บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1264: เทพสูงสุดทวิภูมิ
ตอนที่ 1264: เทพสูงสุดทวิภูมิ
ชิงเซียว
ผู้อาวุโสสายในของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ตัวตนสูงสุดในขอบเขตคืนสู่สามัญ
ก่อนศึกแรกนี้ เจ้าสำนักเวิงผูได้มอบยันต์หลบลี้เป็นไพ่ตายช่วยชีวิตแก่เขา
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าแม้จะใช้ไพ่ตายช่วยชีวิตชิ้นนี้ ชิงเซียวจะยังตายอยู่ดี
ตายในสามย่างก้าว!
เมื่อส่องจากคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน ทุกคนในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนเห็นฉากที่ชิงเซียวถูกสังหารได้ชัดถนัดตา
ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งสำนักเงียบสงัด เสียงเข็มตกยังได้ยินได้
แข็งแกร่งยิ่ง!!!
เหล่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ซึ่งเดิมวิจารณ์ซูอี้อย่างสนุกปากล้วนตะลึงอึ้งคาที่
ชิงเซียวนั้นแข็งแกร่งเสียจนพวกเขาได้แค่แหงนหน้ามอง
ทว่าชิงเซียวก็ตกตาย
ตั้งแต่ต้นจนจบ คู่ต่อสู้ไม่แม้แต่จะลงมือ ใช้เพียงสามก้าวย่างสังหารชิงเซียวทิ้งทั้งกายและวิญญาณ!
ใครเล่าจะมิแปลกใจ?
“เดิมข้าคิดว่าข้าประเมินความแข็งแกร่งร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์สูงเกินไป ทว่ายามนี้ดูเหมือนว่าก็ยังต่ำเกินไปอยู่ดี…”
เจ้าสำนักเวิงผูดูมืดหม่น
สามวันมานี้ เขาเตรียมสารพัดกลวิธีและไพ่ตายในการรับมือ และเป็นเหตุที่เขายอมให้ชิงเซียวออกไปหยั่งเชิงซูอี้เป็นคนแรก
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าความแข็งแกร่งของซูอี้จะเหนือล้ำกว่าการคาดเดาของเขาไปมากโข!
“การฝึกฝนอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย แต่กลับสามารถบดขยี้ชิงเซียวซึ่งอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นกลางได้เสียย่อยยับ ต้องบอกว่าร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ร้ายกาจจริงแท้”
สุ่ยเทียนหานขมวดคิ้ว
หลี่สวินเจินเห็นเบาะแสบางอย่าง ดวงตาของเขาวูบไหว
“ทั้งที่มีการฝึกฝนเพียงแค่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่กลับแข็งแกร่งได้เพียงนี้ หากปล่อยให้เขาบรรลุสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญได้ จะเป็นเช่นไร?”
สีหน้าของกู้หลิงอวิ้นปรากฏจิตสังหาร “ไม่ว่าอย่างไร หนนี้เราต้องมิปล่อยให้เขารอด!”
น้ำเสียงของนางเย็นเยือกเสียดกระดูก
“ไม่ต้องซุกซ่อนอันใดแล้ว ใช้ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิเลย!”
หลี่สวินเจินออกคำสั่งทันที
ม่านตาของเวิงผูหดตัวเล็กน้อยขณะพยักหน้า
…
ทั่วฟ้าดิน ปราณล่าสังหารกระจายอัดแน่นจนอากาศแปรเปลี่ยนเป็นเยือกแข็ง
สามตัวตนในขอบเขตคืนสู่สามัญ อีกหกคนอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย
ทั่วภูมิดาราหมื่นโฉลก การจัดกำลังพลเช่นนี้สามารถกลายเป็นใหญ่ทั่วแดนดินได้
ทว่าครานี้ เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ราชันแห่งภูมิทั้งเก้าคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมระคนหวาดเกรง
ไม่กล้าเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย!
