บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1260: เสียใจสำนึก
ตอนที่ 1260: เสียใจสำนึก
“ก็จริงอยู่ที่ในภูมิดาราหมื่นโฉลกนี้ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเป็นตัวตนใหญ่โตเหนือผู้ใด และโถงวิถีแปรตะวันก็หาเก่งกล้าล่วงเกินได้ไม่”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้ก็ได้ร่อนลงจากหมู่เมฆามาสู่เบื้องล่างแล้ว
ภาพนี้ทำให้เซวียจ่างอีตกใจแทบสะดุ้ง อุทานออกมา “ข้า… ข้ามาจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมินะ เจ้า…”
ซูอี้ยิ้มเยาะกล่าวขัด “ศิษย์ลูกหลานของเติ้งจั๋วเจ้าแก่จมูกโคแย่ลงทุกรุ่นแล้วจริง ๆ”
เติ้งจั๋ว!
หนึ่งในยักษ์ใหญ่อันเก่าแก่ที่สุดในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งอยู่ในจักรวาลพร่างดาวมาแต่เนิ่นนาน
เป็นตัวตนอันเทียบได้กับชาวประมงหรือจิตรกร
เมื่อเห็นซูอี้ขานชื่อตัวตนลายครามจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิออกมา ทุกผู้ที่ได้ยินก็อดตัวสั่นมิได้
เซวียจ่างอีกล่าวเสียงเบาราวปลงตก “ต่อหน้าทัศนาจารย์ ราชันแห่งภูมิคนใดเล่าจะไม่หวาดกลัว…”
เสียงของเขาหนักอึ้งขมขื่น
ปรากฏว่าเขารู้ที่มาของซูอี้แล้ว!
ทัศนาจารย์!?
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกผู้ก็ราวถูกอสนิบาตฟาดทึ่มทื่อแน่นิ่งกับที่
บรรยากาศพลันเงียบสงัด แม้แต่เข็มตกก็ยังได้ยิน
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว สมญาทัศนาจารย์เป็นของบุคคลเพียงหนึ่ง
นั่นคือตัวตนในตำนานแห่งโลกาทัศนา!
นับแต่อดีตกาลจวบปัจจุบัน ทัศนาจารย์เป็นดั่งตำนานไร้พ่าย ยักษ์ใหญ่วิถีดาบซึ่งไร้ผู้ใดเทียบได้!
ต่อให้เขาหายไปจากส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวนานแสนนานแล้วก็ตาม
ทว่าจวบปัจจุบัน ประวัติอันเป็นตำนานของทัศนาจารย์ก็ยังคงแพร่กระจายทั่วทุกมุมจักรวาลพร่างดาว
มีตัวตนบรรพกาลมากมายที่รำพึงว่าการได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกับทัศนาจารย์ช่างแสนเป็นวาสนา เพราะพวกเขาได้เห็นตำนานอันทำให้ทั่วทุกยุคสมัยต้องตกตะลึงกับตา
แต่ขณะเดียวกัน นั่นก็เป็นโชคร้าย
เพราะไม่ว่าใครก็ย่อมถูกเขากลบรัศมีเสียสิ้น!
และยามนี้ เซวียจ่างอีกลับบอกว่าชายหนุ่มชุดเขียวคือทัศนาจารย์ คาดเดาได้เลยว่าทุกผู้ที่นี่ตะลึงตกใจกันเพียงไร
“มากับข้า”
ซูอี้มองเซวียจ่างอี เมินการเปลี่ยนสีหน้าของคนทุกผู้
หัวใจของเซวียจ่างอีบีบตัว สีหน้าแปรเปลี่ยนพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าทัศนาจารย์จะพาผู้น้อยไปหนใดหรือ?”
ซูอี้ว่า “แน่นอน สำนักเจ้าไง”
เซวียจ่างอีตะลึงอึ้ง กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่าน… หรือท่านคิดจะ…”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ถูกต้อง อย่างที่เจ้าคาดแหละ”
เซวียจ่างอี “…”
ทั่วร่างของเขานิ่งทื่อ วิญญาณหลุดลอย
“เฒ่าเมิ่ง ยังมีสิ่งใดต้องการพูดหรือไม่?”
ซูอี้มองเมิ่งฉางอวิ๋น
เมิ่งฉางอวิ๋นลังเลชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่ขอรับ”
เขาเดินไปหาสิงเฟิง ชายในอาภรณ์นักรบ และกล่าวว่า “สิงเฟิง รักษาตัวด้วย! หากภายหน้าเจ้าไม่อาจอยู่ในสำนักได้ ก็มาหาข้านะ!”
