บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1268: อ้าว ต่อสิ
ตอนที่ 1268: อ้าว ต่อสิ
ทั่วฟ้าดินเวิ้งว้าง ทุกสารทิศระแหงแหลกดุจซากปรักหักพัง
ซูอี้ยืนอยู่ห่างแสนไกล ถือไหสุราครุ่นคิดในภวังค์
ก่อนหน้านี้ เขาได้รับมือปราณดาบอันอาบแสงเซียน อำนาจของมันร้ายกาจยิ่งนัก
มิอาจใช้อำนาจในขอบเขตราชันแห่งภูมิเข้าต่อกรได้
เคล็ดเวียนวัฏสงสารและเคล็ดพลังเวิ้งลึกล้ำก็ยากจะต้านทานไหว
ท้ายที่สุดเขายังต้องใช้โล่ซึ่งแปรสภาพจากเถาวัลย์มารดาฟ้าดินมาหยุดปราณดาบนั่นอีก
ทว่าก็ยังถูกกระแทกกระเด็นไปอยู่ดี
“อำนาจวิถีเซียนนี้สูงล้ำเหนือราชันแห่งภูมิ ห่างไกลไม่ต่างจากระยะห่างระหว่างคนและสวรรค์ซึ่งแสนห่างเหลือแสน”
ซูอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ทว่า ยิ่งเป็นเช่นนั้น ยิ่งกระตุ้นความใคร่รู้ของซูอี้
หากค่ายกลดาบวิถีเซียนอยู่ในการควบคุมของเขา เขาจะสามารถเห็นความลับวิถีเซียนได้บ้างหรือไม่?
“ในเมื่อมันเป็นค่ายกล ย่อมต้องการอำนาจมหาศาลในการขับเคลื่อน แต่นี่เป็นค่ายกลดาบวิถีเซียนด้วยแล้ว พลังที่มันต้องใช้ต้องมหาศาลเลิศล้ำเป็นแน่”
“หากลิดรอนพลังของค่ายกลดาบนี้ให้สิ้นได้ ทุกสิ่งก็คลี่คลาย!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็เงยหน้าดื่มสุราหมดไห ตัดสินใจแน่วแน่
……
บรรยากาศในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิหดหู่น่าเวทนา
จวบยามนี้ พวกเขาเสียหายหนักหนา
ชิงเซียวตายในสามก้าวย่าง
เพียงพริบตา ปราณดาบสิบสามสายก็ทะลวงค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิ สังหารราชันแห่งภูมิยี่สิบสี่คนในขอบเขตอสงไขยลึกล้ำ และเก้าคนในขอบเขตคืนสู่สามัญลงสิ้น
และที่หน้าประตูสำนัก สามตัวตนระดับบรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดประสานกำลังโจมตีซูอี้ ทว่ากลับไม่อาจหยุดเขาไว้ได้ ซ้ำกู้หลิงอวิ้นยังถูกเขาสังหาร!
ทั้งหมดนี้ทำให้สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิบาดเจ็บสาหัส เดือดดาลสุดขั้ว
สิ่งที่ทำให้พวกเขายิ่งหดหู่ใจนั้นคือ ไม่เพียงศัตรูจะไร้รอยขีดข่วน แต่ยังสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ!
“สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของเราเคยเสียหายยับเยินเพียงนี้ด้วยหรือ?”
หลี่สวินเจินทั้งโศกเศร้าและไม่พอใจ
ก่อนสงครามเริ่ม พวกเขาสร้างกลยุทธ์และเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี คิดว่าหนนี้พวกเขาจะจัดการทัศนาจารย์ได้เป็นแน่แท้
ใครเล่าจะคิดว่าความเป็นจริงจะแสนโหดร้าย
ทัศนาจารย์ไร้รอยขีดข่วน ในขณะที่ฝั่งพวกเขาหลั่งเลือดอย่างต่อเนื่อง พลังชีวิตเสียหายหนักหน่วง!
