บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1269: ยังไม่จบอีก
ตอนที่ 1269: ยังไม่จบอีก
“อ้าว ต่อสิ”
สามพยางค์ดังขึ้นแผ่วเบา ทว่ากลับก้องทั่วท่ามกลางความเงียบสงัด
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมองมายังชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวนอกสำนักอย่างเงียบเชียบ สัมผัสได้ถึงแรงกดดันไหลปะทะหน้า
ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิมิอาจใช้ได้
สามบรรพชนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดมิอาจลงมือ
และยามนี้ กระทั่งค่ายกลดาบวิธีเซียน… ก็ปราบเขาไม่ลงเช่นกัน?
หัวใจของทุกผู้เย็นยะเยือกเกินบรรยาย
ในฐานะนายเหนือแห่งภูมิดาราหมื่นโฉลก ตลอดกาลแต่โบราณ สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิมิเคยถูกบีบจนถึงจุดนี้มาก่อน!
หนึ่งคนหนึ่งดาบสังหารราบคาบสิ้น!
และยามนี้เองที่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้ประจักษ์ลึกซึ้ง ว่าถึงยุคสมัยของทัศนาจารย์จะผ่านไปแสนนาน ยามเขาหวนคืนจากการเวียนวัฏ เขาก็ยังสานต่อตำนานได้อยู่!
“ทัศนาจารย์ หากเราปล่อยตัวประกันทั้งสองไป เราหยุดเรื่องวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ได้หรือไม่?”
หลี่สวินเจินสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ทุกผู้ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิก็รู้สึกแสนโศกชอกช้ำอย่างมิอาจอธิบาย
หลังสูญเสียหนักหนาเพียงนี้ นี่คือเจตนาก้มหัวให้ทัศนาจารย์หรือไร?
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว ก่อนเกิดสงคราม ขอเพียงพวกเจ้าปล่อยตัวประกันทั้งสอง ข้าจะมอบโอกาสดวลอย่างเท่าเทียมแก่พวกเจ้า ทว่าน่าเสียดาย…พวกเจ้าไม่ได้รักษามันไว้”
หลี่สวินเจินนิ่งไปชั่วขณะ รู้สึกขมเฝื่อนในปาก
ก่อนมหาสงครามบังเกิด ใครเล่าจะคิดว่าเพียงร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ก็ทำให้พวกเขาสิ้นกำลังได้?
“คนแซ่ซู เจ้าคิดต่อสู้จนแตกหักจริง ๆ หรือไม่?”
เวิงผูไม่พอใจ
ซูอี้อดหัวเราะมิได้ “ต่อสู้จนแตกหัก? ต่อให้เฒ่าจมูกวัวเติ้งจั๋วอยู่ที่นี่ เขายังมิกล้าพูดจาร้ายกาจเช่นนี้เลย”
เขาก้าวมาข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นฟาดดาบใส่ประตูสำนักห่างออกไป
ตู้ม!
ปราณดาบอันบรรจุปราณดาบเก้าคุมขังทะยานเยี่ยงรุ้งขาว
เวิงผูโคจรพลังเดินค่ายกลดาบวิถีเซียน แม้จะหยุดปราณดาบนี้ไว้ได้ แต่ก็ทำให้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิสั่นสะเทือนโคลงเคลงได้อยู่ดี
ถึงจุดนี้ เวิงผูก็ตระหนักชัดเจนแล้วว่าต่อให้ก่อนหน้านี้ตนจะขังซูอี้ในค่ายกลดาบวิถีเซียนได้ แต่ก็เกรงว่าคงมิอาจฆ่าอีกฝ่ายได้!
เขาลงมือเต็มกำลังโดยมิลังเล
เปรี้ยง!
ปราณดาบแข็งแกร่งร้ายกาจ แสงเซียนเจิดจ้าพร่างพราย อำนาจค่ายกลดาบไร้ต้านประดังถาโถมเข้าใส่ซูอี้
ซูอี้หาหลบเลี่ยงไม่ เขาฟาดดาบออกไปอย่างแรง
ครู่ต่อมา
เวิงผูหอบหายใจ เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก
และเมื่อเขาเห็นว่าซูอี้ไร้รอยขีดข่วน ใบหน้าของเขาก็อดแสดงเค้าลางความสิ้นหวังมิได้
อำนาจของค่ายกลดาบวิถีเซียนถูกกลืนกินลดฮวบฮาบ
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ค่ายกลนี้จะพ่ายภัยตนเอง และถึงยามนั้น…
ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงสุดทวิภูมิ จะไม่มีผู้ใดหยุดซูอี้ได้อีก!