ก่อนหน้านี้ สิงเฟิงลุกขึ้นพูดปกป้องเขา เขาค่อนข้างซาบซึ้งในใจไม่น้อย และก่อนจาก เขาก็ควรแสดงความขอบคุณ
กล่าวจบ เมิ่งฉางอวิ๋นก็นำยันต์หยกชิ้นหนึ่งมอบให้สิงเฟิง
สิงเฟิงแย้มยิ้ม กล่าวรับ “ข้าจะเชื่อฟังอาจารย์อา!”
เขารับยันต์หยกไปอย่างเคร่งขรึม กล่าวว่า “อาจารย์อา ข้าเชื่อว่าท่านจะพาบรรพชนเยว่หงและศิษย์น้องไป๋เหอกลับมาได้แน่ขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นตบบ่าเขา มิกล่าววาจาใดอีก
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้หันหลังจากไป
เมิ่งฉางอวิ๋นตามเขาไป
อกของเซวียจ่างอีกระเพื่อมขึ้นลงชั่วขณะ ทว่าสุดท้ายก็ตามไปด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
เขาไม่กล้าหลบหนี
เพราะรู้แก่ใจว่าไม่อาจหนีพ้น
ไร้ทางเลือกอื่นนอกจากต้องร่วมมือ!
“อาจารย์อาเมิ่ง!”
ทันใดนั้น เวินจือซินก็กล่าวขึ้น ใบหน้าเปี่ยมความอับอาย ก้มหน้าลงกล่าว “ท่าน… รักษาตัวด้วย!”
เมิ่งฉางอวิ๋นหาได้สนใจเขาแต่ต้นจนจบไม่
ไม่นานนัก ร่างของซูอี้และคณะก็ลับหายไป
เหล่าผู้ถืออำนาจในโถงวิถีแปรตะวันในเหตุการณ์ค่อย ๆ คืนสติหลังผ่านไปเนิ่นนาน
“ไม่น่าเล่า เขาจึงสามารถฆ่าบรรพชนจิ้งเชวียได้เพียงชั่วเคาะนิ้ว ที่แท้ตัวตนในตำนานก็หวนคืน…”
บางผู้กล่าวอย่างเลื่อนลอย
“ไม่ใช่ว่าคำร่ำลือกล่าวว่าร่างเวียนวัฏของใต้เท้าทัศนาจารย์ในภูมิดาราฟ้าดินเพิ่งอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเองหรอกหรือ? ไฉนจึงน่ากลัวขนาดนั้นเล่า?”
บางผู้ดูสับสน
“เพราะเขาคือทัศนาจารย์ไง ดังนั้นย่อมไม่ใช่ตัวตนที่ใช้ขอบเขตชี้วัดได้!”
บางผู้พึมพำอย่างขมขื่น
“หากอาจารย์อาเมิ่งบอกแต่แรกว่าเขาในยามนี้รับใช้ใต้เท้าทัศนาจารย์อยู่ เราหรือ… จะกล้าทำเช่นนี้!”
บางผู้ตีอกชกหัว เสียใจสำนึก
“ในสายตาผู้ฝึกตนนับร้อย ๆ ล้าน เราทั้งหลายเลิศเลอสูงส่ง ทว่าในสายตายักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวเยี่ยงสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เราทั้งหลายล้วนไร้คุณสมบัติพอจะอยู่ในสายตา”
บางผู้กล่าวอย่างจิตตก “เช่นเดียวกัน ตัวตนเช่นเรานั้นห่างไกลจะล่วงเกินทัศนาจารย์ได้ ซึ่ง… น่าเศร้าที่สุด!”
หัวใจทุกผู้รวนเร ปนเปด้วยสารพัดความรู้สึก
ทันใดนั้น ใครบางคนก็กล่าวขึ้น “ว่ากันจริง ๆ ก็คือ ใต้เท้าทัศนาจารย์ทุกวันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏ เมื่อปีก่อน เขามีการฝึกฝนอยู่เพียงขอบเขตจักรพรรดิ หาได้อยู่ในสายตาคนทุกผู้ไม่ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าใต้เท้าทัศนาจารย์ยังมิได้ฟื้นความแข็งแกร่งถึงจุดสมบูรณ์พร้อม!”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย คนผู้นี้ก็กล่าวต่อ “และยามนี้ ใต้เท้าทัศนาจารย์ก็พาอาจารย์อาเมิ่งไปยังสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ข้าเกรงว่าการเดินทางครั้งนี้… อาจไม่โสภานัก”
วาจานี้แม้จะสอดแทรกเลศนัยไว้ลึกมาก
ทว่าทุกผู้ล้วนผ่านมรสุมมาแสนนาน มีหรือจะมิเข้าใจความหมาย?
“ก็จริง สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเป็นยักษ์ใหญ่ผู้สูงส่งในจักรวาลพร่างดาว ไม่ว่าร่างเวียนวัฏของใต้เท้าทัศนาจารย์จะแข็งแกร่งเพียงไร แต่เขาก็ยังเป็นคนเพียงหนึ่ง ข้าเกรงว่าคงยากจะสั่นสะเทือนสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้”
บางผู้กระซิบ
“พอแล้ว!”
