บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1263: ในสามก้าวย่าง กายหยาบจิตวิญญาณล้วนมลายสิ้น
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 1263: ในสามก้าวย่าง กายหยาบจิตวิญญาณล้วนมลายสิ้น
ตอนที่ 1263: ในสามก้าวย่าง กายหยาบจิตวิญญาณล้วนมลายสิ้น
ขณะเดียวกัน ณ สนามเต๋าแห่งหนึ่งในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
คันฉ่องสมบัติท่องวิมานบานหนึ่งละล่องบนเวหา สะท้อนภาพเป็นม่านแสงมโหฬาร
ร่างของซูอี้ก็สะท้อนอยู่ในม่านแสงนั้นด้วย.
ทันใดนั้น เหล่ายอดฝีมือจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิที่รวมตัวกัน ณ สนามเต๋าล้วนฮือฮาเซ็งแซ่
“นั่นหรือร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์?”
“กล้ามาคนเดียวด้วย ใจกล้าจริงแท้!”
“ข้าได้ยินท่านอาจารย์กล่าวว่า ขอเพียงเขากล้ามาในครานี้ ท่านจะสั่งสอนเขาให้รู้แน่ว่าจะได้รอดกลับไปหรือไม่!”
ในสนามเต๋ามีศิษย์สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิอยู่เป็นพัน ๆ คนอัดกันแน่น พวกเขาล้วนเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาเยาว์วัยเกินไป จึงไร้ความกลัวยามพูดถึงร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ และวาจาของพวกเขาก็ค่อนข้างไร้ความสำรวม
ในตำหนักศาลาบางแห่งอันห่างออกไปจากสนามเต๋า เหล่าผู้มีอำนาจในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็มองภาพนี้อยู่เช่นกัน
เพียงแค่ว่า แตกต่างจากเหล่าศิษย์น้อยใหญ่ ผู้มีอำนาจทั้งหลายนี้เยือกเย็นและใช้วาจาระวังคำพูดกว่ากันมาก ไม่มีผู้ใดกล้าประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไปเลย
“คำคนว่าเรื่องดีไม่มา เรื่องที่มาไม่ดี ในเมื่อร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์กล้าบุกเดี่ยวมาที่นี่ ข้าเกรงว่าคงมีสิ่งอื่นให้พึ่งพา”
“อย่าห่วงเลย เหล่าผู้อาวุโสในสำนักเตรียมตัวพร้อมพรั่ง รับมือได้ทุกสถานการณ์อยู่แล้ว”
“นั่นสินะ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงร่างเวียนวัฏนี่”
…การหารือเหล่านี้ล้วนเข้าสู่โสตอาไฉ่ และนางก็อดส่ายหน้าอยู่สักพักไม่ได้
นางยืนอยู่ข้างหน้าต่างศาลาแห่งหนึ่ง เห็นภาพในม่านแสงได้ชัดถนัดตา
“ทัศนาจารย์หายตัวไปแสนนานเสียจนกระทั่งผู้น้อยอ่อนวัยกล้าตัดสินเขาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าจริง ๆ”
อาไฉ่กระซิบ
ทันใดนั้น ดวงตาพำร่างประกายของนางก็ชะงักงัน
แทบจะในขณะเดียวกัน ทุกการหารือก็หยุดลงกะทันหัน
สายตาทุกคู่ล้วนมองไปยังม่านแสง แม้แต่เสียงหายใจยังถูกสะกด
ในโถงใหญ่ เจ้าสำนักเวิงผูกล่าวเบา ๆ “จากนี้ไป ซูอี้ผู้นั้นไร้หนทางกลับหลัง!”
สามบรรพชน สุ่ยเทียนหาน หลี่สวินเจิน และกู้หลิงอวิ้นต่างนั่งบนเก้าอี้ของพวกเขา จิบชาพลางมองม่านแสงอยู่
กิริยาสุขุม
มันคือลมสงบก่อนพายุเข้า
พวกเขาต้องวางแผนรับมือทัศนาจารย์ และสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือค่อย ๆ ล้อมตาข่ายตามแผนทีละขั้น!
……
หมอกน้ำค้างแน่นหนานุ่มนวล ทั่วฟ้าดินชื้นแฉะ
อำนาจกฎเกณฑ์สายแล้วสายเล่าพลุ่งพล่านสู่โลการาววายุพิรุณยามวสันต์
กฎสูงสุดทวิภูมิ
กฎสูงสุดแห่งภูมิดาราหมื่นโฉลก
อยู่ใต้ควบคุมของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมาเนิ่นนานแต่บรรพกาล
ดังนั้น สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจึงเหมือนนายเหนือแห่งภูมิดาราหมื่นโฉลกเสมอมา ปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนทั่วโลกหล้าราวกับข้ารับใช้!
