บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1265: ปล่อยปราณดาบละล่องไปสักเดี๋ยว
ตอนที่ 1265: ปล่อยปราณดาบละล่องไปสักเดี๋ยว
มหาสงครามเดือดพล่าน
เงาลวงแห่งเทพสวรรค์บัญชาสายฟ้าอสนีบาต กลืนวาตะอัคคี ทุกการขยับร่างเผยอำนาจสะเทือนโลกาเยี่ยงเทพ
ทว่าสิ่งที่ยิ่งน่าจดจำคือซูอี้
เขาดูเล็กจ้อยเมื่ออยู่ตรงหน้าเงาเทพสวรรค์สูงพันจั้ง
ทว่าทุกครั้งที่เขาขยับ ล้วนทรงพลังสั่นสะท้านโลกา
ภาวะดาบลึกลับพลิ้วปรากฏในมือ ทะยานพลุ่งพล่านฟาดฟันเวหา พัวพันเกินแยกกับเงาลวงเทพสวรรค์ได้
ด้วยความสำเร็จวิชาดาบอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้ ราชันแห่งภูมิมากมายในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนตกตะลึงเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
เมื่อถามตนเองดู หากเปลี่ยนเป็นตนเอง เกรงว่าคงมิอาจหยุดการโจมตีเช่นนี้ได้และถูกฆ่าง่าย ๆ แน่แท้!
และนี่เองที่ทำให้ผู้คนมิอาจจินตนาการ
ตลอดกาลผ่านมา ใครเล่าจะเคยเห็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงแข็งแกร่งได้เพียงนี้?
ไม่!
สำหรับซูอี้ แม้ศึกนี้จะดุเดือด แต่มันก็หาหนักหนาไม่
แม้ว่าพลังของเงาเทพสวรรค์จะแข็งแกร่ง แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงค่ายกลที่ขาดวิญญาณและสติปัญญา หาใช่คู่ต่อสู้ที่แท้จริงไม่
แม้ว่าจะมีผู้ควบคุมค่ายกล แต่พวกเขาก็เป็นราชันแห่งภูมิกลุ่มหนึ่ง
ความแข็งแกร่งนั้นมาจากการเปลี่ยนแปรค่ายกลเอง มิอาจเทียบกับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดตัวจริงได้
แน่นอนว่านี่คือสำหรับซูอี้ผู้เดียว
เขาก็รู้ว่าหากเปลี่ยนเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั่วไป เกรงว่าคงจะรับมือค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิซึ่งลงมือหนักหน่วงเช่นเดียวกับเขาได้ยาก
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนเข่นฆ่าลั่นทั่วสรวงสะเทือนทั่วแดน อำนาจเงาร่างเทพสวรรค์ร้ายกาจยิ่งขึ้นทุกขณะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเห็นพวกเขาโจมตีไม่เข้ามานานเข้า เหล่าราชันแห่งภูมิซึ่งควบคุมค่ายกลก็เริ่มกระสับกระส่ายกันแล้ว
“ข้าไม่มีเวลามาใช้กับค่ายกลมากนัก”
ระหว่างศึก ดวงตาของซูอี้วูบไหวเย็นชา
ตู้ม!
เขาเปลี่ยนกฎมหาวิถี ขัดขวางพิรุณแสงกฎเกณฑ์ที่ทะยานออกมา ก่อนจะฟันปราณดาบออกมาหลายสิบในพริบตา
ปราณดาบแต่ละสายล้วนรวดเร็วเยี่ยงเคลื่อนไหวพริบตา ว่องไวเสียยิ่งกว่าแสงสว่างพริบพราย
ทุกคนยังไร้ช่วงให้ตั้งตัว ปราณดาบก็หายวับไปเสียแล้ว
ซูอี้ยืนอยู่บนอากาศ เขานำไหสุรายกกระดกดื่ม ก่อนกระซิบเบา ๆ “ปล่อยปราณดาบ… ละล่องไปสักเดี๋ยว”
ขณะเดียวกัน เงาลวงแห่งเทพสวรรค์สูงพันจั้งซึ่งอยู่ห่างออกไปพลันหยุดชะงัก
ทันใดนั้น เงาลวงเทพสวรรค์ก็สั่นระริกอย่างรุนแรง พลังของค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วร่างของมันรวนเร เกิดเป็นแสงอสนีบาตคำรามคลั่ง
ซวนเซเสียจนให้ความรู้สึกเยี่ยงคนเมา
หือ?
ทุกคนที่มองศึกอยู่ล้วนตะลึงจังงัง นี่มันเรื่องใดกัน?