ทันใดนั้น เจ้าโถงเวินจือซินก็กล่าวขัดจังหวะสนทนาเสียงแข็ง “บรรพชนจิ้งเชวียจ่ายราคาด้วยชีวิตไปแล้ว บทเรียนนี้ยังไม่พออีกหรือ? พวกเจ้ามีคุณสมบัติอันใดมาพูดวิจารย์ใต้เท้าทัศนาจารย์?”
ใบหน้าของเขาเดือดดาล กรุ่นโกรธอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าผู้ชมล้วนเงียบกริบ
เวินจือซินแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะหันมองสิงเฟิง
เขาถอนใจรำพันเบา ๆ ด้วยสีหน้าเจือความอับอาย “ศิษย์น้องสิงเฟิง ก่อนหน้านี้ข้ากระทำไม่ถูกต้อง ทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย จากนี้ไป เจ้าฝึกฝนในสำนักอย่างสบายใจเถิด ข้าสัญญาในฐานะเจ้าโถงว่าจะมิให้เจ้าต้องทนทุกข์ใด ๆ อีก!”
สิงเฟิงผงะไป ไม่คาดคิดว่าการวางตนของเจ้าโถงจะแปรเปลี่ยนว่องไวเพียงนี้
“ข้ามิได้ทุกข์ทนใด ๆ เพียงเศร้าใจแทนอาจารย์อาเมิ่งเท่านั้น”
สิงเฟิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เวินจือซินยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ไม่ว่าอย่างไร ในภายหน้า… ข้าจะชดใช้ให้…”
ไฉนเล่าเขาจึงไม่เสียใจ?
เขาเสียใจจนเครื่องในเขียวคล้ำหมดแล้ว!
นั่นมันทัศนาจารย์เลยนะ!
หากเขารู้มาก่อนว่าอาจารย์อาเมิ่งในยามนี้ทำงานรับใช้ข้างกายทัศนาจารย์ เขาจะไม่มีทางสำแดงตนงี่เง่าเช่นเมื่อครู่แน่นอน
น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายเกินกว่าจะแก้ต่างใด ๆ
ยามนี้ เขาทำได้เพียงชดใช้ในภายหลัง
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าใต้เท้าทัศนาจารย์ทุกวันนี้จะยังงัดข้อกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้หรือไม่…”
เวินจือซินลอบคิด
เขามีลางสังหรณ์อยู่
……
ในเมืองแห่งหนึ่งอันวุ่นวายหนาแน่น
ซูอี้นั่งอยู่บนที่นั่งข้างหน้าต่างชั้นสองของโรงเตี๊ยม ดื่มด่ำกับเหล้าปลาอาหารพิเศษประจำท้องถิ่น
เมิ่งฉางอวิ๋นเองก็นั่งอยู่อีกฝั่งด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ไม่อาจแสดงท่าทีกังวลเสียจนกินอาหารไม่รู้รสออกมา
ส่วนเซวียจ่างอีนั้นยืนคอตกอยู่ที่มุมห้องไม่ไกล หน้านิ่วคิ้วขมวด จิตใจว้าวุ่น
หลังลังเลชั่วขณะ เมิ่งฉางอวิ๋นก็เอ่ยถามเสียงเบา “คุณชาย หากดิ่งตรงไปยังสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็อาจจะยังอุกอาจเกินไปนะขอรับ จากความคิดของตาเฒ่าผู้น้อย เราน่าจะสืบสถานการณ์อีกสักหน่อยแล้วเลือกหาโอกาสลงมือนะขอรับ”
ก่อนหน้านี้ ซูอี้เอ่ยปากจะพาเขาไปช่วยเหลือบรรพชนเยว่หงและไป๋เหอซึ่งถูกจับเป็นตัวประกันที่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
แม้ว่าเมิ่งฉางอวิ๋นจะซาบซึ้งตื้นตัน เขาก็ยังค่อนข้างกังวลในใจ ไม่อยากให้ซูอี้ไปเสี่ยงชีวิต
เพราะถึงอย่างไร นั่นก็คือสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ!
เป็นหนึ่งในขุมกำลังยักษ์ใหญ่สูงสุดในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว!
