บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 127 มนุษย์ประหนึ่งเซียน ทั้งสวรรค์มีเพียงผู้เดียว
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 127 มนุษย์ประหนึ่งเซียน ทั้งสวรรค์มีเพียงผู้เดียว
พลังงานกระจัดกระจาย ลานฝึกฝนเต็มไปด้วยฝุ่นและควัน
แผ่นหินสีครามบนพื้นแตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนมากมาย
สายตาผู้คนต่างมองไปยังคนหนุ่มในชุดเขียวด้วยอาการตื่นตะลึง กระทั่งหัวใจเต้นรัวเร็ว
“เหตุใดเขาจึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้?”
ไม่ทราบว่ามีกี่คนที่ร่างกายเหน็บชา รวมถึงใจสั่นเทา
ก่อนเริ่มการศึก ไม่มีผู้ใดให้ค่าซูอี้ เพราะพวกเขาต่างคิดเห็นเช่นเดียวกัน นั่นคือซูอี้จะต้องพ่ายแพ้
วิถีดาบของมู่ชางถูสูงเทียมฟ้า ภายในเมืองทั้งสิบเก้าภายใต้เขตปกครองอวิ๋นเหอ จะมีคนหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดปีขอบเขตรวบรวมลมปราณเป็นคู่ต่อสู้ได้เช่นไร?
กระนั้นตั้งแต่การศึกเริ่มต้นขึ้น ผู้คนต่างก็ได้พบว่า มู่ชางถูไม่เคยมีสักช่วงที่ได้เปรียบ!
ไม่ว่าจะเป็นวิถีดาบอันยิ่งใหญ่ หรือเคล็ดวิชาต่างถูกสะกด และไม่อาจทำอะไรซูอี้ได้
“กลายเป็นว่าคุณชายซูแข็งแกร่งเพียงนี้…” หยวนลั่วอวี่กล่าวคำ
“ได้เบิกหูเบิกตาแล้วงั้นหรือ?” หยวนลั่วซีเผยยิ้มบางที่ใบหน้า ทอประกายตื่นเต้นแดงเรื่อ
“เลิศล้ำประหนึ่งเทพเซียน บุรุษเช่นนี้สมควรอยู่บนสวรรค์เท่านั้น” หยวนอู่ทงถอนหายใจ
ตัวเขาตื่นตะลึงเช่นกัน ด้วยภูมิความรู้ฐานะของผู้นำตระกูลหยวน ตัวเขาจึงไม่อาจจินตนาการได้ว่า คนหนุ่มผู้หนึ่งที่อยู่เพียงขอบเขตรวบรวมลมปราณจะสามารถต่อกรกับปรมาจารย์เช่นมู่ชางถูเช่นนี้ได้!
“นี่คือตัวตนของเขาจริง ๆ งั้นหรือ…”
ฉินเหวินเยวียนเผยสีหน้าดำมืดเคร่งเครียด ตัวเขาเคยหลงคิดว่าตนเองเหนือล้ำมาตลอด แต่ขณะนี้กลับรู้สึกราวกับหลงทาง
ในใจขณะนี้บังเกิดเป็นความเย็นยะเยือกขึ้น
เขานึกว่าความมั่นใจของซูอี้นั้นมาจากอิทธิพลของผู้อื่นเช่นหยวนอู่ทง หรือยอดฝีมือคนอื่น
ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงคือ การที่ซูอี้มีความมั่นใจนั้นเป็นเพราะตนเอง!
“ข้าขอกล่าวที่ตรงนี้ ด้วยความเลิศล้ำเพียงนี้ ตัวเขาภายหน้าย่อมทัดเทียมได้กับราชาเยือกแข็งขุนเขา”
จางจือเหยียนถอนหายใจ สีหน้าแสดงซึ่งความไม่สบายใจ กระทั่งปรากฏร่องรอยหว่างคิ้ว
ข้างกายเขา ร่างของจางเยวี่ยนซิงนิ่งแข็งค้าง สติราวกับหลุดลอย
ก่อนหน้านี้ เขาเคยกล่าวว่าซูอี้จะตกตายด้วยมือมู่ชางถู กระทั่งหัวเราะเยาะเก้าครั้งครา แต่แท้จริงกลับเป็นเขาตบหน้าตนเอง!
