บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1266: วาจาสุดท้ายของเจ้า
ตอนที่ 1266: วาจาสุดท้ายของเจ้า
………………..
ตอนที่ 1266: วาจาสุดท้ายของเจ้า
นอกสำนัก
ซูอี้ยืนอยู่เพียงลำพัง
วายุพลิ้วแผ่ว อาภรณ์สีเขียวพัดไหว
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิสูงใหญ่ตระหง่านล้ำ ลือว่าแปรเปลี่ยนมาจากอำนาจกำเนิดฮุ่นตุ้นของภูมิดาราหมื่นโฉลก
เหตุที่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสามารถเป็นยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวก็เกี่ยวเนื่องกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิ
การฝึกฝนที่นี่มอบความสามารถในการเข้าใจและควบคุมกฎสูงสุดทวิภูมิ รวมถึงการดูดซับและหล่อหลอมพลังต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นอย่างพิเศษเฉพาะแก่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ผลก็คือสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสามารถให้กำเนิดตัวตนอันทรงพลังที่สามารถสะเทือนโลกาออกมาได้เสมอ
เฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วเคยโอ่ไว้ว่า ตราบใดที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิมิได้ถูกทำลาย จะไม่มีผู้ใดในโลกหล้าล้มสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิลงได้
และยามนี้ ซูอี้ก็มายืนอยู่ต่อหน้า
เขาหาได้สนใจทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิทิ้งไม่ ในใจเขาคิดทำเพียงสองสิ่ง
คิดบัญชี
ช่วยคน
ทั่วทิศเงียบงันว่างเปล่า
ทว่าซูอี้รู้ว่าภายในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิต้องมีสายตานับไม่ถ้วนจับตามองทุกการกระทำของเขาผ่านคันฉ่องสมบัติท่องวิมานอยู่
พรึ่บ!
เหนือภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิ ร่างหนึ่งทะยานขึ้นสู่อากาศ
บรรยากาศรอบร่างดุจเทพเซียน ร่างผอมสูง ปกคลุมด้วยเพลิงแสงแห่งกฎเกณฑ์ เขาคือหลี่สวินเจิน
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
“ทัศนาจารย์ เจ้าช่างโหดเหี้ยมนัก!”
ซูอี้จ้องมองคนผู้นี้ชั่วขณะ และพลันจำบางอย่างขึ้นได้ “ก่อนหน้านี้ ข้าเคยพบเจ้าที่ไหนหรือ?”
หลี่สวินเจินกล่าวอย่างเย็นชา “ข้ามิคิดว่าทัศนาจารย์แห่งโลกาทัศนาจะยังจำตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ได้ ชวนให้ประหลาดใจจริงเชียว”
ซูอี้เสสรวลก่อนจะกล่าว “ข้าจำได้แล้ว เมื่อหนึ่งแสนสามหมื่นเก้าพันปีก่อนบนภูเขาเป่ยหลิง ข้ากำลังหารือกับเฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วอยู่ เจ้าในยามนั้นยังเป็นเพียงเจ้าหนูที่เพิ่งก้าวเท้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ เห็นข้าอัดเติ้งจั๋วลงไปกองจมเลือดบนพื้นแล้วตะลึงก้นจ้ำเบ้าด้วยความตกใจ ฉี่ราดอยู่บนพื้นนี่”
หลี่สวินเจิน “…”
ผู้คนนับไม่ถ้วนภายในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนตะลึงจังงัง
เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับบรรพชนสวินเจินมาก่อนหรือ!?
“หลังผ่านไปแสนนาน ไอ้หนูที่สมัยนั้นยังขนบนร่างงอกไม่ครบก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลายแล้วหรือนี่”
ซูอี้อดรำพึงเล็กน้อยมิได้
“พอแล้ว!”