ซูอี้หยิบไหสุราขึ้นจิบและเดินเข้ามา
ตู้ม!
ด้วยหนึ่งย่างก้าว พื้นที่โดยรอบพลันพังทลาย อำนาจกฎสูงสุดทวิภูมิซึ่งปกคลุมทั่วท้องนภาถูกบีบอัดอย่างรุนแรงเสียจนมิอาจเข้าใกล้บริเวณนี้ได้เลย
ราชันแห่งภูมิทั้งเก้าคนซึ่งอยู่ไกลออกไปล้วนแตกตื่นเช่นฝูงปักษา ทันทีที่ซูอี้ก้าวเข้ามา พวกเขาก็ถอยกรูดไปไกลทันที
ชิงเซียวถูกสังหารอย่างง่ายดายในสามย่างก้าว
ความจริงเช่นนี้ทำให้ราชันแห่งภูมิทั้งเก้าขวัญหนีดีฝ่อ ทำให้พวกเขาไม่กล้าต่อกรกับซูอี้แม้แต่น้อย
ซูอี้แย้มยิ้มและหาสนใจไม่
ย่างก้าวของเขามิได้ช้ามิได้เร็ว และในหนึ่งย่างก้าว ฟ้าดินก็ดูราวหดตัว ก่อนจะส่งร่างของเขาพ้นลับไปไกลในพริบตา
ทันใดนั้น ท้องนภาพลันถล่มร่วง
แสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพรายสายหนึ่งโปรยลงขยี้สุญญะ ฟาดเข้าใส่ซูอี้
ซูอี้โบกแขนเสื้อ
เปรี้ยง!
แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดเปรี้ยง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นอักขระนับไม่ถ้วน จากนั้นจึงสลายหาย
ร่างของซูอี้โอนเอนเล็กน้อย อดแสดงท่าทีประหลาดใจมิได้
“ฆ่า!”
ไกลออกไป มีเสียงตะโกนลั่นเคลื่อนสวรรค์ดังออกมา
ภาพลวงของเทพสวรรค์สูงพันจั้งปรากฏขึ้นบนท้องนภา
เทพสวรรค์ผู้นั้นมีสามเศียรหกกร ถือคัมภีร์เต๋า โคมไฟสีเขียว ดาบหยกปลายมน แส้นักพรต ตราประทับทองแดง และขวดสมบัติไว้ในมือ
สามเศียรนั้น หนึ่งดูเมตตาใจดี หนึ่งเคืองแค้นอาฆาต และอีกหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์ของสรรพสิ่งอย่างต่อเนื่อง
ด้วยการปรากฏตัวของภาพลวงเทพสวรรค์พันจั้งผู้นี้ วจีวิถีทั่วฟ้าดินก็กู่คำราม แสงสว่างสะท้อนพรรณราย จรัสแสงเรืองระเรื่อ
อำนาจร้ายกาจกวาดทั่วฟ้าดิน
“ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิ?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่คือค่ายกลคุ้มสำนักของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิซึ่งเรียกได้ว่าเป็นค่ายกลสังหารสูงสุดทั่วจักรวาลพร่างดาว และเมื่อนานมาแล้ว มันก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งใน ‘สิบสามค่ายกลสังหารอันแข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวาลพร่างดาว’ โดยศาลาแต้มทอง!
หากโคจรอำนาจเต็มที่ก็จะพอสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้!
และในสายตาของซูอี้ เงาหลอนแห่งเทพสวรรค์ได้รวบรวมอำนาจของราชันแห่งภูมิขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงยี่สิบสี่คนและคืนสู่สามัญไว้เก้าคน!