“เรื่องนี้เป็นไปได้อย่างไร?”
ดวงตาของฉินเฟิงเบิกกว้าง ใบหน้าราวไม่คิดเชื่อ ฟันกัดแน่นด้วยโทสะ
“ใช่ เป็นไปได้อย่างไร…”
เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายของสำนักดาบชิงเหอ ต่างเหม่อมองดวงตาลอยล่อง กระทั่งสีหน้าแปรเปลี่ยน
“วิถีดาบเช่นนี้ ไม่เคยพบหรือได้ยิน แม้เป็นเช่นนั้น แต่มันก็น่าทึ่ง!”
ใจกลางลานกว้าง มู่ชางถูเงียบงันไปนาน ตัวเขาผ่อนลมหายใจลากยาว ดวงตาเปล่าเปลี่ยว ราวกับกำลังเผชิญความขื่นขม
หลายปีที่เขาฝึกฝนวิถีดาบ แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นความล้มเหลว!
มันถือเป็นแรงสะเทือนครั้งใหญ่แม้กับผู้นำสำนักดาบชิงเหอ
ซูอี้เอ่ยคำขึ้น “ในเมื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ก็นำคนออกไปได้แล้ว”
มู่ชางถูเกิดประหลาดใจ “เหตุใดจึงไม่ฆ่า?”
“กาลก่อนข้าเคยฝึกฝนที่สำนักดาบชิงเหอของเจ้า ไม่ว่าครั้งนั้นข้าจะประสบเรื่องราวใด สุดท้ายมันก็เป็นตัวส่งเสริมข้า”
ซูอี้กล่าวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ท่าทีมู่ชางถูราวเกิดอารมณ์ซับซ้อน มือประสานกันคารวะพร้อมกล่าวคำ “ขอบคุณ!”
คนหนุ่มผู้หนึ่งถึงกับมีใจอันกว้างใหญ่และกล้าหาญเพียงนี้ มันทำผู้เฒ่าชราที่มีอายุนานนับเช่นเขาละอาย
“ไป!”
มู่ชางถูโบกมือ พร้อมเก็บดาบตนก้าวเดินไป
หากเทียบเปรียบครั้งมาถึง ตัวเขาดูเล็กลงและอ้างว้างอย่างเห็นได้ชัด
ชื่อเสียงตลอดชั่วชีวิตกลับกลายเป็นหินให้ซูอี้เหยียบย่ำสูงขึ้นฟ้า ไม่แปลกหากเขาจะหมองหม่น
เหล่าผู้อาวุโสยอดฝีมือแห่งสำนักดาบชิงเหอ ต่างครุ่นคิดตาม
สภาวะอารมณ์พวกเขาดิ่งฮวบ
ทุกคนที่นี้ทราบ ว่ายามที่เรื่องราวการต่อสู้วันนี้แพร่ออกไป เกียรติของสำนักดาบชิงเหอจะกระทบอย่างหนักหนา!
ขณะได้เป็นประจักษ์พยานถึงเรื่องราว บรรยากาศของพื้นที่ลานประลองก็หมองหม่นลง
สำนักดาบชิงเหอครั้งหนึ่งเคยเป็นหนึ่งในสี่สุดยอดสำนักยุทธ์แห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ ยามนี้ได้พ่ายแพ้และเสื่อมถอย สถานการณ์เช่นตอนนี้ จะยังมีผู้ใดต่อกรซูอี้ได้?
เมฆบนท้องฟ้ายิ่งมาก็ยิ่งหนา สีดำเริ่มรวมตัว บรรยากาศหมองหม่นขนาดทำผู้คนยากหายใจ
ซูอี้สำรวจมองรอบด้านพลางกล่าว “ผู้ใดคิดใช้โอกาสนี้ล้างแค้น จงออกมา ให้เรื่องราวตัดสินกันที่นี่วันนี้”
ถ้อยคำเหล่านี้ ผู้คนราวไม่รู้ตัวต่างหันมองยังฉินเหวินเยวียนผู้ซึ่งนั่งตรงกลางของเวทียกสูง
กระนั้นฉินเหวินเยวียนกลับเงียบงันไปนาน สีหน้าราวนึกละอาย ถ้อยคำกล่าวออก “ข้าเพิ่งได้ตระหนักวันนี้ ว่าหกองครักษ์ของจวนผู้ว่าการเขตปกครองของข้าโง่งมเพียงใด ที่กล้าหาเรื่องต่อยอดอัจฉริยะเช่นคุณชายซู ถือว่าสมควรตายยิ่งนัก!”