บรรยากาศกดดันแทบมิอาจหายใจ
หัวใจของคนทุกผู้มืดหมอง
และด้านนอก ร่างของซูอี้ก็ปรากฏในเขตสำนัก!
“ขอเรียนเชิญบรรพชน โปรดปรากฏขึ้นช่วยข้าสังหารศัตรูด้วย!”
ทันใดนั้น หลี่สวินเจินก็ใช้ยันต์ลับด้วยสองมือ โค้งลงคำนับ
ตู้ม!
ยันต์ลับเรืองประกายและสลาย
เสาแสงทะยานสู่นภา ถักทอแปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงจรัสพร่างประกาย และสุดท้ายก็หลอมรวมเป็นร่างผอมสูงร่างหนึ่ง
เขาสวมอาภรณ์นักพรตเต๋าอันเก่าแก่ เส้นผมมุ่นมวยบนศีรษะ จอนผมหงอกขาว ใบหน้าดูซื่อตรงบริสุทธิ์ สองมือในแขนเสื้อกว้างไพล่อยู่เบื้องหลัง
เขายืนเฉย ๆ ขณะที่แสงมงคลเรื่อเรืองทั่วร่าง รัศมีเทพเรืองรอง กฎเกณฑ์มหาวิถีกระวัดพันเหมือนดั่งบุปผาเขียวเหนือศีรษะ
เหมือนเช่นท่านเทพสูงสุดแห่งหนึ่งนิกายปรากฏร่าง!
ทั่วฟ้าดินพลันสงบนิ่ง แว่ววจีจากสรวงแผ่วเบา
นอกประตูสำนัก
ซูอี้เลิกคิ้วและหยุดลงเงียบ ๆ
ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิราวได้พบแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจ แซ่ซ้องตื่นเต้น
“คารวะบรรพชน!”
“คารวะบรรพชน!”
“คารวะบรรพชน!”
เสียงสดุดีดังสนั่นแดนดิน
ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ทุกผู้ล้วนคำนับพร้อมเพรียง ดูราวเหล่าคนคลั่งไคล้
ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้นักพรตเต๋าชราร่างผอมดูสูงส่งยิ่งขึ้นอีก
เขาคือเติ้งจั๋ว!
ตัวตนอันเก่าแก่โบราณที่สุดในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ หนึ่งในยักษ์ใหญ่สูงสุดทั่วทั้งจักรวาลพร่างดาว
ดุจดั่งตำนาน!
ทั่วโลกหล้านี้ มีเพียงไม่กี่บุคคลที่เทียบชั้นเขาได้
เช่นเจ้าหอเก้าสวรรค์ ผู้ก่อตั้งโรงวาดฤทัย เจ้าลัทธิทางช้างเผือกเป็นต้น
และด้วยการปรากฏกายของเขา บรรยากาศกดดันทั่วฟ้าดินพลันกระจ่าง ท้องนภาแจ่มใส ทุกสิ่งนิ่งสงบดุจน้อมรับการมาเยือนแห่งหนึ่งราชัน
อำนาจเช่นนี้เพียงพอจะทำให้เหล่าตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดทั่วโลกหล้าเหนียมละอาย
“ทัศนาจารย์ ด้วยตัวตนเช่นเจ้า ไฉนจึงต้องรังแกผู้น้อยในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของข้าด้วย?”
เติ้งจั๋วบนอากาศเมินเหล่าศิษย์มากล่าวกับซูอี้ซึ่งยืนอยู่แสนไกล
ซูอี้กล่าวอย่างเนิบช้า “ผู้น้อยของเจ้าต้องถูกกวาดล้างเสียบ้าง หากไม่ลุกมาสั่งสอนก็คงทำได้เพียงหางจุกตูดเกินเป็นคน”
วาจาเช่นนี้ทำให้พวกเวิงผูทั้งโกรธและอับอาย
เติ้งจั๋วเงียบไป ก่อนจะถามว่า “เกิดอันใดขึ้น?”
เวิงผูผงะไปในใจ ก้มหัวลงและอธิบายเรื่องทั้งหมดทีละฉาก
เมื่อรู้ว่าชิงเซียวถูกสังหาร ค่ายกลเทพสูงสุดทวิภูมิพังทลาย เติ้งจั๋วดูไร้สะทกสะท้านเหมือนมิสนใจ
ทว่ายามรับรู้ว่าศิษย์ใกล้ชิดของเขากู้หลิงอวิ้นถูกสังหาร ยอดฝีมือผู้ลือนามทั่วจักรวาลพร่างดาวก็ขมวดคิ้วอย่างเงียบเชียบ
มือของเขาขยับน้อย ๆ ในแขนเสื้อ
จนกระทั่งเมื่อได้ยินว่าค่ายกลดาบวิถีเซียนที่เขาสร้างไม่อาจหยุดซูอี้ได้
เติ้งจั๋วก็เงียบงันยิ่งขึ้นทุกที
ทุกผู้กังวลในใจ
ความเสียหายหนักหนาเช่นนี้ทำให้พวกเขามิกล้าสบสายตาเติ้งจั๋ว
ซูอี้กล่าวขึ้นที่นอกสำนัก “เฒ่าจมูกวัว เจ้ารู้สาเหตุของเรื่องเหลานี้แล้ว ยังคิดว่าข้ารังแกผู้น้อยอยู่หรือไม่?”