นอกจากนั้น กฎสูงสุดทวิภูมิทั่วฟ้าดินนี้ยังถูกร่างลวงแห่งเทพสวรรค์ผู้นี้ควบคุมไว้เบ็ดเสร็จ
เพียงมองก็ให้ความรู้สึกเหมือนเงาร่างเทพสวรรค์นี้ยิ่งใหญ่สูงสุดราววิถีแห่งสวรรค์ ทำให้รู้สึกเหมือนตนช่างเล็กจ้อย
“ค่ายกลนี้ดีนะ”
ซูอี้เก็บไหสุราไป
ขณะที่ทุกคนซึ่งมองคันฉ่องสมบัติท่องวิมานอยู่ พวกเขาก็คิดว่าซูอี้จะใช้ดาบวิถีของเขาออกมา
ทว่าเขากลับทำเพียงม้วนแขนเสื้อ
ยังคงใช้มือเปล่า!
“เจ้านี่คงไม่ถือค่ายกลสังหารของเราเป็นจริงเป็นจังมากไปกระมัง…”
กู้หลิงอวิ้นผงะ รู้สึกเหมือนถูกหยามเหยียด
เวิงผู สุ่ยเทียนหาน และหลี่สวินเจินเองก็รู้สึกมิสบายใจยิ่งนัก รอดูสภาพเมื่อยามร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ถูกเหยียบย่ำมิไหวแล้ว
ตู้ม!
มหาสงครามอุบัติ
เงาร่างเทพสวรรค์ปรากฏขึ้นจากระยะไกล เพียงหนึ่งดีดนิ้ว สายฟ้าอสนีบาตนับไม่ถ้วนก็โปรยปรายเข้าใส่ซูอี้
สายฟ้าอสนีบาตเหล่านี้ล้วนแปรเปลี่ยนมาจากพลังของค่ายกล มันแฝงด้วยอำนาจกฎสูงสุดทวิภูมิซึ่งสามารถแผดเผาแดนดิน หล่อหลอมดาราได้ทุกเมื่อ
ซูอี้กระโดดขึ้นแทบจะในยามเดียวกัน
วูบ!
อาภรณ์ของเขาพลิ้วกระพือ ฝ่ามือฟาดฟันดุจประทับดาบ กระแทกออกในอากาศ
ปราณดาบกวาดออกไปเป็นบริเวณกว้าง ดุจธารดาราเคลื่อนหวน ย้อนสู่เก้าชั้นสวรรค์ ก่อนจะกระจายตัวเป็นหมู่อสนีบาตกลางนภา
ทันใดนั้น อสนีบาตก็คำรามลั่นฟ้า วงแสงพลิ้วกระเพื่อมไปมา ปราณดาบคมกริบเหนือผู้ใดราวกับพร้อมจะถล่มทุกสิ่งให้พินาศสิ้น
ทว่าอสนีบาตเหล่านั้นหนาแน่นเกินไปจนดูไร้ที่สุด
และร่างของเขาก็ถูกอัสนีคลั่งถล่มกวาด แม้สุดท้ายเขาจะสยบมันลงได้ แต่ร่างของเขาก็กระเด็นถอยไปหลายก้าว
ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นดังสนั่นเมื่อได้เห็น
ก่อนหน้านี้ เมื่อชิงเซียวถูกสังหาร ทุกคนในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็ตะลึงอึ้ง จิตต่อสู้ถูกกระแทกกระทั้น
ทว่ายามนี้ เมื่อร่างของซูอี้ถูกดีดกระเด็นถอย กระทั่งผู้มีอำนาจทั้งหลายยังอดใจชื้นโล่งอกกันมิได้
เกียรติภูมิของทัศนาจารย์ยิ่งใหญ่เกินไป
แม้ซูอี้จะเป็นเพียงร่างเวียนวัฏ แต่พลังต่อสู้ท้าทายสวรรค์ของเขาก็ยังสร้างแรงกดดันต่อหลายคนอย่างใหญ่หลวง
ทว่ายามนี้ พวกเขาสบโอกาส!