ใบหน้าของหลี่สวินเจินแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าอับอาย ก่อนจะกล่าวขึ้นเสียงแข็ง “ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเจ้าทัศนาจารย์จะยิ่งใหญ่เพียงไร แต่ไม่ใช่ว่ายามนี้เป็นเพียงไอ้หนูปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรอกหรือ?”
ซูอี้กล่าวด้วยแววตาเย้าหยอก “รีบร้อนเพียงนั้นเชียว? อยากให้ข้าใช้เคล็ดวิชาย้อนภาพยามเจ้ากลัวจนฉี่ราดขึ้นมาหรือไม่?”
หลี่สวินเจินชะงักค้าง เส้นเลือดปูดโปนขึ้นหน้าผาก สีหน้ามืดหม่นด้วยความโกรธขึ้ง
มิต้องสงสัยเลยว่าวาจาของซูอี้แทงใจดำของเขาเต็ม ๆ หากภาพอันไม่อาจรับได้นั้นถูกย้อนปรากฏขึ้นจริง ๆ เขาจะกลายเป็นตัวตลกของสำนักแน่
ในภายหน้า ไม่ว่าใครพูดถึงหลี่สวินเจินก็จะพูดถึงแต่เรื่องอัปยศน่าอายของเขา
แล้วเขาจะมีหน้าพบผู้อื่นในภายหน้าได้เช่นไร?
ยามเยาว์วัย ไม่ว่าผู้ใดย่อมเคยกระทำเรื่องน่าขัน พบประสบการณ์อันแสนน่าอายเกินรับไหว
ทว่าบางอย่างก็ควรค่าให้อับอายไปชั่วชีวิต
เหมือนยามที่เขากลัวจนฉี่ราดซึ่งมิต้องสงสัยเลยว่าเป็นความอับอายเกินรับไหวที่สุดในใจหลี่สวินเจิน!
ยามนี้เมื่อถูกซูอี้กระตุ้นความหลัง และยังเป็นต่อหน้าคนทุกผู้ในสำนัก แม้ว่าหัวใจวิถีของหลี่สวินเจินจะได้รับการขัดเกลาจนไม่อาจทำลายลง แต่เขาก็ยังรู้สึกอับอายขายหน้าอยู่ดี
“เจ้าคนแซ่ซู ไม่คิดหรือว่าวิธีการเช่นนี้น่ารังเกียจยิ่งนัก!?”
หลี่สวินเจินโกรธจนข่มเขี้ยวอย่างแค้นเคือง
“น่ารังเกียจ?”
ซูอี้แย้มยิ้ม “พ่ายแพ้ยับเยินในศึกที่ภูมิดาราฟ้าดิน แต่ไม่กล้ามาล้างแค้นกับข้า กลับไประบายโทสะลงกับเมิ่งฉางอวิ๋น กระทั่งบังคับพาตัวอาจารย์และศิษย์ของเมิ่งฉางอวิ๋นมาเป็นตัวประกัน ยังมีหน้าอันใดมาพูดจาเช่นนี้?”
ซูอี้กล่าวพลางนวดหว่างคิ้ว “แม้ข้าจะเป็นศัตรูของเฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋ว แต่ถึงอย่างไรเฒ่าจมูกโคผู้นี้ก็มีฝีมือสมฐานะ เทียบกันแล้วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิถอยหลังลงคลองไปตามรุ่นจริง ๆ”
ยามนี้ สุ่ยเทียนหานกับกู้หลิงอวิ้นก็ได้พุ่งเข้ามาหาหลี่สวินเจินทีละคน
“ทัศนาจารย์อันใดกัน ยามนี้เจ้าไม่ใช่แล้ว! เจ้าก็แค่ไอ้คนจากภูมิดาราฟ้าดินก็เท่านั้น”
สีหน้าของสุ่ยเทียนหานไร้อารมณ์
“คนแซ่ซู ไม่กลัวเราจะฆ่าตัวประกันสองคนนั้นหรือไร?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าวออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าซูอี้ก็เลือนหาย
หัวใจของสุ่ยเทียนซานและหลี่สวินเจินเย็นเยือก ลือกันว่าสิ่งที่ทัศนาจารย์เกลียดชังที่สุดในชีวิตก็คือการถูกข่มขู่ซึ่งหน้า!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวาจาของกู้หลิงอวิ้นได้ล้ำเส้นเขาไปแล้ว!
