บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1261: แผนที่ศึกดาบวิถีเซียน
ตอนที่ 1261: แผนที่ศึกดาบวิถีเซียน
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ดวงตะวันลาลับ หมอกมงคลเคลื่อนคล้อย ท่ามกลางขุนเขาโบราณ ตำหนักศาลาต่าง ๆ เรียงร้อยเป็นทิวแถว
นาน ๆ ครั้งจะพบฝูงกระเรียนโบยบินบนผืนฟ้า ส่งสำเนียงลำนำดังสนั่น
ในฐานะกลุ่มเต๋าอันดับหนึ่งในภูมิดาราหมื่นโฉลกและยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งแห่งจักรวาลพร่างดาวอันเลื่องชื่อทั่วโลกหล้า พื้นหลังเก่าแก่ของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมินั้นสามารถสืบสาวได้ถึงบรรพกาลเนิ่นนาน
ในสำนักมีศิษย์อาจารย์นับหมื่น ๆ คน
แค่ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิก็มีเป็นร้อย!
ในสายตาผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้า สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกฝนชั้นหนึ่งในโลกา
เคร้ง!
เสียงระฆังดังขึ้นอย่างรีบร้อน ทำลายบรรยากาศเงียบสงบของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
โถงใหญ่นภาเทพ
เหล่าผู้มีอำนาจมากมายเรียงแถวกันปรากฏตัว
เจ้าสำนักเวิงผูรออยู่นานแล้ว
จนกระทั่งเมื่อเสียงระฆังเงียบลง นอกจากเหล่าผู้มีอำนาจซึ่งเก็บตัวฝึกฝนหรือจากจรเดินทาง ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งหมดในสำนักก็ล้วนแล้วรวมตัว
ในหมู่พวกเขามีสี่คนอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญ และสิบสามคนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
ในหมู่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว หากวัดกันที่จำนวนราชันแห่งภูมิ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีมากที่สุด
ไม่ใช่เพราะสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิแสนสูงส่งแต่อย่างใด
ทว่าเป็นเพราะเงื่อนไขการรับศิษย์หรือยอดฝีมือเข้าสู่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมินั้นนับว่าผ่อนปรนกว่าที่อื่น
โดยเฉพาะยามเชื้อเชิญยอดฝีมือในขอบเขตราชันแห่งภูมิเข้าสำนัก เงื่อนไขที่เสนอนั้นกล่าวได้ว่าใจป้ำ
ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวมีผู้ฝึกตนในระดับราชันแห่งภูมิกระจัดกระจายตนอยู่มากมายที่มารวมตัวกันอุทิศตนแก่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ทว่ายักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวอื่น ๆ นั้นแตกต่างออกไป แม้ว่าพวกเขาเองก็เชื้อเชิญตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิเช่นกัน แต่พวกเขาก็ถืออีกฝ่ายเป็นเพียงศิษย์สำนัก
โดยเฉพาะหอเก้าสวรรค์แห่งภูมิดาราวอนสวรรค์ซึ่งมีข้อจำกัดมากที่สุดยามรับศิษย์
ตลอดกาลนับแต่โบราณ สำนักใหญ่โตนี้มีคนเพียงหนึ่งร้อย
ทว่าขุมกำลังและยอดฝีมือซึ่งทำงานรับใช้หอเก้าสวรรค์มีนับไม่ถ้วน
ยามนี้ ราชันแห่งภูมิทั้งหลายที่รวมตัวกันในโถงใหญ่นภาเทพนั้นล้วนแต่เป็นสมาชิกในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งมีตำแหน่งสูงส่ง
“เจ้าสำนักเรียกข้ามาวันนี้ หรือจะเกิดเรื่องใหญ่ใดขึ้นหรือ?”