“หากบรรพชนเติ้งจั๋วกลับมา ไม่รู้เขาจะรู้สึกเช่นไร…”
สุ่ยเทียนหานกล่าวอย่างแสนขมขื่น
ศึกวันนี้ ความพ่ายแพ้ที่พวกเขาได้รับหนักหนาเกินไปจนไม่มีหน้าไปพบบรรพชนเติ้งจั๋ว
“ไปนำตัวประกันทั้งสองมา หากคนแซ่ซูผู้นั้นกล้าจากไป ฆ่าสองตัวประกันนั้นทันที!”
เจ้าสำนักเวิงผูออกคำสั่งด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เขาแสนขุ่นเคือง ไม่อาจมอบโอกาสหนีแก่ซูอี้ได้
ไม่นานนัก บรรพชนเยว่หงและไป๋เหอก็ถูกนำตัวมา
ทั้งสองล้วนหมดสติอยู่
“เจ้าสำนัก ไม่ได้นะขอรับ!”
ทันใดนั้น เซวียจ่างอีพลันตะโกนเสียงสั่น “ก่อนหน้านี้ บรรพชนหลิงอวิ้นก็ข่มขู่เช่นนั้น และสุดท้ายก็ถูกทัศนาจารย์สังหาร ท่าน…โปรดอย่าให้โทสะกลบเหตุผลของท่านเลยนะขอรับ”
เวิงผูขมวดคิ้ว กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเมื่อข้าถือค่ายกลดาบวิถีเซียนอยู่ ข้าจะยังกลัวเขาหรือไร?”
หลี่สวินเจินสูดลมหายใจลึก กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าสำนัก เพื่อความปลอดภัย คงจะดีกว่าหากเราไม่กระทำการข่มขู่ใด ๆ อีก ทัศนาจารย์จะจากไปยามใดก็ได้ และเรา…ก็มิอาจซ่อนตัวมิออกไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิได้ชั่วชีวิตหรอกนะ”
ม่านตาของเวิงผูหดตัวเล็กน้อย เงียบลงกะทันหัน
เขาเข้าใจแล้ว หากทัศนาจารย์ถูกยั่วโทสะจนตั้งค่ายสังหารนอกสำนัก จากนี้ไป ใครเล่าในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจะกล้าออกจากสำนัก?
หลี่สวินเจินกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในภูมิดาราหมื่นโฉลกนี้มีศิษย์เรากระจายอยู่อีกมาก บ้างเป็นผู้อาวุโส บุคคลสำคัญที่ยังคงสัญจรแสนไกล หากทัศนาจารย์ล้างแค้นขึ้นมา… เราย่อมช่วยพวกเขาไม่ได้”
กล่าวจบเขาก็ทอดถอนใจ
แม้จะเป็นเรื่องดีที่มีสำนักใหญ่ แต่ก็มีข้อเสียของมันอยู่
นั่นคือมิอาจทานการกักกันได้!
เช่นเมื่อครู่ หากเวิงผูนำตัวประกันมาขู่ ทัศนาจารย์หรือจะไม่ล้างแค้นกับเหล่ายอดฝีมือผู้กระจัดกระจายในโลกหล้าของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้?
สุ่ยเทียนหานเองก็กล่าวเสียงต่ำ “เมื่อเป็นโจรแล้วก็เป็นได้เพียงโจร ด้วยมหาวิถีปัจจุบันของทัศนาจารย์ หากคิดล้างแค้นจริง ๆ เช่นนั้นในภายหน้าต่อจากนี้ก็จะเป็นฝันร้ายของเราสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเป็นแน่แท้”
น้ำเสียงของเขามีความจนใจ รวมไปถึงความกังวล
เห็นได้ชัดว่าเวิงผูยังไม่ยอมลง กล่าวอย่างเดือดดาล “อย่าบอกข้านะว่าต้องเลิกราเพียงเท่านี้?”
เสียหายหนักหน่วงเพียงนี้ ใครเล่าจะเก็บความขุ่นข้องหมองใจอยู่?