และเหล่าผู้มีพลังฝึกฝนในขอบเขตราชันแห่งภูมิต่างล้วนใบหน้าเปลี่ยนสีอย่างพร้อมเพรียง
ในสายตาของพวกเขา พวกเขาเห็นว่าสามเศียร หกกรและสองขาของเงาเทพสวรรค์นั้นปริร้าวเยี่ยงกระจกแตกละเอียด
และทันใดนั้น รอยร้าวก็ขยายออก
เหล่าราชันแห่งภูมิซึ่งเดินค่ายกลอยู่ดูจะอยากซ่อมแซมรอยร้าวเหล่านี้อย่างเห็นได้ชัด ทว่าในชั่วขณะนั้น พวกเขาไม่อาจทำได้ เงาเทพสวรรค์จึงสั่นเทิ้มรุนแรงประหนึ่งกำลังแหลกสลาย
สถานการณ์นี้คงอยู่เพียงไม่กี่อึดใจ
และทุกคนก็เห็นเงาร่างเทพสวรรค์สูงพันจั้งค่อย ๆ แหลกสลายร่วงลง
สามเซียนพังทลาย
หกกรปลิดปลิวบนเวหา
สองขาสะบั้นออกจากเข่า
และกระทั่งคู่บาทยังร่วงจากข้อเท้า
ดุจศพที่ถูกสังหารแยกส่วน!
ทันใดจากนั้น ชิ้นส่วนเหล่านี้ก็ระเบิดแหลก
ทั่วฟ้าดินสะเทือนสั่น อากาศแปรปรวน คลื่นกระแทกร้ายกาจพัดกระพือ ปั่นป่วนทั่วอาณาบริเวณ
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนตะลึงจังงัง
ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิแหลกสลาย!!
นี่คือสิ่งที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่กาลใด
เพราะถึงอย่างไร พลังของค่ายกลนี้ก็น่าหวาดหวั่นพอจะติดอันดับสิบสามค่ายกลสังหารอันแข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวาลพร่างดาวได้ และยังเป็นค่ายกลพิทักษ์สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิอีกด้วย
แม้กาลก่อนจะมีศัตรูร้ายกาจใด ๆ แต่พวกเขาก็ไม่เคยทะลวงค่ายกลนี้ได้มาก่อน
ทว่ายามนี้ มันกลับแหลกสลายลงในพริบตาโดยน้ำมือทัศนาจารย์ผู้มีระดับฝึกฝนเพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
ความน่าตะลึงซึ่งกระแทกใจคนทุกผู้นี้ร้ายกาจเกินไป
ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมีแต่เสียงร้องอย่างตื่นกลัว
“มิน่าเล่า เมื่อวานซืนนี้เขาจึงมั่นใจนัก ทั้งยังกล่าวว่าจะมาคิดบัญชีและช่วยคน… นี่คงเป็นความแข็งแกร่งของเขา…”
อาไฉ่ตะลึงงัน และในที่สุดก็เข้าใจ
ในโลกหล้าอันปั่นป่วนรวนเร ร่างสูงของซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนอากาศดูเตะตาเป็นพิเศษ
อาภรณ์ของเขาพลิ้วไสว ยกไหสุราขึ้นดื่มรวดเดียว องอาจไร้สิ่งใดฉุดรั้ง ไม่อาจพบเห็นบาดแผลใด ๆ บนร่าง
ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่าเมื่อครู่ ชายหนุ่มผู้ดูห่างเหินนี้จะเป็นผู้ทำลายค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิในพริบตา?
และเรื่องน่าเหลือเชื่อที่สุดก็อยู่ที่นี่
ยามค่ายกลทลายลง ซูอี้นั้นแสนผ่อนคลายสุขุม ใครเล่าจะไม่รู้ว่ากระทั่งค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิยังมิอาจเป็นภัยต่อซูอี้ได้จริง ๆ?
“เรา… ประเมินเขาต่ำเกินไปอีกแล้ว…”
ใบหน้าของเจ้าสำนักเวิงผูดำมืดเยี่ยงก้นบึ้งห้วงวารี ยากเย็นเกินกว่าจะสงบใจได้ เสียงของเขาดูจะเป็นการเค้นลอดไรฟัน เปี่ยมโทสะและความเกลียดชัง
“กฎมหาวิถีที่เขาบรรลุเห็นได้ชัดว่าต่างจากกาลก่อน แต่ก็สามารถขัดขวางกฎสูงสุดทวิภูมิได้และรวดเร็วยิ่งนัก นี่แหละสิ่งที่น่ากลัวที่สุด”
ใบหน้าของหลี่สวินเจินดูเคร่งเครียด
เขาคือราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลาย สู้ฝึกเผชิญกับมรสุมนับไม่ถ้วน และยามนี้ เขาก็เข้าใจถ่องแท้ว่าเหตุใดซูอี้จึงฝ่าค่ายกลออกมาได้
แก่นแท้อยู่ที่ความเร็ว!