ตู้ม!
เถาวัลย์มารดาฟ้าดินปรากฏขึ้นบนมือของซูอี้ แปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีอันเรียบง่าย
“จะถือประโยคนี้เป็นวาจาสุดท้ายของเจ้าแล้วกัน”
ร่างของซูอี้ทะยานขึ้นสู่เวหา ดาบชี้ปลายตรงไปยังกู้หลิงอวิ้น จิตสังหารดุดันเองก็ปกคลุมนางไว้
“วาจาสุดท้าย? ข้าเห็นว่าสุดท้ายเจ้าก็มีแต่ตาย แต่ก็ยังไม่นึกละอาย!”
กู้หลิงอวิ๋นเหยียดยิ้ม แล้วง้าวอันเปี่ยมอสนีบาตสีน้ำเงินวูบไหวก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง ร่างวูบไหวเข้าโจมตีซูอี้
ตู้ม!
ง้าวกวาดผ่านนภา อำนาจกฎเกณฑ์ดุดันเวียนวนก่อกวนทั่วทิศสะเทือนป่วน
ในหมู่ตัวตนระดับบรรพชนของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ แม้กู้หลิงอวิ้นจะมีการฝึกฝนเพียงขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลาง ทว่านางก็เป็นศิษย์ใกล้ชิดผู้หนึ่งของเติ้งจั๋ว ด้วยความสามารถที่โดดเด่นและพลังการต่อสู้อันเที่ยงแท้ นางจึงสามารถเผชิญหน้ากับราชันแห่งภูมิขั้นปลายขอบเขตไร้ขีดจำกัดเยี่ยงหลี่สวินเจินได้อย่างเท่าเทียม
ทันทีที่นางขยับ อำนาจร้ายกาจก็ดูราวจะพลิกกลับฟ้าดินสลับด้าน
“คัมภีร์วิถีอสนีบาตเหนือนภา? พอจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่หากเทียบกับเติ้งจั๋วแล้วก็ย่อมห่างชั้นไปไกล”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
จากนั้นเขาก็ตวัดดาบฟันออกไปอย่างเรียบง่าย
เมื่อดาบนั้นฟันออก ดูราวธารสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทะยานพุ่งทำลายล้าง และสลายการโจมตีของกู้หลิงอวิ้นลงกะทันหัน
ชิ้ง!!
ง้าวสีน้ำเงินสะเทือนไหว
ร่างอรชรของกู้หลิงอวิ๋นเองก็สะเทือนไปกับมัน นางซวนเซก้าวถอย ใบหน้างดงามซีดขาว
ภาพนี้ทำให้ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิสั่นสะท้าน
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ากู้หลิงอวิ้น ผู้เป็นหนึ่งบรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลางจะถูกผลักกระเด็นในหนึ่งการโจมตี!
“ว่าแล้วเชียว หลังคนผู้นี้ใช้ดาบ ความแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งน่ากลัว”
ดวงตาของเวิงผูวูบไหว ใบหน้าถมึงตึงด้วยความเครียด
“ไป!”
หลี่สวินเจินตวาดลั่น ก่อนที่เขาจะลงมือ
ชายชราร่างผอมสูงผู้มีบรรยากาศดุจเทพเซียนใช้ตราประทับวิถีสีเขียวฟาดสังหารซูอี้ข้ามนภา
ตราประทับวิถีหมุนควงพุ่งทะยาน ใต้ตราประทับสองอักษร ‘หยกอัสนี’ เล็กจ้อย และทันทีที่มันปรากฏก็ดูราวกับบรรพตบรรพกาลที่เต็มไปด้วยอัสนีฟาดผ่า
ตู้ม!