“น่าสนใจเอาการ”
ซูอี้กระซิบ
ในแววตาของเขามีจิตต่อสู้พลุ่งพล่านขึ้นจาง ๆ
นับแต่เหยียบย่างสู่ขอบเขตราชันแห่งภูมิ เขาก็หาคู่ประมือไม่ได้เลย
แต่ยามนี้ แม้เขาจะเผชิญหน้ากับร่างลวงซึ่งเกิดจากค่ายกล มันก็ยังปลุกจิตต่อสู้ที่จำศีลเนิ่นนานของซูอี้ขึ้นได้
“ฆ่า!”
เสียงคำรามดังขึ้นสะเทือนสวรรค์
เงาลวงของเทพสวรรค์เคลื่อนผ่านเวหา เพียงหนึ่งโบกมือ รุ้งทิพย์นับพันก็ทะยานผ่านนภา
รุ้งทิพย์ทุกสายเจิดจรัสเยี่ยงตะวัน เคลื่อนคล้อยตามเส้นขอบฟ้า จรัสแสงเฉิดฉาย เผยอำนาจทลายฟ้าสะท้านแดนดิน
ซูอี้หัวเราะร่า ก้าวขึ้นสู่อากาศ
เขาไม่ปกปิดฝีมืออีกต่อไป จากนั้นก็ใช้พลังที่แท้จริงของตน และรอบร่างพลันเกิดแสงสว่างดุจภาพฝันพลันฟุ้งขึ้น
เพียงพริบตาเขาก็ดูราวเปลี่ยนเป็นคนละคน เผยความเย่อหยิ่งดูแคลน ทัศนาลงสู่หล้าดุจเทพเซียน!
เปรี้ยง!
อำนาจฝึกฝนในร่างของเขาเป็นดั่งมหาสมุทรเชี่ยวกราก และในถ้ำโกลาหลมหาวิถีของเขามีกระทั่งเมฆเซียนอันก่อเกิดจากปราณมารดาฟ้าดินละล่องลอย
เมื่อมันถูกสะท้อนออกมาจากนอกร่าง ก็ทำให้ร่างของซูอี้ดูราวกับปกคลุมด้วยชั้นอำนาจ ให้บรรยากาศเยี่ยงเทพ
ตู้ม!
ฝ่ามือของเขาฟาดรุนแรงใส่อากาศเยี่ยงคมดาบ
ฟ้าดินในบริเวณนั้นประหนึ่งถูกสะบั้นเป็นสอง รุ้งทิพย์นับพันแหลกสลาย
เงาลวงของเทพสวรรค์ซึ่งเป็นเป้าหมายของปราณดาบถูกฟันดังเปรี้ยงสนั่น แสงสว่างวูบวาบพร่างพราย
ทว่าในชั่วพริบตา เงาลวงของเทพสวรรค์ก็ฟื้นกลับมาเช่นกาลก่อน พลังทวีคูณความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ขณะทะยานเวหาโจมตีซูอี้อีกครั้ง
มหาสงครามอุบัติ
แดนดินโดยรอบล้วนพังทลาย ผืนพสุธายุบตัว ปริเปิดเป็นหลุมบ่อแห่งแล้วแห่งเล่า และแสงวิถีศักดิ์สิทธิ์อันร้ายกาจก็สาดส่องทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบทิศพิภพ
นอกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิ พื้นที่อื่น ๆ ในบริเวณแปดร้อยลี้ล้วนพังทลายลง
“เจ้าคนแซ่ซูนั่นน่าจะแข็งแกร่งเกินไปหรือไม่?”
“ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมินี้ ผู้ก่อตั้งสำนักเราเป็นผู้สร้างขึ้นมา และหลังจากบูรณะซ่อมแซมมาไม่รู้เท่าไร พลังของมันก็สามารถสังหารตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั่วไปได้ ทว่าร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์กลับสามารถต่อกรมันได้!”
“มีตัวตนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงที่น่ากลัวเพียงนี้ในโลกหล้าด้วยหรือ!?”