ชายชราผู้ให้บรรยากาศเยี่ยงเทพเซียนถามขึ้น
สายตาทุกคู่จับจ้องที่เจ้าสำนักเวิงผู
เวิงผูร่างผอม สวมชุดคลุมขนนกสีน้ำตาลเทา
ในฐานะเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ตัวเขาเองเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญ
เพียงแค่ว่ายามนี้เขากำลังขมวดคิ้วราวกำลังเผชิญปัญหา
“ผู้อาวุโสเซวีย พูดได้เลย”
เวิงผูกล่าวเบา ๆ
เซวียจ่างอีสูดหายใจลึก ๆ ยืนขึ้นจากที่นั่ง มองไปยังทุกผู้ในที่ประชุมและกล่าวออกมา
“ทัศนาจารย์… หวนคืน…”
ด้วยวาจาเพียงไม่กี่คำ ทว่ากลับดูเหมือนมีอำนาจร้ายกาจสะเทือนถึงใจผู้ฟัง
ทุกผู้ที่ได้ฟังผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนที่สีหน้าจะพากันแปรเปลี่ยนอย่างพร้อมเพรียง
บรรยากาศในโถงใหญ่นภาเทพเงียบกริบหดหู่
มีเพียงเสียงของเซวียจ่างอีที่ดังกังวานท่ามกลางความเงียบงัน
เขาอธิบายสิ่งที่ประสบในโถงวิถีแปรตะวันโดยมิซุกซ่อนประเด็นใด
กระทั่งถึงจุดที่ทัศนาจารย์จะมาเยือนสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิในอีกสามวัน เหล่าผู้มีอำนาจใหญ่โตทั้งหลายก็มิอาจนั่งติดที่ได้อีก
“ชายหนุ่มผู้นั้นคือทัศนาจารย์จริง ๆ หรือ?”
บางผู้ไม่อาจเชื่อลง
“เป็นไปไม่ได้! เมื่อปีก่อน ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ในภูมิดาราฟ้าดินยังเป็นแค่จักรพรรดิอยู่เลย ไฉนไม่พบหน้าหนึ่งปีจึงแข็งแกร่งจนเทียบไม่ติดไปได้เล่า?”
บางผู้เดือดดาล
“เมิ่งฉางอวิ๋นผู้นั้นทรยศเราจริง ๆ!”
บางผู้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เป็นแค่ร่างเวียนวัฏ แต่กลับอยากข่มขู่เราให้ปล่อยคน คิดจริง ๆ หรือว่าตนยังเป็นทัศนาจารย์คนก่อน?”
บางผู้ไม่พอใจ
โถงใหญ่นภาเทพดูเหมือนระเบิดเปรี้ยง ผู้คนฮือฮาจ้าละหวั่น
ผู้เฒ่าแต่ละคนล้วนแต่ชาชินกับการมองเรื่องราวในโลก ทว่ายามนี้กลับเสียความเยือกเย็นแต่เก่าก่อนไป
เจ้าสำนักเวิงผูนั่งมองเรื่องทั้งหมดอยู่บนเก้าอี้ประธาน ณ ใจกลางอย่างเย็นชา อดทอดถอนใจไม่ได้
นี่คือพลังของทัศนาจารย์
แม้จะผ่านไปเนิ่นนานเกินนับปี ในยามนี้เป็นเพียงร่างเวียนวัฏ
ทว่ายามปรากฏกายก็ยังสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมโหฬาร!
ดูผู้เฒ่าทั้งหลายที่นี่เป็นตัวอย่างได้ พวกเขาสูงส่งทอดมองลงยังโลกหล้ามาช้านาน ทว่ายามนี้กลับลนลานนั่งมิติดที่!
“เรื่องนี้ เจ้าสำนักคิดเช่นไร?”
ทันใดนั้นก็มีผู้ปริปากถามความเห็นของเวิงผู
เวิงผูกล่าวอย่างเฉยเมย “ทัศนาจารย์หาใช่ทัศนาจารย์คนก่อนไม่ แล้วยังอยากให้เราปล่อยคนหรือ? เราก็คงต้องดูหน่อยว่าเขาสามารถพอหรือไม่”
ดวงตาทุกผู้วูบไหวและสงบใจลง
“ถูกต้อง ในถิ่นของเรา ต่อให้ผู้มาจะเป็นราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดก็มีแต่ตายกับตาย อย่าว่าแต่ร่างเวียนวัฎของเขาเลย!”
บางผู้กล่าวอย่างมาดร้าย
“อย่าลืมว่าเขายังมีเคล็ดเวียนวัฏสงสารอยู่อีกนะ!”
ดวงตาของบางผู้ลุกวาว “ครานี้ เขาถือวิสาสะนำตัวเองมาส่งถึงที่ นี่คือโอกาสเดียวตลอดชาติ เขาต้องไม่ได้กลับออกไป!”
จิตวิญญาณของเหล่าผู้ฟังต่างลุกโชน
เคล็ดเวียนวัฏสงสาร!
อำนาจต้องห้ามนี้เกี่ยวข้องกับการเวียนวัฏ มีปริศนาเหลือเชื่อมากมาย แค่คิดก็น้ำลายหกแล้ว!
“นับแต่ ‘เขตหวงห้ามเซียนละล่อง’ ก่อกำเนิด กาลเวลาก็แปรผันแสนนาน ในอดีต ทัศนาจารย์อาจเป็นหนึ่งในห้วงลึกของจักรวาลพร่างดาวเพียงผู้เดียว แต่ในภายหน้า มันจะกลายเป็นโลกของตัวตนในวิถีจุติสรวง!”