สิ้นคำกล่าว เขาก็ยืนขึ้นพร้อมประสานมือ “คุณชายซู ก่อนหน้าฉินผู้นี้ถูกโทสะบดบัง เป็นผลให้เกิดการตัดสินใจผิดพลาด ขออภัยแก่ข้าด้วย!”
ผู้คนต่างชะงักงันและนิ่งค้าง
กระทั่งฉินเฟิงยังเบิกดวงตากว้าง มองยังบิดาตนเองราวไม่คิดเชื่อ
“จิ้งจอกเฒ่า!”
หยวนอู่ทงสบถเบา เพียงมองปราดเดียว ก็ทราบว่าปัดความรับผิดชอบ
จางจือเหยียนเองก็ลุกขึ้น รอยยิ้มเผยออก “ดังผู้ว่าการฉินกล่าว ตัวข้าเองก็ต้องขออภัยในที่นี้ ในเมื่อเป็นการเข้าใจผิด ในความเห็นข้า มองว่าเรื่องนี้ควรเลิกแล้วที่ตรงนี้”
“ถูกต้อง ถูกต้อง สมควรเป็นเช่นนั้น”
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่รับชมต่างก็เห็นพ้องต่อกัน
พละกำลังซูอี้ในสายตาของทุกคนยามนี้ยังไม่กระจ่างชัด คนหนุ่มผู้หนึ่งสามารถกดดันวิถีดาบของมู่ชางถู หากคลุ้มคลั่งขึ้นมา เช่นนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงเพียงใด?
“ตาเฒ่าบัดซบเหล่านี้ เห็นกันชัดว่าเลือกเดินตามทิศลม” หวงเฉียนจวินลอบสบถ
“ข้าเชื่อว่าคุณชายซูคงไม่ยินดีให้เกิดเรื่องราวบานปลายยากจินตนาการเกินกว่านี้จริงหรือไม่?” จางจือเหยียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
สายตาผู้คนต่างหันมองไปยังซูอี้
ในความเห็นของพวกเขา มันคือจังหวะอันดีเยี่ยมให้ถอยเท้า
กระนั้นพบเห็นซูอี้มองฟากฟ้า ถ้อยคำกล่าวออกเฉยชา “คิดเช่นนี้กันหรือ ว่าข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อแสดงกำลัง ให้พวกเจ้าโค้งหัวคำนับ แล้วจะยอมถอยกลับไป?”
ใจฉินเหวินเยวียนพลันดิ่งฮวบ
จางจื่อเหยียนเกิดประหลาดใจ “ความหมายของคุณชายซูคือ?”
“เจ้าคิดมีส่วนร่วม?” ซูอี้เอ่ยถาม
จางจือเหยียนส่ายศีรษะรัวเร็ว “จางผู้นี้เพียงเป็นผู้รับชม”
“เช่นนั้นเงียบปาก”
วาจาซูอี้เย็นเยือก
สีหน้าจางจือเหยียนแข็งค้าง แก้มพลันแดงก่ำขึ้นมา
ด้วยฐานะผู้นำตระกูลจาง การถูกซูอี้ย่ำยีด้วยคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าฝูงชน ถือเป็นความอับอายล้นพ้น
“ซูอี้ ความหมายของเจ้าคืออันใด?”
จางเยวี่ยนซิงเอ่ยถามกราดเกรี้ยว “บิดาข้าไม่ได้หาเรื่องใดเจ้า เหตุใดถึงกล่าววาจาหยาบคายถึงเพียงนี้?”
“เงียบปาก!”
โดยไม่รอซูอี้พูดกล่าว จางจือเหยียนก็สบถคำออก “พวกเราเพียงมารับชมเรื่องราว อย่าได้สร้างปัญหา!”
เขานั่งลงที่ตรงนั้นด้วยสีดำหน้ามืด ไม่กล่าวถ้อยคำใดอีก
จางเยวี่ยนซิงเกิดสีหน้าดำมืดเช่นกัน กระนั้นตัวเขาไม่กล้ากล่าวคำอื่นใด
พบเห็นสองพ่อลูกไม่กล้ายืนหยัดขึ้นมาอีก ผู้คนจึงต่างก็เงียบงันไปครู่ สีหน้าล้วนแสดงแตกต่างกันไป
นี่คือพลังอำนาจที่ซูอี้สร้างขึ้นโดยการเอาชนะมู่ชางถู!