หากจะกล่าวว่าในถิ่นของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ เพียงใช้อำนาจกฎสูงสุดทวิภูมิก็เพียงพอล้อมสังหารราชันแห่งภูมิมากมายในโลกหล้าได้ก็มิใช่การกล่าวเกินจริง!
ทว่าขอเพียงควบคุมอำนาจกฎเกณฑ์ในระดับเดียวกัน เขาก็สามารถต่อสู้ตอบโต้ได้
และซูอี้ก็บังเอิญควบคุมกฎในระดับเดียวกัน
แถมยังมีมากกว่าหนึ่งด้วย!
เขาเงยหน้ามองภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิซึ่งอยู่ห่างออกไป
“ใช้คันฉ่องสมบัติท่องวิมานทัศนาติดตาม นี่คือจะเผยความอัปลักษณ์ของข้าคนแซ่ซูหรือไร?”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
หลังจากเข้ามาในบริเวณนี้ เขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติมากมายแล้ว โลกหล้าอันดูเงียบงันว่างเปล่านี้ แท้จริงเต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหาร
มิต้องสงสัยเลยว่า สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้เตรียมการไว้อย่างพร้อมสรรพ
ไกลออกไป สุญญะพลันวูบไหว สะท้อนร่างหนึ่งออกมา
เขาเป็นชายในชุดเกราะสีเขียว เส้นผมยาวสีขาวราวหิมะ ใบหน้าอ่อนเยาว์เยี่ยงชายหนุ่ม ถือคันธนูใหญ่อันดูเรียบง่าย
ทั้งสายธนูและคันธนูล้วนปกคลุมด้วยอสนีบาตสีม่วง ปราณทำลายล้างยิ่งใหญ่น่าอัศจรรย์
ซูอี้ผงะไปเล็กน้อย แท้จริงก็คือคนผู้นี้
เขาจำได้ทันทีว่านามของชายผู้นี้คือชิงเซียวผู้แผลงศรทำให้ผีเฒ่าแบกโลงบาดเจ็บสาหัส ณ หน้าต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิ!
“บังเอิญแท้”
ซูอี้กระซิบ
“นี่หาใช่เรื่องบังเอิญไม่ ข้าเป็นผู้ออกมาหยั่งเชิงความแข็งแกร่งของเจ้าเป็นคนแรกเอง”
ไกลออกไป ชิงเซียวกล่าวขึ้นเบา ๆ เส้นผมสีขาวพริ้วปลิว ชุดเกราะสีเขียวเรืองไสวดุจเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งอหังการ
ซูอี้เลิกคิ้วกล่าว “เซวียจ่างอีมิได้บอกเจ้าหรือว่าข้าตัดสินใจเช่นไร?”
เขาขอให้เซวียจ่างอีถ่ายทอดข้อความ บอกสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิว่าขอเพียงบรรพชนเยว่หงและไป๋เหอถูกปลดปล่อย เขาจะมอบโอกาสดวลอย่างเสมอภาคกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
หาไม่ เขาจะขวางหน้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ พบกี่คน ก็ฆ่าไม่เหลือ
ทว่ายามนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหาถือว่าวาจาเขาเป็นจริงเป็นจังไม่!
ชิงเซียวเสสรวลกล่าว “ซูอี้ เจ้าเป็นเพียงร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์เท่านั้น เจ้ายังทำตนเป็นทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมอยู่หรือไร?”
วาจานั้นเย้ยหยันแดกดัน
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “เจ้าสำนักข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว ขอเพียงเจ้าไปถึงหน้าสำนักข้าได้ เราจะปล่อยตัวประกันทั้งสอง”
ซูอี้นำไหสุราขึ้นยกดื่ม กล่าวเบา ๆ “หากเฒ่าจมูกวัวเติ้งจั๋วอยู่ เขาคงมิโง่เช่นพวกเจ้า”
“โง่?”
ชิงเซียวอดหัวเราะมิได้
ณ โถงใหญ่ในสำนัก เจ้าสำนักเวิงผูและสามบรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเองก็ผงะไป พวกเขามองหน้ากันแล้วหัวเราะ
ซูอี้ผู้นี้มีวิถีเต๋ามิสูงส่งเท่าทัศนาจารย์ แต่การวางตนกลับยิ่งอหังการยิ่งกว่าทัศนาจารย์เสียอีก!