บางผู้กระซิบ “ใครที่ก้าวเดินบนวิถีจุติสรวงได้เร็วที่สุด ผู้นั้น… คือนายที่แท้จริงแห่งยุคสมัยนี้!”
เขตหวงห้ามเซียนละล่อง
จากคำร่ำลือโบราณ มันถูกถือว่าเป็นพื้นที่ลี้ลับบรรลุเซียน!
ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข่าวลือ
ในกาลก่อน ไม่มีผู้ใดสนใจมันจริงจัง
ทว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เรื่องน่าประหลาดใจเรื่องหนึ่งบังเกิดขึ้นในเขตหวงห้ามเซียนละล่อง และยามนั้นเองที่ข่าวเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงแพร่กระจายไปทั่วทุกที่ ดึงความสนใจทั่วโลกหล้า
ในฐานะยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิถือครองความลับอันมิอาจล่วงรู้มากมาย
ในหมู่พวกเขา มีบันทึกของเขตหวงห้ามเซียนละล่องอยู่!
ดังนั้นพวกเขาจึงแน่ใจมากว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ในเขตหวงห้ามเซียนละล่องเกี่ยวข้องกับวิถีจุติสรวง!
“ก็จริง กาลเวลาแปรเปลี่ยนไปนานแล้ว หากไร้อุบัติเหตุใด ๆ บรรพชนก็จะกลายเป็นตัวตนแรกที่ได้เหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวง เป็นจุดสูงสุดที่ทัศนาจารย์มิเคยไปถึง!”
บางผู้ดูโหยหา
บรรพชนที่เขาว่าคือตัวตนในตำนานอันเก่าแก่ที่สุดในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
เติ้งจั๋ว!
“น่าเสียดายที่บรรพชนไม่ได้อยู่ในสำนัก ณ ยามนี้ หาไม่ ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์คงมิกล้ามาล่วงเกินเราถึงที่หรอก”
บางผู้รำพึงเบา ๆ
ทว่ายามนี้ เซวียจ่างอีอดกล่าวมิได้ “ด้วยหนึ่งดาบของร่างเวียนวัฏทัศนาจารย์ เขาสามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้โดยง่าย หากเขาขวางอยู่หน้าสำนัก เกรงว่าเราคงมิอาจออกไปหนใดได้ชั่วชีวิต?”
“ผู้อาวุโสเซวีย เจ้ากลัวหรือ?”
บางผู้แค่นเสียงถากถาง “อย่าห่วงเลย หากเขากล้ามา เขาจะไม่มีวันได้กลับออกไป!”
ผู้พูดสวมชุดเกราะสีเขียว เส้นผมขาวยิ่งกว่าหิมะ
หากซูอี้อยู่ที่นี่ เขาจะจำได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือชิงเซียว ยอดฝีมือผู้ทำร้ายผีเฒ่าแบกโลงด้วยศร ณ ต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ!
เซวียจ่างอีเงียบไป ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวเล็กน้อย
นั่นคือความพรั่นพรึงต่อร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์!
“ความกังวลของผู้อาวุโสเซวียมิเชิงจะไม่สมเหตุสมผล เพราะถึงอย่างไร คู่ต่อสู้หนนี้ก็เป็นทัศนาจารย์ แม้จะเป็นร่างเวียนวัฏของเขา แต่ก็ยังต้องถือเป็นศัตรูชั้นหนึ่ง”
เจ้าสำนักเวิงผูกล่าวด้วยท่าทียิ่งใหญ่ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะให้ความสนใจมากมายเพียงไร ก็ไม่มีคำว่ามากเกินไป”
ทุกผู้ล้วนพยักหน้าพร้อมเพรียง
ความโด่งดังของคนก็เหมือนเงาไม้
ในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ตัวตนใด ๆ ที่ดูถูกทัศนาจารย์แทบไม่มีผู้ใดจบสวย!
……
เมืองหมื่นใบไม้
เมืองโบราณอันรุ่งเรือง
นับแต่เมืองหมื่นใบไม้ไปทางเหนืออีกสามพันลี้ ก็จะเป็นฐานพำนักของยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ขณะนี้ ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ณ เมืองหมื่นใบไม้
ฉัวะ!