แทบจะในคราวเดียวกัน สุ่ยเทียนหานก็นำดาบโบราณลายต้นสนเบื้องหลังเขาออกมา มันปกคลุมด้วยกฎเกณฑ์ดุจมังกรเพลิงขนดพัน หนึ่งวาดดาบส่งทะเลเพลิงท่วมผืนนภา
กู้หลิงอวิ๋นมิกล้าเลินเล่ออีก และลงมือทุ่มสุดตัว
สามตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิรุมโจมตีซูอี้เป็นรูปตัว ‘พิ่น’ (品)
อำนาจของแต่ละคนแข็งแกร่งเสียจนผู้มองจากระยะไกลยังรู้สึกสิ้นหวัง
เนื่องจากแต่เดิม ขอบเขตไร้ขีดจำกัดสื่อถึงอำนาจต่อสู้สูงสุดในโลกหล้า อำนาจในมือพวกเขาสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้
ยังมิต้องพูดถึงว่าขณะนี้ สามตัวตนในระดับบรรพชนลงมือสุดกำลัง!
ซูอี้หาได้หลบเลี่ยงไม่
เขาสะบัดอาภรณ์เขียว ก่อนจะฟาดดาบเข้าเผชิญ
เปรี้ยง!
ท้องนภาสลัวมัว ตะวันจันทราดับแสง
มหาสงครามบังเกิด
เพียงชั่วไม่กี่พริบตา สองฝ่ายก็ประมือกันไปหลายร้อยกระบวน ทั่วหล้าฟ้าดินรวนเร สรรพสิ่งเหี่ยวระแหง แสงศักดิ์สิทธิ์พร่างระยับทั่วทศทิศราวเทพเซียนประชันศึก หายนะบังเกิดแก่โลกหล้า
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะขึ้นหนึ่งเสียง
คันฉ่องสมบัติท่องวิมานซึ่งอยู่ห่างออกไปมิอาจทนการกระทบจากลูกหลงศึกเช่นนี้ได้ มันจึงระเบิดเปรี้ยงแหลกสลาย
ไม่อาจทราบได้ว่ามีเสียงอุทานตกใจอันลนลานของผู้คนดังออกมาจากในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิกี่เสียง
พรึ่บ!
อาไฉ่ทะยานขึ้นสู่เวหา และมองออกไปไกลในทันที
ขณะเดียวกัน ผู้ทรงอำนาจคนอื่น ๆ บางผู้ก็พุ่งทะยานขึ้นมาชมศึกบนเวหา
“หือ? นั่นมันกระดูกสัตว์ที่สลักแผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนไว้นี่!”
ทันใดนั้น อาไฉ่ก็สังเกตเห็นว่าเวิงผูเองก็ปรากฏตัว และในมือของเขาถือกระดูกสัตว์ที่มีแสงเซียนระยับวูบไหว ดูคล้ายดาบบินอันสะดุดตายิ่งนัก
“ดูเหมือนเจ้าแก่เวิงผูก็เตรียมตัวใช้ค่ายกลดาบวิถีเซียนแล้ว”
หัวใจของอาไฉ่บีบตัว
และที่ด้านนอกประตูสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
สงครามทวีความเข้มข้น
ตู้ม!
อสนีบาตคลั่งทะยาน ง้าวสีน้ำเงินของกู้หลิงอวิ้นแหวกอากาศฟาดฟันเข้าใส่ซูอี้
ใบดาบของซูอี้สั่นสะท้านทิ่มแทง อสนีบาตบนท้องนภาแหลกสลาย ง้าวสีน้ำเงินถูกฟาดสั่นหวือ และร่างของกู้หลิงอวิ้นก็กระเด็นไปอีกครั้ง
ทว่า ขณะเดียวกันนั้น ตราประทับหยกอัสนีของหลี่สวินเจินซึ่งใหญ่ยิ่งดุจขุนเขาศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลก็บดขยี้เข้ามาใส่เขา
เคร้ง!!