เกียรติของผู้นำสำนักดาบชิงเหอ ปรมาจารย์ดาบผู้มีอำนาจเหนือทั้งเมือง จึงทำได้เพียงก้มศีรษะยอมรับความพ่ายแพ้ ในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ยังมีผู้เฒ่าชราคนใดจะกล้าข่มขู่ซูอี้ประหนึ่งคนหนุ่มทั่วไปอีกงั้นหรือ?
“หากคุณชายซูไม่พอใจ ไม่ว่าด้วยอะไรก็ดี ตัวข้าฉินเหวินเยวียน วันนี้ทำผิดพลาดไปหนักหนา เรื่องนี้ต้องมีการชดใช้”
ที่บนเวทียกสูง ฉินเหวินเยวียนสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้อยคำกล่าวออกด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
อีกหนึ่งผู้คนที่ยอมถอย!
ซูอี้ที่พบเห็นกล่าวคำ “เกล็ดย้อนของตัวเจ้าคือบุตรชาย ตัวข้าก็มีเกล็ดย้อนที่คล้ายคลึงกัน ผู้คนของกลุ่มขวานโลหิตกระทำใดยังสถานที่ที่ข้าอาศัย เจ้าคงไม่ลืมเลือนกระมัง?”
ฉินเหวินเยวียนเผยสีหน้าซับซ้อนไปครู่ ตอนนี้เขาค่อยทราบว่าเหตุใดวันนี้ซูอี้มาเยือน
การแตะต้องเกล็ดย้อนของผู้แข็งแกร่งถือเป็นเรื่องต้องห้าม!
อย่างไรก็ตาม ตัวเขามีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เขาจึงยังคงมั่นใจว่าวาจาของตนจะช่วยให้เรื่องไม่ขุ่นมัวกว่านี้ “คุณชายซูคิดคลี่คลายเรื่องราวเช่นไร?”
ซูอี้กล่าวคำราบเรียบ “ด้วยชีวิตพวกเจ้าพ่อลูก คือเชือดไก่ให้ลิงดู”
ทันทีเมื่อถ้อยคำปรากฏ แผ่นดินราวสั่นสะเทือน หัวใจผู้คนที่รับชมสะท้าน พวกเขาราวกับไม่คิดเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
กระทั่งหยวนอู่ทงยังต้องขมวดคิ้ว มองยังอีกด้านหนึ่งของซูอี้ อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ควรล้ำเส้นด้วย และหากแตะต้อง นั่นต้องแลกด้วยความตาย!
กระนั้นแล้ว สีหน้าของฉินเหวินเยวียนกลายเป็นอัปลักษณ์ ถ้อยคำกล่าวออก “คุณชายซู ฉินผู้นี้ยอมถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีช่องว่างให้คลี่คลายเรื่องราวนี้แล้วหรือไร?”
ซูอี้มองไปยังดาบบงการฟ้าดินในมือ ถ้อยคำกล่าวเฉยชา “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าสองพ่อลูกปลดบ่วงกรรมที่ได้ก่อ แต่หากหลังสามชั่วลมหายใจ พวกเจ้าไม่ลงมือปลิดชีพตนเอง ข้าจะลงมือแทน”
ถ้อยคำนี้ทำเอาผู้คนทั้งหลายต่างสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด
โหดเหี้ยม!
หาได้มีผู้ใดคาดคิด ว่าซูอี้จะไม่เห็นแก่หน้าผู้ว่าการเขตปกครองแม้แต่น้อย
“ดี! วิเศษนัก!”
ชั่วเวลานี้เอง ฉินเหวินเยวียนหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว โทสะไม่อาจยับยั้ง ถ้อยคำกล่าวออก “ฉินเหวินเยวียนผู้นี้รับตำแหน่งเขตปกครองอวิ๋นเหอมาสามสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบตัวตนดื้อรั้นเช่นเจ้า!”