“แน่นอนว่าทำเช่นนั้นมิได้!”
หลี่สวินเจินตัดบท “ยามนี้ ข้าทำได้เพียงขอให้บรรพชนเติ้งจั๋วออกมาควบคุมสถานการณ์เท่านั้น”
บรรพชนเติ้งจั๋ว!
ทุกผู้ตะลึงในใจ หันมองหลี่สวินเจินอย่างไม่อยากเชื่อ
“เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก่อนที่บรรพชนเติ้งจั๋วจะออกเดินทางสู่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง เขาทิ้งยันต์ลับซึ่งมีร่างอวตารวิถีของตนไว้ชิ้นหนึ่ง”
หลี่สวินเจินกล่าวเสียงต่ำ “เดิมที เรื่องนี้เป็นความลับ ที่บรรพชนเติ้งจั๋วทำเช่นนี้ มิเพียงเพื่อป้องกันการบุกรุกจากศัตรูภายนอก แต่เหตุผลหลักเป็นเพราะเขากังวลว่าจะเกิดเรื่องใดกับร่างจริงของเขาที่เขตหวงห้ามเซียนละล่อง อย่างน้อยก็จะยังเหลือร่างอวตารวิถีของเขาอยู่ ทว่ายามนี้… ข้าทำได้เพียงขอบรรพชนท่านนี้ออกมาเคลื่อนไหวเท่านั้น!”
ทุกผู้ล้วนตื่นเต้นระริกระรี้
ทันใดนั้น สุ่ยเทียนหานก็โพล่งขึ้นอย่างมิอยากเชื่อ “ทุกท่าน ทัศนาจารย์เขา… ไม่ได้ไปที่ใด!”
หนึ่งวาจาทำทุกผู้ตะลึงงัน และจึงสังเกตว่าไกลออกไปในฟ้าดิน อาภรณ์ของทัศนาจารย์สะบัดโบก เดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
ไม่เพียงไม่หนี เขายังเป็นฝ่ายเดินเข้ามาใกล้อีกครั้งด้วย!
เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
“เขา…ยังคิดทำลายค่ายกลอยู่หรือ?”
บางผู้พึมพำอย่างมิอาจทำความเข้าใจได้ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ไฉนทัศนาจารย์จึงยังกล้าเข้ามาใกล้อีก
ไม่กลัวถูกค่ายกลดาบวิถีเซียนกระหน่ำโจมตีเข้าหรือไร?
“ในเมื่อเขารนหาที่ตาย เราก็จะสงเคราะห์ให้!”
เวิงผูเข่นเขี้ยว
ตู้ม!
ค่ายกลดาบวิถีเซียนคำรามก้อง สั่งสมพลังรอคอย
เขาอยากเห็นนักว่าทัศนาจารย์จะเข้ามาใกล้ และโยนตัวเองสู่ร่างแหจริง ๆ
คนอื่น ๆ ก็เฝ้ารอเช่นกัน
ไกลออกไป ร่างสูงใหญ่ของซูอี้ซึ่งเข้ามาใกล้ทุกขณะจิตกลายเป็นจุดสนใจจากทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
“ความกล้าเช่นนี้ ทั่วนภาจรดแดนดิน เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเทียบได้”
อาไฉ่รำพึงในใจ
เดิมนางคิดว่าเมื่อถูกค่ายกลดาบวิถีเซียนข่มขู่ ซูอี้เมื่อประจักษ์กับตาก็จะล่าถอย ฉวยโอกาสที่ตนได้เปรียบเจรจาขอคืนตัวประกันทั้งสองกับสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ทว่าซูอี้หาทำเช่นนั้นไม่
และกลับโจมตีมาอีกครั้ง!
สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้ประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
“ไม่ว่าอย่างไร ถึงคนแซ่ซูผู้นี้จะเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ ด้วยความหาญกล้าเช่นนี้ ยังห่างไกลเทียบได้กับผู้ฝึกตนทั้งหลายในโลกหล้า”
สีหน้าของหลี่สวินเจินซับซ้อน
มีทั้งความเกลียดชัง หวาดกลัว และเจือความชื่นชมที่มิอาจมองเห็นได้ง่าย
นับแต่ต้นจนจบ ทัศนาจารย์นั้นตรงไปตรงมา รังเกียจจะใช้กลอุบายลับหลังใด ๆ และยังเผยใจเปิดกว้าง ตัวตนสะท้อนชัดในดาบ!
ทุกผู้ล้วนเงียบเสียง
ทั่วจักรวาลพร่างดาวล้วนรู้ว่าธรรมชาติของทัศนาจารย์เป็นเช่นนี้ และกระทั่งศัตรูคู่แค้นสูงสุดของทัศนาจารย์ยังมิอาจตำหนิการกระทำของทัศนาจารย์ได้
“ศัตรูเช่นนี้ หากไม่กำจัดเสียย่อมมิอาจข่มตานอนได้เป็นแน่แท้!”
เวิงผูกล่าวด้วยเสียงลุ่มลึก
ขณะสนทนา ซูอี้ได้เข้ามาในบริเวณพันจั้งนอกประตูสำนักแล้ว!
เวิงผูยกมือขวาของเขาขึ้นโดยมิลังเลอีก
ค่ายกลดาบวิถีเซียนซึ่งสั่งสมพลังมานานกู่คำราม พิรุณดาบเจิดจรัสพรั่งพรู แสงเซียนคำรามก้อง
ทั่วฟ้าดินสะท้านครืนโคลง สุญญะพังทลาย
อำนาจเซียนอันน่าหวาดหวั่นปกคลุมทั่วฟ้าดินอีกครั้ง
ซูอี้หาลงมือรุนแรงไม่ ร่างของเขาวูบไหวพลิ้วหลบอย่างรวดเร็วเยี่ยงเคลื่อนกายพริบตา
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดินราวกับมอดมลาย
ทว่าซูอี้ยังคงดูสุขุมยิ่ง ไร้รอยขีดข่วนใด ๆ
ยิ่งกว่านั้น เขายังเดินต่อไปยังสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของเวิงผูดำคล้ำ เรียกใช้ค่ายกลดาบวิถีเซียน ฟาดปราณดาบนับพันออกในหนึ่งอึดใจ ปกคลุมทศทิศในโลกหล้า
เว้นแต่ซูอี้จะถอยกรูดไปเบื้องหลังอย่างฉับพลัน ก็มิมีทางหลบอื่นใดอีก
ทว่าเขาหาถอยกลับไม่
ตู้ม!
ดาบมารดาฟ้าดินเปล่งวจีชัดถ้อย ใบดาบย้อมปราณเกินเข้าใจพุ่งไปเบื้องหน้า ซูอี้ประชิดตามติด
หนึ่งปราณดาบวิถีเซียนฟาดฟันออกเยี่ยงทินกรจรัสแสง
ทว่า เมื่อถูกดาบมารดาฟ้าดินวาบผ่าน ปราณดาบวิถีเซียนสายนั้นพลันมอดมลาย ก่อเกิดเป็นคลื่นอำนาจทำลายล้างพุ่งทะยาน
ร่างของซูอี้ซวนเซถอยหลายก้าว คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย
ดาบนี้ของเขาใช้ปราณส่วนหนึ่งของดาบเก้าคุมขังเข้าช่วย!
ทว่าไม่คาดว่าจะยังถูกปราณดาบวิถีเซียนนั้นซัดจนเซถอยอยู่ดี
ขณะนี้ ทั่วทั้งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนตกตะลึง!
“หยุด…หยุดไว้ได้หรือ!?”
สุ่ยเทียนหานแผดเสียง หนังหัวชายิบ
หนึ่งปราณดาบวิถีเซียนทะยานกราดเกรี้ยว ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังปลิดปลิวโดยง่าย
ทว่ากลับถูกสกัดขวาง ณ ยามนี้!
“เป็นไปได้เช่นไร…”
หลี่สวินเจินอ้าปากค้างอึ้งตะลึง
“สะบั้น!”