“อย่าห่วงเลย ผู้ที่ควรค่าจับตามองในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีเพียงไม่กี่คน และผู้ที่สมควรสนใจจริง ๆ ก็มีเพียงเฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วเท่านั้น”
ซูอี้ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวหิมะกระจ่างใสขึ้นมาลิ้มลอง
ต้องกล่าวว่าปลาหลี่วิญญาณลายจุดเขียวซึ่งย่างด้วยเคล็ดวิชานั้นมีรสชาตพิเศษเฉพาะยิ่งนัก
หลังครุ่นคิดเล็กน้อย ซูอี้ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ยิ่งกว่านั้น การไปของข้าครานี้หาเป็นเพื่อช่วยเจ้าช่วยคนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการคิดบัญชีกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิด้วย”
วาจานั้นรายเรียบ ทว่าเซวียจ่างอีซึ่งยืนหลบมุมอยู่ตกใจตะลึง
เขาตะโกนในใจ ว่าแล้วเชียว เจตนาของใต้เท้าทัศนาจารย์หาดีไม่!
“คุณชาย หากทำเช่นนี้ ตัวตนของท่านจะถูกเปิดโปงนะขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวเตือน
ซูอี้วางตะเกียบ นำไหสุราออกมาดื่มอั้ก ๆ พลางพูดเบา ๆ “ก็ทำให้พวกเขารู้ประไรว่าข้ากลับมาแล้ว”
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ถนนหนาแน่นคลาคล่ำผู้คน รุ่งเรืองเยี่ยงสายวารีหลั่งริน
กลิ่นอายโลกมลทินทำให้ซูอี้รู้สึกราวอยู่คนละโลก
นับแต่ออกจากภูมิดาราฟ้าดิน หากเขาไม่พุ่งเข้าสู่จักรวาลพร่างดาวอย่างรีบเร่ง ก็มักสะสางความขุ่นเคืองและความขัดแย้งมาตลอดทาง
เนิ่นนานแล้วที่เขาได้สัญจรพักผ่อนท่ามกลางโลกีย์
“ยิ่งกว่านั้น หากตัวตนของข้าเป็นที่ประจักษ์ก็มิเชิงเป็นเรื่องแย่ อย่างน้อยก็นั่งนิ่ง ๆ ล่องูออกจากโพรงได้ รอดูว่าจะมีศัตรูร้ายกาจมากมายเพียงไรที่โผล่มาในห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว”
ซูอี้แย้มยิ้ม กล่าวพลางเล่นกับจอกสุรา “การฝึกฝนเช่นนี้ หากไร้คลื่นลม จะฝึกฝนได้เช่นไร? หากไร้ข้อพิพาท ไฉนต้องลับดาบด้วย?”
“สิ่งที่ข้าตั้งตารอที่สุดคือร่ำสุราไม่รู้จบ บั่นหัวศัตรูไร้สิ้นสุด หาไม่ เส้นทางฝึกฝนย่อมอ้างว้างน่าเบื่อเกินไปเป็นแน่”
เมิ่งฉางอวิ๋นอดทอดถอนใจมิได้
ต้องมีความหาญกล้า หัวใจกว้างขวางเพียงไรจึงสามารถหัวเราะเยาะโลกาได้เยี่ยงใต้เท้าทัศนาจารย์?
กล่าวอีกนัยก็คือ หากผู้อื่นต้องการต่อสู้กับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เกรงว่าคงต้องเตรียมแผนการและตนเองมาให้ครบครัน ค่อย ๆ ลงมือทีละขั้นตอน
ทว่าใต้เท้าทัศนาจารย์หาคิดเล็กคิดน้อยทำเช่นนั้นไม่!
ทันใดนั้น ซูอี้พลันกวักมือเรียกเซวียจ่างอี “เจ้ามานี่ซิ”
เซวียจ่างอีตัวสั่น
เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วจึงรวบรวมความกล้าเดินก้มหน้างุดเข้ามากล่าว “ใต้เท้าทัศนาจารย์มีคำสั่งใดหรือ?”
น้ำเสียงของเขาสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม
ซูอี้ลุกขึ้น ยกมือขึ้นช่วยเซวียจ่างอีจัดเสื้อผ้า และกล่าวอย่างเฉยชา “กลับไปบอกเติ้งจั๋ว เจ้าแก่จมูกโคนั่นทีว่าให้ปล่อยตัวประกันทั้งสอง แล้วข้าจะมอบโอกาสประมืออย่างเสมอภาคแก่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของเจ้า หาไม่ อย่าโทษข้ายามขวางหน้าประตูสำนัก พบผู้ใดสังหารผู้นั้นแล้วกัน”
เซวียจ่างอีกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ใต้เท้าไม่ฆ่าข้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าตายไป ใครจะช่วยข้าถ่ายทอดวาจาเล่า? ในสามวัน ข้าจะไปอยู่หน้าประตูสำนักเจ้า รีบไปสิ”
กล่าวจบ ซูอี้ก็นั่งกลับลงบนเก้าอี้ หยิบตะเกียบขึ้นกินดื่มสำราญใจอีกครั้ง
กิริยาเอื่อยเฉื่อยลอยชาย และดูเหมือนเรื่องที่กล่าวออกมาเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องฝนฟ้า หามีสิ่งใดน่าใส่ใจไม่
………………..