สีหน้าเขาแสดงชัดถึงจิตสังหาร และโทสะอันโกรธเกรี้ยว
ฉินเฟิงกล่าวคำด้วยอาการตื่นเต้น “ท่านพ่อ หากกล่าวเช่นนี้แต่แรก ไยต้องไว้หน้ามัน รีบสังหารมันเถิด!”
เคร้ง!
ซูอี้แตะยังตัวดาบบางเบา เสียงหนึ่งดังสะท้อน
เขาเงยหน้าขึ้น มองไปยังมวลเมฆบนฟากฟ้า ถ้อยคำกล่าวเบาค่อย “ฝนใกล้ตกแล้ว ประหนึ่งชีวิตที่ร่วงโรย หากผู้ใดคิดหยุดยั้งขวางทาง เช่นนั้นจงพบกับหายนะ”
สิ้นคำกล่าว เขาจึงละสายตา และก้าวเดินออกซึ่งหน้า
ชุดสีเขียวพลิ้วไหวกับสายลมสะบัด แม้ว่าเดียวดาย ทว่ามาพร้อมอำนาจอันยิ่งใหญ่ ถึงขนาดทำผู้คนที่นี่ต่างรู้สึกถึงความสิ้นหวังภายในใจ
“ทหารทุกคนรับฟัง รับคำสั่งสังหารคนคลั่งผู้นี้!”
ฉินเหวินหยวนตะโกนเสียงดัง มันสะท้อนดังก้องทั้งลานประลองประหนึ่งฟ้าผ่า
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
กองทหารที่ประจำการรอบลานประลอง ขณะนี้ตอบรับ ตะโกนทวนคำสั่งเสียงดัง
เพียงชั่วพริบตา บรรยากาศแปรเปลี่ยน ผู้คนในที่นี้ไม่อาจนั่งนิ่งเฉยอีกต่อไป พวกเขาต่างลุกขึ้นคนแล้วคนเล่า เพื่อถอยเว้นระยะออกไป
“ท่านพ่อ เรื่องนี้…”
หยวนลั่วซีเกิดร้อนใจ ก่อนนางจะทันกล่าวจบ หยวนอู่ทงพลันคว้าแขนนาง ถอยเว้นระยะไปไกลห่าง
“เด็กน้อย รับชมโดยเงียบงัน หากเมื่อใดถึงคราวต้องให้ช่วย พ่อย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย”
ดวงตาหยวนอู่ทงเผยความลุ่มลึก ราวกับทอประกายสายฟ้าอันเย็นเยือก
ในเมื่อซูอี้กล้าก่อการเพียงนี้ เช่นนั้นย่อมมีกำลังพอกระทำ!
“ลงมือ!”
เสียงตะโกนสั่งการดังเลือนลั่น
พลทหารหน้าไม้กว่าร้อยนาย ขึ้นคันชักพร้อมยิงออก
เสียงลูกดอกกรีดผ่านอากาศดังสะท้อนขึ้น ลูกดอกจำนวนมากที่หนายิ่งกว่าสายฝนถมฟากฟ้าจนกลายเป็นสีดำ ทั้งหมดพุ่งเข้าหาเป้าหมายเดียวคือซูอี้!
ห่าลูกดอกมืดฟ้ามัวดิน ภาพเช่นนี้มากพอที่จะทำให้แม้แต่ปรมาจารย์วิถียุทธ์ยังตื่นตระหนก กระทั่งไม่กล้าเคลื่อนไหว!
บนเวทียกสูงไกลห่าง แววตาของฉินเหวินเยวียนทอประกายเย็นเยือก สายตามองร่างของซูอี้ประหนึ่งรับชมคนตาย
สาเหตุที่เขาเลือกเชิญซูอี้มายังลานฝึกฝนเตาหลอมขจีวันนี้ ก็เพราะมีแผนการเตรียมไว้ในกรณีอันเลวร้ายที่สุด
ทหารชั้นหัวกะทิสามพันคนอยู่ที่นี่ พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือของจวนผู้ว่าการ!
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเขาเองคือปรมาจารย์วิถียุทธ์และเป็นนายเหนือหัวสุดของมหานครอวิ๋นเหอ ดังนั้นจึงมีไพ่ตายในมือมากมาย!
ก่อนหน้าไม่นึกว่าต้องใช้
แต่เวลานี้ เขาไม่คิดสนใจอื่นใดอีกต่อไปแล้ว!!