เพียงพริบตา สิบสามปราณดาบก็ถูกส่งออกมาติด ๆ กัน ปราณแต่ละสายโจมตีใส่พื้นที่สำคัญของเงาเทพสวรรค์ ทำให้ค่ายกลแหลกสลายลงทันที
ราชันแห่งภูมิทั้งหลายซึ่งเดินค่ายกลอยู่ไร้ช่วงจังหวะให้ขัดขืน ทำให้เกิดภาพเช่นนี้ขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เราวางแผนศึกวันนี้อยู่เนิ่นนานและเตรียมไพ่ตายสารพัด นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมิถึงกาลตัดสินแพ้ชนะ!”
สุ่ยเทียนหานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แม้เขาจะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้าของเขากำลังโกรธขึ้งจนผิดปกติ
ไม่ต้องสงสัยว่าหัวใจของเขาก็ถูกไฟสุมมิแพ้กัน
“แต่เขา… เขายังไม่ได้ใช้ดาบของเขาเลยนะ”
เสียงของกู้หลิงอวิ้นเบาหวิว
หนึ่งวาจานั้นสื่อความหมายชัดเจน นั่นคือในมือของซูอี้ก็ยังมีไพ่ตายเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้คิ้วของทุกคนขมวดหนักยิ่งขึ้นอีก
และผู้ที่ตะลึงและถูกกระทบจิตใจที่สุดก็คือเหล่าราชันแห่งภูมิซึ่งเดินค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิ
เมื่อค่ายกลนี้พังลง พวกเขาเองก็ถูกผลย้อนกลับ พวกเขาแต่ละคนต่างร่างซวนเซ คนมากมายกระอักเลือดคำโต ใบหน้าซีดเซียวทรุดโทรม
“บ้าจริง!”
“ไยจึงเป็นเช่นนั้น?”
พวกเขาล้วนตื่นกลัว ยากจะยอมรับความจริงเช่นนั้นได้
โดยไม่รีรอให้พวกเขาคืนสติ เสียงโวยวายอย่างกระวนกระวายของเจ้าสำนักเวิงผูก็ดังขึ้นในโสต
“ถอย! เร็วเข้า!”
เหล่าราชันแห่งภูมิล้วนสะดุ้งราวตื่นจากฝัน
เมื่อมองขึ้นไปพวกเขาก็พบว่าซูอี้ทะยานขึ้นสู่อากาศแล้ว
“เผ่นเร็ว!”
คนทั้งหลายล้วนตื่นตะลึง ก่อนจะหันหลังเผ่นหนี
แต่ก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง
แขนเสื้อของซูอี้สะบัดโบก ปราณดาบสายแล้วสายเล่าเลื้อยทะยานเยี่ยงภูตอสรพิษโลดโผน
สุญญะถูกผ่าเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน
ภาวะดาบอันน่าหวาดหวั่นพร้อมด้วยวจีดาบหวีดหวิวเป็นดั่งทำนองชี้ชะตา ก้องกังวานไปทั่วฟ้าดิน
ฉัวะ! ฉับ! ฟู่!
ทันใดนั้น ม่านเมฆาโลหิตกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าก็ฟุ้งออก
เมื่อมองจากคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน ภาพที่เห็นดูราวกับบุปผาเพลิงแดงฉานเบ่งบานดอกแล้วดอกเล่าท่ามกลางโลกหล้าอันรวนเร
ชวนตะลึงตรึงตา
ปราณดาบนั้นน่ากลัวเกินไป
เจิดจรัสมิอาจทำลายลง
ภายใต้การเข่นฆ่าจากปราณดาบเช่นนี้ ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงหรือคืนสู่สามัญล้วนระเบิดแหลกเยี่ยงกระดาษเปื่อย
เพียงพริบตา ราชันแห่งภูมิยี่สิบสี่คนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง และเก้าคนในขอบเขตคืนสู่สามัญล้วนสิ้นใจ!
ไร้ชีพใดหลงเหลือ!
ทั่วโลกหล้าถูกย้อมด้วยสีแดงอันน่าสะพรึงกลัว
“อีกแล้ว อีกแล้ว…”
ยามประจักษ์แก่เรื่องทั้งหมดนี้ แรงกระทบต่อจิตใจเซวียจ่างอีก็พลันสูงสุดขีด หนังหัวของเขาชายิบ ใบหน้าตื่นกลัวไร้สีเลือด จดจำเรื่องที่เกิดขึ้นในโถงวิถีแปรตะวันเมื่อไม่กี่วันก่อนได้
ยามนั้น ซูอี้สังหารบรรพชนในขอบเขตคืนสู่สามัญของโถงวิถีแปรตะวันลงอย่างง่ายดาย
และยามนี้ เพียงหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ ปราณดาบวูบไหวก็สามารถสังหารหมู่ราชันแห่งภูมิลงได้เยี่ยงหักไม้ไผ่!
