ก้นหีบ ข่าวลือกล่าวขานว่าตัวเขานั่งแช่ในน้ำพุชะล้างดาบยาวนานหลายปี รับชมหมู่เมฆรวมตัวและเลือนหายไปบนฟากฟ้า รับชมคลื่นวงน้ำเกิดและแตกดับ จนได้รับ ‘ดาบคลื่นวงน้ำ’ นี้มาครอบครอง
“คุมขัง!”
มู่ชางถูตวาดคำดุดัน
ท่ามกลางสายตาผู้คน เงาดาบคลื่นวงน้ำเปรียบดังห่วงโซ่บางที่เกิดขึ้นโดยผลึกแก้วกระจ่าง พวกมันคือปราณดาบที่แปรสภาพและอัดแน่นด้วยพลังอันชวนสะพรึงไร้สิ้นสุด
ชั่วขณะนี้ ปราณดาบคลื่นวงน้ำเปรียบดังโซ่คุมขัง ยึดกายซูอี้ไว้อย่างแน่นหนา ขนาดที่ไม่อาจเป็นอิสระไปได้
“จะเอาอะไรมาชนะ?”
หลายผู้คนที่การฝึกฝนต่ำเตี้ย แม้ไม่เข้าใจถึงความลึกลับของสิ่งที่พบเห็นตรงหน้า แต่ยามได้เห็นซูอี้ติดชะงัก พวกเขาก็เกิดสดชื่นขึ้นมา
แต่แล้วเพียงพริบตา ใจกลางร่างเงาดาบคลื่นวงน้ำ ซูอี้ซึ่งติดอยู่นั้นพลันหัวเราะและกล่าวคำ
“ไม่เลว คู่ควรให้ซูอี้ผู้นี้ใช้ดาบ!”
ชิ้ง!
ในมือของซูอี้ พลันปรากฏดาบจากความว่างเปล่า พร้อมสะบั้นห่วงโซ่อันกระจ่างเลือนหาย
ตามด้วยการทิ่มแทงราวเดาสุ่ม
โลกหล้าเปรียบดังผืนผ้าใบ ที่ต้องสยบภายใต้ดาบเล่มนี้
เมื่อใดดาบถูกชักออก ทั้งชีวิตและความตายก็ไม่อาจรอดพ้น
มันคือ ‘หลอกล่อสังหาร’ แห่งเพลงดาบสุดปรีดี
ในชั่วพริบตา ปราณดาบโซ่อันนับไม่ถ้วนเปรียบดังภาพมายา เลือนหายไปประหนึ่งฟองคลื่น พายุดาบคลื่นวงน้ำอันชวนสะพรึงกระจัดกระจาย ลอยลิ่วไปทั่วแปดทิศทาง
เคล็ดวิชาก้นหีบของมู่ชางถู ‘ดาบคลื่นวงน้ำ’ ยามนี้ถูกคลี่คลายด้วยหนึ่งดาบ เลือนหายประหนึ่งหมอกควัน!
มู่ชางถูแตกตื่น ตัวเขาอดไม่ได้จนต้องถอยฝีเท้ากลับหลายก้าว
ไม่ไกลห่าง ซูอี้ยืนพร้อมดาบในมือ ถ้อยคำกล่าวเฉยชา “นี่คือวิถีดาบของข้า เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ทั้งภายในและภายนอกลานฝึกฝนเตาหลอมขจี ผู้คนต่างสั่นสะท้าน สีหน้าบังเกิดแปรเปลี่ยน
[1] ชื่อดาบพันคมกล้า ออกเสียงพ้องกับ ค้ำกำแพง จึงเป็นการเล่นคำ