เติ้งจั๋วซึ่งเงียบมาตลอดส่ายหน้าน้อย ๆ
เขาผู้ดูเก่าแก่โบราณเบนสายตามากล่าวกับซูอี้ “ความขุ่นเคืองมีต้นตอ หนี้สินมีเจ้าของ ความขุ่นเคืองระหว่างเจ้าและข้าควรถูกสะสางระหว่างเรา ทว่ายามนี้ที่สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของข้าต้องสูญเสียใหญ่หลวง เจ้าพอได้แล้วหรือไม่?”
ทุกผู้ล้วนตะลึงอึ้ง แทบมิอยากเชื่อหูตน
บรรพชนปรากฏกาย แต่ไฉนจึงเลือกไกล่เกลี่ยเรื่องราว?
ซูอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่”
ทันใดนั้น ทุกผู้ก็ผงะหงาย
บรรพชนเติ้งจั๋วหมายมั่นไกล่เกลี่ย ซึ่งทำให้พวกเขายากจะยอมรับได้
แต่ใครจะคิดว่าซูอี้จะปฏิเสธทันควัน!
“ข้าก็ว่าแล้ว”
เติ้งจั๋วรำพึง กล่าวกับตนเอง “น่าเสียดายที่ร่างจริงของข้าหาอยู่ที่นี่ไม่ หาไม่ ข้าล่ะอยากใช้โอกาสนี้ประลองฝีมือกับร่างเวียนวัฏของเจ้าอย่างจริงแท้”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาดูจะตัดสินใจบางอย่างได้ “ข้าจะรับเรื่องทุกอย่างวันนี้เพียงลำพัง และรับปากว่าจากนี้ไป สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของข้าจะไม่เข้ามายุ่งในความขุ่นเคืองระหว่างเจ้าและข้าอีก!”
“นอกจากนี้ ข้ารับประกันในชีวิตของตัวประกันทั้งสอง และมิต้องห่วงว่าจะมีการแก้แค้นใด ๆ ไปยังสำนักของพวกเขาอีก”
วาจานั้นเยือกเย็น ให้บรรยากาศมิอาจโต้เถียง
จากนั้น เติ้งจั๋วก็กล่าวกับซูอี้ “สหายเต๋าคิดเช่นไร?”
ซูอี้เอ่ยชม “หากศิษย์ทั้งหลายของเจ้ากระทำการได้งดงามเยี่ยงเจ้า โศกนาฏกรรมวันนี้มีหรือจะเกิด?”
นี่แหละเติ้งจั๋ว
ควรค่าให้ทัศนาจารย์ใส่ใจ
ทว่านั่นยังมิเพียงพอ
ซูอี้ว่า “ให้ข้าหยุดก็ย่อมได้ แต่ข้าก็มีเงื่อนไขอยู่เช่นกัน”
ดวงตาของเติ้งจั๋วซับซ้อน ทว่าหาแปลกใจไม่
ในฐานะอริเก่า เขารู้อุปนิสัยการวางตนของทัศนาจารย์เป็นอย่างดี และมิสามารถมองข้ามได้แม้แต่น้อย
หากมิยอมหลั่งเลือดสักหน่อย เรื่องวันนี้คงจบยากเป็นแน่!
เติ้งจั๋วสูดหายใจลึก ๆ และพยักหน้าน้อย ๆ “ว่ามาสิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเรียบง่าย “ข้าต้องการสิ่งชดเชย ค่ายกลดาบวิถีเซียนนั่นก็ดีนะ”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็กระวนกระวายทันที
เวิงผูและหลี่สวินเจินโกรธเสียจนแทบกระอักเลือด เงื่อนไขเช่นนี้มิเพียงขูดรีดกัน ยังเป็นการปล้นฆ่ายามไฟไหม้ชัด ๆ!