สิ่งนี้ทำให้เซวียจ่างอีตื่นกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง เนื้อตัวชุ่มโชกด้วยเหงื่อกาฬเย็นเฉียบ
ขณะเดียวกัน
ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็เงียบกริบดุจป่าช้า
ทุกคนรู้สึกราวลืมหายใจ
ผู้ฝึกตนผู้เยาว์วัยบางคนตื่นกลัวเสียจนเสียสติเป็นลมทั้งยืนไปแล้ว!
ไม่ใช่เพราะพวกเขามิกล้าพอ แต่จากคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน พวกเขาเห็นการตายของเหล่าราชันแห่งภูมิได้อย่างชัดเจน!!
ภาพการละเลงเลือดนี้เกิดขึ้นคาตาเพียงนี้ การตื่นกลัวจนสติหลุดจึงเป็นเรื่องธรรมดา
เท่านั้นยังดี
หากไปอยู่ในสนามรบ เพียงอำนาจที่ซูอี้สำแดงก็เพียงพอทำให้เหล่าผู้ฝึกตนอ่อนหัดเหล่านี้ตะลึงจนล้มตายได้แล้ว!
เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายล้วนตื่นกลัว มิอาจสงบใจลงได้โดยถ้วนทั่ว!
นับแต่เริ่มศึกจวบยามนี้ เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งเสี้ยวชั่วยามด้วยซ้ำไป
ทว่าชิงเซียวตาย
ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิแหลกสลาย
กระทั่งราชันแห่งภูมิยี่สิบสี่คนในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง และเก้าคนในขอบเขตคืนสู่สามัญยังตายอนาถอยู่ข้างนอกสำนัก!
ใครเล่าจะไม่ตกใจ?
ใครเล่าจะไม่กลัว?
“หากรู้เช่นนี้คงไม่นำกำลังไปไว้นอกสำนักหรอก! หากพวกข้าลงมือเองคงไม่เกิดความเสียหายเพียงนี้!”
สุ่ยเทียนหานกัดฟันอย่างเคืองแค้น กล่าวอย่างโกรธกรุ่น
“ใครเล่าจะคิดว่าเมื่อปีก่อน ร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ยังต้องพึ่งพาพลังมหาวิถีในอดีตชาติมาสังหารราชันแห่งภูมิอยู่เลย ทว่ายามนี้เขากลับสามารถทำลายค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิลงด้วยความแข็งแกร่งของตนเองแล้ว?”
หลี่สวินเจินรำพึง
ครานี้เป็นการคำนวณพลาดโดยแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้ว แม้พวกเขาจะให้ความสำคัญกับศัตรูในครานี้อย่างยิ่งยวด พวกเขาก็ค้นพบว่ายังประมาทและมองข้ามอีกฝ่ายไปอย่างร้ายแรงอยู่ดี!
ยามนี้ เสียงของกู้หลิงอวิ้นพลันกล่าวอย่างเย็นชา “เขาเข่นฆ่ามาถึงหน้าประตูสำนักแล้ว เรา… ยังต้องคืนตัวประกันหรือไม่?”
ทุกผู้ล้วนหันมองไปยังคันฉ่องสมบัติท่องวิมาน และได้เห็นร่างของซูอี้ทะยานมาจากไกล ๆ เกือบถึงหน้าประตูสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจริงดังว่า!
และจากคำสั่งที่ชิงเซียวกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ขอเพียงซูอี้มาถึงประตูสำนัก พวกเขาสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิต้องคืนตัวประกัน
ทุกคนมองหน้ากัน ความไม่เต็มใจพุ่งขึ้นมาจุกหน้าอก
จากการวางแผนก่อนหน้านี้ของพวกเขา ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่าซูอี้จะเข่นฆ่ามาถึงหน้าประตูสำนักได้!
กระทั่งยิ่งไม่คิดว่าจะต้องส่งตัวผู้ใดให้เขา!
“หากเป็นศึกชี้วัดเป็นตายเช่นนี้ ไยต้องมาสนใจข้อตกลงเหล่านี้ด้วยเล่า?”
หลี่สวินเจินกล่าวอย่างเย็นชา
เขาเบนสายตาไปกล่าวกับสุ่ยเทียนหานและกู้หลิงอวิ้น “ไป ไปฆ่าเจ้าสัตว์ร้ายนี่กัน ไม่ว่าอย่างไรเราต้องมิให้มันรอดไปได้!”
จิตสังหารเดือดพล่าน