“แม้ชิงเซียวจะมีการฝึกฝนเพียงขั้นกลางขอบเขตคืนสู่สามัญ แต่อำนาจในวิถีธนูของเขาไร้ผู้เทียบเคียง และยังได้รับการสอนสั่งโดยตรงจากบรรพชนเติ้งจั๋ว หากเขาลงมือสุดกำลัง คงยากจะหาคู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกันได้”
เวิงผูกระซิบ “นอกจากนั้น พื้นที่รอบสำนักในรัศมีแปดร้อยลี้ก็ปกคลุมด้วยกฎสูงสุดทวิภูมิ เมื่อเกิดศึกขึ้น ชิงเซียวย่อมเป็นดุจเทพเจ้าผู้บงการกฎสวรรค์ เพียงพอให้เป็นภัยถึงชีวิตต่อราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้”
“นั่นคือเหตุที่ข้ารับปากยามที่เขาเสนอตัวเป็นผู้ลงมือคนแรก”
ได้ยินเช่นนั้น บรรพชนขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งสามก็พยักหน้า
ขณะเดียวกัน ศิษย์หลายพันคนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งอยู่ในสนามเต๋าล้วนหัวร่องอหายยิ่งกว่าผู้ใด ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ผู้นี้… บ้าไปหน่อยหรือไม่?
“ตลกหรือ?”
ซูอี้เหลือบมองชิงเซียว
ชิงเซียวแหงนหน้าหัวเราะลั่นนภา ชี้ท้องของตน “ข้าหัวเราะจนท้องเจ็บแล้ว เจ้าว่าตลกไหมเล่า?”
ซูอี้เอ่ยแค่เสียงหึและก้าวมาเบื้องหน้า
ยามนี้ ชิงเซียวผู้กำลังหัวเราะพลันแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ปราณระเบิดกราดเกรี้ยวเยี่ยงอสนีบาต
มือของเขาดึงสายธนูสุดแขน ยิงศรสีม่วงออกไปหนึ่งดอก
การกระทำนี้เกิดขึ้นติด ๆ กันในพริบตา
ตู้ม!
ทั่วโลกหล้าสะเทือนลั่น อสนีบาตกราดคำราม
หยาดพิรุณน้ำค้างบางเบาทั่วฟ้าดินเหือดหายทันที
อำนาจกฎเกณฑ์หนาแน่นลี้ลับทะยานหลอมรวมเข้ากับศรสีม่วงอันเจิดจ้า แหวกทะลวงนภาพุ่งเข้าหาซูอี้
หนึ่งศรทะยาน อำนาจยิ่งใหญ่เหนือสรวง!
มิต้องสงสัยเลยว่าแม้ชิงเซียวจะดูแสนเย่อหยิ่งเมื่อกาลก่อน แต่แท้จริงเป็นภาพลักษณ์ลวง
เขาเตรียมการมาแต่แรกแล้ว และทันทีที่ซูอี้ขยับ เขาก็ใช้ไม้ตายสังหารเข้าจู่โจมทันที!
ศรเช่นนี้เพียงพอเป็นภัยต่อตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้!
ซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่
สองมือไพล่หลัง ไม่ลงมือใด ๆ
ราวกับมิทันสังเกต
ทว่า เมื่อลูกธนูพุ่งมาอยู่ห่างจากเขาได้สามจั้ง มันพลันดูราวติดหล่ม นิ่งค้างสั่นสะท้านครวญรำพันกับที่
เมื่อมองใกล้ ๆ จะพบว่าซูอี้ปกคลุมด้วยอำนาจกฎเกณฑ์ลึกลับเกินเข้าใจบางอย่างดุจหินโม่ที่หมุนวน หยุดศรศักดิ์สิทธิ์สีม่วงอันร้ายกาจนี้ลงได้อย่างง่ายดาย
และด้วยการก้าวย่างของซูอี้
ศรซึ่งบรรจุอำนาจสูงสุดชั่วชีวิตของชิงเซียวและหลอมรวมอำนาจกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินพลันหักกลาง
เป๊าะ!
เสียงนั้นดังราวอสนีบาตเลื่อนลั่น
ม่านตาของชิงเซียวหดตัวกะทันหัน แทบมิอาจเชื่อลง
เขาคิดว่าตัวเขาหาดูแคลนคู่ต่อสู้ไม่ และใช้ไม้ตายสังหารทันทียามลงมือ คิดว่าต่อให้ศรนี้ถูกหยุด เขาก็ยังลอบสังหารซูอี้ได้โดยมิทันตั้งตัว
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะลงมือใด ๆ เพียงหนึ่งก้าวย่างของเขาก็บดขยี้การโจมตีสูงสุดของเขาได้แล้ว!
“หือ?”
เจ้าสำนักเวิงผูและสามบรรพชนล้วนประหลาดใจ
ยามยอดฝีมือลงมือ พวกเขาก็รู้ผลแพ้ชนะแล้ว
ทว่าเรื่องน่าหวาดหวั่นคือซูอี้ไม่แม้แต่จะลงมือใด ๆ เขาใช้เพียงอำนาจมหาวิถีของเขา แต่ก็ทำลายศรนี้ลงได้!