ปลายนิ้วของซูอี้ทอประกายดำสนิทเยี่ยงหมึก วาดเป็นลวดลายวงแหวนประหลาดบนแผ่นยันต์แผ่นหนึ่ง
วงแหวนนั้นดูคล้ายภาพงูกินหาง เป็นภาพการวนซ้ำ มีเสน่ห์ไร้จุดเริ่มจุดจบ
ที่ด้านข้าง เมื่อเมิ่งฉางอวิ๋นเห็นลวดลายนี้ เขาก็รู้สึกราวบรรลุเซียน อสงไขยไร้จำกัด
เฮ้อ~
ซูอี้เก็บนิ้วไปแล้วผ่อนหายใจยาว
จากนั้น เขาก็พบว่ากระดาษยันต์พลันลุกไหม้ และประตูแสงลวงตาบานหนึ่งก็ปรากฏบนอากาศ
ไม่นานนัก พิรุณแสงจากประตูลวงตา ปรากฏเป็นร่างเพรียวบางสง่างามร่างหนึ่ง
สวมชุดคลุมขนนก คิ้วได้รูป มีตราสีทองที่หว่างคิ้ว
“ข้าก็สงสัยอยู่เชียวว่าผู้ใดหนอที่สลักลวดลายลับ ‘ตราเทพอมตะ’ ไม่คาดเลยว่าจะเป็นเจ้า”
เมื่อเห็นซูอี้ อาไฉ่ก็อดแสดงความประหลาดใจมิได้
เมิ่งฉางอวิ๋นอ้าปากค้าง
เขาจำนางได้ สตรีที่ปรากฏตรงหน้าเขานางนี้คือ นางสวรรค์ผู้ไร้ผู้ใดเทียบ องค์วิญญาณอมตะซึ่งเป็นที่เคารพในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ!
ทั่วทั้งภูมิดาราหมื่นโฉลก เกียรติภูมิขององค์วิญญาณอมตะนี้ แทบไม่มีผู้ใดมิล่วงรู้!
จากคำร่ำลือ องค์วิญญาณอมตะถูกถือเป็นร่างจุติแห่งเซียน แทบจะสูงส่งเยี่ยงเทพเซียนอย่างแท้จริง
ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ กระทั่งตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิยังนับถือนาง
ทว่าเมิ่งฉางอวิ๋นไม่คาดเลยว่าใต้เท้าทัศนาจารย์จะสามารถเชิญองค์วิญญาณอมตะมาได้เพียงแค่นั่งวาดยันต์!
“ครานี้ ข้าจะไปสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ข้าจึงจะถามบางอย่างล่วงหน้า”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ
อาไฉ่กะพริบคู่เนตรของนาง พลันตระหนักบางอย่างได้ และกล่าวอย่างประหลาดใจ “หรือว่าเจ้า… จะเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์จริง ๆ?”
“คราก่อน ข้าก็บอกเจ้าไปแล้ว”
ซูอี้ขบขันเล็กน้อย “แต่ดูเหมือนเจ้าจะมิเคยเชื่อข้าเลย”
“นี่…”
อาไฉ่ตะลึงอึ้ง ใบหน้างดงามของนางแปรเปลี่ยน
เนิ่นนานจากนั้น นางจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ผู้เกี่ยวข้องไม่อาจมองภาพรวมได้ถนัดตา ว่าไปก็ข้าแท้ ๆ”
หลังจากคุยเล่นกันต่อมา ในที่สุดอาไฉ่ก็เข้าใจจุดประสงค์การมายังสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของซูอี้ และอดตกตะลึงมิได้
บุคคลหนึ่งต้องการชี้ดาบไปยังสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ?
วางตัวยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว!
หลังจากครุ่นคิดสักพัก อาไฉ่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม “สหายเต๋า ข้าไม่แนะนำให้เจ้าทำสงครามตรง ๆ กับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ”
ซูอี้เลิกคิ้ว “เพราะเหตุใด?”
อาไฉ่ว่า “ยามนี้ แม้ว่าเฒ่าจมูกวัวเติ้งจั๋วจะไม่ได้อยู่ในสำนัก แต่ก็ยังมีตาแก่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดนั่งค้ำอยู่สามคน”
“นอกจากนั้น เมื่อไม่กี่ปีก่อน เติ้งจั๋วได้รับโอกาสอันไม่อาจควานหา คาดว่าจะเป็นแผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนลึกลับชิ้นหนึ่ง ด้วยแผนที่ลับนี้ เติ้งจั๋วทุ่มเทสมบัติวิเศษมากมายสร้างค่ายกลดาบอันไร้เทียมทานขึ้นในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ กล่าวกันว่ามันฆ่ากระทั่งตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้โดยง่าย!”
ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเมิ่งฉางอวิ๋นก็กระตุกวูบ สีหน้าแปรเปลี่ยน
ซูอี้กล่าวอย่างสนอกสนใจ “ค่ายกลดาบอันเกี่ยวข้องกับวิถีเซียนหรือ? ขยายความได้หรือไม่?”
………………..