ซูอี้ฟาดดาบอย่างแรง สองศาสตราปะทะ ก่อเกิดเป็นคลื่นอำนาจทำลายล้างมหาศาล
ที่ท้ายขบวนศึก สุ่ยเทียนหานฉวยโอกาสใช้ดาบโบราณลายสนฟาดฟันลงอย่างเกรี้ยวกราด
ร่างของซูอี้วูบไหว ดาบวิถีในมือของเขาเหมือนมีตา กวาดฟาดฟันรุนแรง ทำลายดาบอันร้ายกาจโหดเหี้ยมนี้ได้ลงทันที
ร่างของสุ่ยเทียนหานถูกกวาดกระเด็นหัวทิ่ม
ทว่ากู้หลิงอวิ้นและหลี่สวินเจินได้รุมโจมตีเข้ามาอีกครั้งโดยมิรีรอให้ซูอี้ตั้งตัว
สถานการณ์ศึกเช่นนี้ดุร้ายอันตรายเกินไปจริง ๆ
บรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั้งสามคนต่างรุมล้อมโจมตีซูอี้ อำนาจร้ายกาจนี้ถล่มทำลายได้แม้ตัวตนในขอบเขตเดียวกัน
แต่ซูอี้ก็รอดชีวิต
ยิ่งกว่านั้น เขายังไร้สัญญาณว่าจะมิอาจรับมือไหวเสียด้วย
เทียบกันแล้ว พลังที่ซูอี้เผยออกมาในศึกนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า จากแต่ละดาบที่ฟาดฟันออกมาของเขาหลอมรวมสารพัดเคล็ดวิชาวิถีดาบสูงสุดต่าง ๆ เอาไว้
เมื่อมองดูก็เหมือนเทพดาบไร้มลทิน ปราณดาบเปี่ยมพลัง!
ฆ่า!
เขาตวัดดาบไร้กังวล กิริยาเปิดเผย และยังสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่สามบรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดอีกด้วย
ทั้งสามล้วนสั่นสะท้านในใจ สีหน้าเคร่งขรึมยิ่งขึ้นทุกขณะ
หลังจากมารับมือด้วยตนเอง พวกเขาก็ตระหนักอย่างถ่องแท้ว่าทัศนาจารย์ผู้เวียนวัฏหวนคืนร้ายกาจเพียงไร
ดูเหมือนเขาจะมีการฝึกฝนเพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ทว่าอำนาจต่อสู้กลับร้ายกาจเสียจนเป็นภัยคุกคามต่อตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเหล่านี้ได้!
สิ่งที่ทำให้พวกเขาหนาวเยือกในใจก็คือ ต่อให้ร่วมมือกันก็หยุดอีกฝ่ายไว้ได้ไม่นาน!
นี่พิสูจน์โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนแต่อาจมิใช่คู่ต่อสู้ในศึกประมือเดี่ยว!
“ถอย!”
ในศึกอันดุเดือด หลี่สวินเจินตวาดเสียงต่ำอย่างดุดัน
สุ่ยเทียนหานกับกู้หลิงอวิ้นมองหน้ากัน ทั้งสองต่างเข้าใจโดยมิต้องพูดจา จากนั้นก็ทะยานกลับสู่ประตูสำนักพร้อมกับหลี่สวินเจิน
ทว่ามีหรือซูอี้จะปล่อยให้พวกเขาสมปรารถนา?
เขาทะยานร่างไล่ตามอย่างรวดเร็ว หนึ่งดาบอันหล่อหลอมกฎเร้นลับต้องห้ามอันลึกลับเกินเข้าใจฟาดฟันเข้าใส่กู้หลิงอวิ้น
ไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องฉวยโอกาสสังหารสตรีผู้นี้ให้ได้ก่อน!
………………..