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ศิษย์น้องชิงเซียว ถอยออกมา!”
ทันใดนั้น เวิงผูก็ถ่ายทอดเสียงด้วยยันต์ลับ “คนอื่น ๆ รีบเข้าไปช่วยเร็วเข้า!”
ในสนามรบ แม้ชิงเซียวจะไม่คิดถอดใจ แต่เมื่อได้คำสั่งเจ้าสำนัก เขาก็เลือกถอนกำลังอย่างเด็ดเดี่ยว
เปรี้ยง!
แสงสว่างรอบกายของเขาหลั่งไหลพรั่งพรู เกี่ยวหลอมเข้ากับกฎเกณฑ์ หนึ่งยันต์ลับแผดเผา อำนาจมิติปรากฏ กำลังจะย้ายเขาออกไปจากอากาศธาตุ
ทว่า อึดใจต่อมา ชิงเซียวก็เปลี่ยนสีหน้า
เพราะเมื่อซูอี้ก้าวเดิน สุญญะก็ราวกัับถูกจองจำ อำนาจของยันต์ลับชิ้นนั้นแข็งค้างมิอาจบรรลุผล
“เปิด!”
ชิงเซียวโบกคันธนูใหญ่ในมือ โจมตีอย่างสุดกำลัง
ตู้ม!
ร่างของเขาเดือดพล่าน อำนาจศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านร้ายกาจ
ทว่าด้วยอำนาจกฎเกณฑ์เร้นลับต้องห้ามที่ประดังเข้ามาเยี่ยงสายธาร ไม่เพียงมันจะสะบั้นการเชื่อมต่อระหว่างชิงเซียวและกฎสวรรค์แห่งภูมิดารานี้ลง มันยังกดร่างของเขาเสียจนไม่อาจหายใจ พันธนาการหนาแน่นมิอาจกระดิกส่วนใด ๆ ของร่างกายได้เลย
ดุจสัตว์ร้ายติดตรวน!
“แย่แล้ว!”
หนังศีรษะชิงเซียวชายิบตกตะลึง
ยามนี้เอง ซูอี้ก็ก้าวย่างที่สาม
ตาเปล่าก็เห็นได้ว่าร่างของชิงเซียวถูกกดจนคุกเข่าลงกับพื้น ผิวกายแหลกสลายทีละน้อย เลือดเนื้อกระดูกทั้งหลายของเขาล้วนแหลกร้าว
ดุจเครื่องกระเบื้องอันเปี่ยมรอยร้าวที่กำลังค่อย ๆ ปริแตก
“ไม่!”
ชิงเซียวตกใจเสียจนพยายามกระเสือกกระสนหนี
ทว่าเมื่อก้าวที่สามของซูอี้เหยียบลง
เปรี้ยง!!!
ทั้งกายหยาบและจิตวิญญาณของชิงเซียวล้วนระเบิดแหลกพร้อมเพรียงดุจเมฆหมอกโลหิตระเบิดออกบนพื้นพิภพ
และก่อนที่หมอกโลหิตจะทันกระจายฟุ้ง มันก็กลายเป็นธุลีปลิดปลิวบนฟากฟ้า
บนพื้นดินเหลือเพียงคันธนูใหญ่และซากอนุสรณ์ของชิงเซียวกระจัดกระจายหลงเหลือ!
ทั้งหมดนี้เหมือนเกิดช้า ทว่าอันที่จริงใช้เวลาเพียงสามก้าวย่างราวเดินทอดน่องลอยชายของซูอี้เท่านั้น
ไม่แม้แต่จะลงมือ เขาทำเพียงก้าวย่างสามก้าวก็สังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลางของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้แล้ว!
ภาพนองเลือดอันน่าสะพรึงกลัวทำให้เหล่าผู้พบเห็นตะลึงงัน
“ยามเจ้าเสสรวลหนักหนาจนท้องเจ็บ ก็เป็นการหัวเราะจนตายโดยแท้”
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ
ไกลออกไปมีเสียงแหวกอากาศ และยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งซึ่งรับคำสั่งจากเจ้าสำนักเวิงผูให้ช่วยชิงเซียวก็เข้ามาในบริเวณ
เมื่อพบเห็นเหตุการณ์นี้ เหล่ายอดฝีมือต่างล้วนตะลึงเปลี่ยนสีหน้าโดยพร้อมเพรียง
เพียงสามย่างก้าว ชิงเซียวก็มอดมลาย!
ฝีมือเช่นนี้แข็งแกร่งเสียจนเกินจินตนาการคนทุกผู้
และยังห่างไกลเกินกว่าการคาดคะเนเตรียมตัวของพวกเขา ทำให้ไม่อาจช่วยเหลือได้ทัน!