ใบหน้าของเวิงผูเย็นชา มิพูดพร่ำทำเพลง เดินค่ายกลดาบวิถีเซียนอย่างสุดกำลัง ถล่มโจมตีซูอี้อย่างบ้าคลั่ง
ไม่เก็บกั้นยั้งมือ!
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดินพลิกกลับตาลปัตร ทั่วโลกหล้าสะเทือน
แสงเซียนเกินสิ่งใดต้านพุ่งทะยาน ปราณดาบหลั่งทะลักเช่นน้ำตก ทั่วฟ้าดินปกคลุมไปด้วยแสงดาบเซียนวูบไหวพราวระยับ
พริบตานั้น ร่างของซูอี้ก็จมหายไปในคลื่นปราณดาบอันไพศาล
อย่าว่าแต่บุคคลอื่นใด กระทั่งเวิงผูผู้ควบคุมค่ายกลดาบวิถีเซียนยังไม่อาจมองเห็นร่างของซูอี้ได้อีก
“ตายแล้วหรือ?”
“น่าจะ…ตายแล้วกระมัง”
“ครั้งหนึ่ง บรรพชนเติ้งจั๋วเคยกล่าวไว้ว่าเมื่อใช้งานค่ายกลดาบวิถีเซียนอย่างเต็มกำลัง กระทั่งตัวตนเช่นเขายังทำได้เพียงหลบเลี่ยงชั่วคราว มิกล้าเข้าประชันแม้แต่น้อย”
“และร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ยามนี้ก็ถูกอำนาจค่ายกลดาบนี้กระหน่ำโจมตี ไร้จังหวะใดให้หนี เขาย่อมต้องถูกฆ่าเป็นแน่แล้ว!”
“เช่นนั้นเราก็ชนะแล้วสิ? ฆ่าทัศนาจารย์ได้แล้วหรือ?!”
เกิดเสียงสนทนาเซ็งแซ่ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิชุลมุนฮือฮา
และอึดใจต่อมา
ควันสลายแสงเจือจาง
ทั่วฟ้าดินถล่มเละเทะ
ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนเพียงลำพัง อาภรณ์เขียวขาดวิ่น เส้นผมยาวซึ่งเดิมมุ่นเป็นมวยร่วงสยายแผ่พลิ้วตามลม
ทั่วร่างของเขามีปราณวูบไหวเยี่ยงขุมนรก
ดาบวิถีในมือสั่นสะท้าน ส่งวจีครวญเล็กน้อย
เขาคือซูอี้!
เขายืนนิ่งดุจหุบเขาหนึ่งเดียว ตระหง่านค้ำฟ้าเชื่อมแดนดินชั่วกาลนาน!
“นี่…”
หลี่สวินเจินวิญญาณหลุดลอย
มือเท้าของสุ่ยเทียนหานสั่นระรัว ทั้งกายและใจเย็นยะเยือก
เวิงผูดูเลื่อนลอยเงียบงัน
“ปรากฏว่า…นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา…”
อาไฉ่ผงะอึ้ง
ยามนี้ ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเงียบกริบดุจป่าช้า ราวกับได้พบเห็นปาฏิหาริย์บังเกิดกับตา
ยามนี้ ซูอี้ยกมือขึ้นปัดฝุ่นบนอาภรณ์ เงยหน้าขึ้นมองประตูสำนักห่างออกไป
ภายใต้แสงสว่างจากสรวง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาซีดลงเล็กน้อย ทว่าสีหน้าแววตากลับเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง
“ต่อให้มีเทพเซียนบนสวรรค์ก็ยังต้องก้มหัวลงยามพบข้า อย่าว่าแต่ค่ายกลดาบวิถีเซียนเลย…”
ซูอี้กระซิบกับตนเองเบา ๆ
ซูอี้ถือดาบด้วยมือขวา พลางยกมือซ้ายขึ้นงอนิ้วชี้กวักเรียก “อ้าว ต่อสิ”