ชนรุ่นเยาว์บางคนเหงื่อกาฬแตกซิกอย่างตกตะลึง
สำหรับพวกเขา ศึกตรงหน้านี้ล้มล้างทุกความรู้ ความเข้าใจและจินตนาการของพวกเขาเสียสิ้น จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
“โชคดีที่แต่แรกเดิมที ทั้งเจ้าสำนักและบรรพชนเหล่านั้นในสำนักหาดูแคลนซูอี้ผู้นั้นไม่ และเตรียมสารพัดไม้ตายสังหารไว้นอกสำนักล่วงหน้า…”
ผู้ถืออำนาจบางคนลอบปรีดา
เดิมที มีหลายต่อหลายคนที่ยามเผชิญกับภัยคุกคามจากร่างเวียนวัฏทัศนาจารย์แล้วหาได้ใส่ใจจริงจังไม่
แต่ปรากฏว่าการเตรียมการของเจ้าสำนักและเหล่าบรรพชนถูกต้องตรงเผง!
ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์มิใช่ผู้ที่จะสามารถใช้ขอบเขตมาชี้วัดได้!
“เขา… แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว…”
ดวงตาของอาไฉ่เหม่อลอย
นางยังจำยามแรกพบกับซูอี้เมื่อไม่กี่ปีก่อนได้ อีกฝ่ายยังคงเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิอยู่เลย
ทว่ายามนี้ ฐานการฝึกฝนของอีกฝ่ายอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง แต่กลับต่อสู้เทียบชั้นกับหนึ่งในสิบสามค่ายกลสังหารที่แข็งแกร่งสุดขีดในจักรวาลพร่างดาวได้แล้ว!
ซ้ำยังใช้เพียงมือเปล่า!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต่างกันราวกับเป็นคนละคน
“ข้าจำได้แม่นว่าท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่ายามเขาอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง เขาสามารถทำได้เพียงข้ามขอบเขตได้หนึ่งขั้น อย่างมากก็สังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตคืนสู่สามัญได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำให้ทั่วสำนักสั่นสะเทือน ถือว่าพบเห็นยากตลอดชั่วหลายพันปี”
กู้หลิงอวิ้นพึมพำ “แต่ซูอี้ผู้นี้… ทั้งที่มีฐานการฝึกฝนแค่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแท้ ๆ ทว่าอำนาจต่อสู้ของเขากลับเผชิญหน้ากับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้!”
วาจาของนางทั้งตะลึงและไม่อยากเชื่อ
สุ่ยเทียนหานและหลี่สวินเจินซึ่งอยู่ด้านข้างต่างแสดงความเคร่งเครียด
อำนาจต่อสู้ท้าทายสวรรค์เช่นนี้ พวกเขาจะเชื่อลงได้เช่นไร ทั่วทุกซอกมุมของจักรวาลพร่างดาวตั้งแต่โบราณกาล พวกเขายังไม่เคยพบผู้ใดเทียบได้กับคนผู้นี้มาก่อน!
เป็นหนึ่งเดียวในโลกหล้า!
ขณะนั้นเอง ดวงตาของเจ้าสำนักเวิงผูพลันแปรเปลี่ยนเป็นคลั่งไคล้ กระซิบกับตนเอง “นี่คือเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ยามก่อนที่ทัศนาจารย์จะเกิดใหม่ เขาก็แข็งแกร่งเพียงพอจะเป็นตำนานไร้เทียมทานได้ และยามนี้เขาเวียนวัฏฝึกฝนใหม่ เห็นได้ชัดว่าได้ก้าวสู่วิถีที่สูงส่งเหนืออดีตชาติไปไกล!”
“หากพลังมหาวิถีเช่นนี้อยู่ใต้ควบคุมของเรา…”
ก่อนที่วาจาจะทันกล่าวจบ สามบรรพชนก็นิ่งไป ภายในใจเกิดเป็นความโลภอันไม่อาจหยุดยั้ง
………………..