มุมปากของเติ้งจั๋วอดกระตุกมิได้ ใบหน้านิ่งทื่อไป
ทว่าสุดท้ายเขาก็พยักหน้า แสร้งทำมิรู้ร้อนหนาว “ช่วงปีผ่านมา ข้าพอมีโอกาสพบสิ่งของต่าง ๆ เกี่ยวกับเซียนในจักรวาลพร่างดาวอยู่บ้าง แม้ค่ายกลดาบวิถีเซียนจะล้ำค่า แต่หากสหายเต๋าชอบมัน ข้าให้เจ้าก็ได้”
เขากล่าวพลางรู้สึกเจ็บแปลบในใจ
ค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้เป็นสมบัติอันพบได้แต่มิอาจหาได้โดยแท้ และเขาก็ทุ่มเทสารพัดเพื่อให้ได้มันมา
กระทั่งยามจัดค่ายกลนี้ เขาก็แทบล้างคลังสำนักเสียเกลี้ยง!
จู่ ๆ ต้องให้มันกับผู้อื่นไปเฉย ๆ ใครเล่าจะมิรวดร้าว?
ทุกผู้ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิตะลึงอึ้ง
คิดให้หัวแตกตาย พวกเขาก็ไม่คาดว่าบรรพชนจะยอมมอบค่ายกลดาบสูงสุดของสำนักให้!
สีหน้าของเวิงผูยิ่งย่ำแย่
“นี่คือเงื่อนไขแรก”
ซูอี้ว่า
ทุกผู้ “…”
ยังมีอีกหรือ!?
ทุกผู้แทบคลั่ง แต่จะมีผู้ใดมิเห็นว่าทัศนาจารย์ไล่เชือดพวกเขาเยี่ยงสุกรใหญ่!
เติ้งจั๋วขมวดคิ้ว อยากกล่าวแดกดันเหลือเกินว่าเจ้ากลายเป็นพวกโลภมากแต่ยามใด?
ทว่าสุดท้าย เขาก็ถามอย่างอดกลั้น “สหายเต๋าควรกล่าวทุกเงื่อนไขออกมาให้หมด!”
ซูอี้เสสรวลพลางยกนิ้วโป้ง “เจ้ารู้หรือไม่ สิ่งที่ข้าชื่นชมที่สุดคือความตรงไปตรงมาของเจ้านี่แหละ”
เปลือกตาของเติ้งจั๋วกระตุกพลางแค่นเสียงเย็นชา
ซูอี้หาเกรงใจไม่ และร่ายเงื่อนไขของเขาออกมา “ศิลาวิถีสูงสุดทวิภูมิสามพันชิ้น โอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณแปดร้อยเม็ด มธุรสจิตรองปฐมสวรรค์ทวิภพเก้าพันจิน…”
สมบัติหายากสิบกว่ารายชื่อถูกร่ายออกมาในอึดใจเดียว รวมทั้งวัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ โอสถ สมบัติหายากและอื่น ๆ อีกสารพัด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกผู้ก็ชะงัก รู้สึกเหมือนหัวใจถูกมีดกรีด รวดร้าวเสียจนมิอาจหายใจ
ทัศนาจารย์ผู้นี้คิดจะรีดทรัพย์สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของพวกเขาจนไม่เหลือซากหรือไร?!
เปลือกตาของเติ้งจั๋วเองก็กระตุก สีหน้าไม่รู้ร้อนกระตุกยิก ๆ เส้นเลือดปูดเขียวบนหน้าผาก ศีรษะรุ่มร้อนราวถูกเพลิงแผด
ชั่วขณะนั้น เขาอยากเมินเฉยทุกอย่างแล้วพุ่งเข้าไปรบกับอริเก่าที่ยืนอยู่อีกฝั่งเหลือเกิน
ไฉนจึงมาขูดรีดกันได้เช่นนี้!?
ซูอี้เสสรวลกล่าวเบา ๆ “รู้สึกว่าเกินไปหรือ? แน่อยู่แล้ว ข้าไม่คิดให้เจ้าแก่เช่นเจ้าใช้ทรัพย์เพื่อเลี่ยงหายนะหรอก”
เติ้งจั๋วสูดหายใจลึก ๆ “สิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงของนอกกาย ในเมื่อเจ้าทัศนาจารย์ชอบ มีหรือข้าจะตระหนี่? ข้ารับปาก!”
เหล่าผู้ฟังเงียบกริบ
ทุกผู้อึดอัดเสียจนแทบระเบิด รู้สึกอับอายยิ่งนัก
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกเขาได้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันทั่วจักรวาลพร่างดาวเป็นแน่แท้!
“นอกจากนั้น…”
ซูอี้กล่าวอีกครั้ง
ครานี้ เติ้งจั๋วมิอาจทนได้ไหว โพล่งออกมาอย่างกรุ่นโกรธ “นี่เจ้า ยังไม่จบอีกหรือ!?”