บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1270: เติ้งจั๋วตระหนักถ่องแท้
ตอนที่ 1270: เติ้งจั๋วตระหนักถ่องแท้
เติ้งจั๋วเดือดดาลจนแทบสิ้นลม
ทั่วทั้งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนดูพะอืดพะอมราวกับเพิ่งกินซากแมลงวันเข้าไป
มิเคยพบพานผู้ใดไร้ปรานีเช่นนี้มาก่อน!
ซูอี้แย้มยิ้ม พร้อมกับกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ไม่คิดเจรจาแล้วหรือ?”
เติ้งจั๋วจ้องมองซูอี้อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกัดฟันกล่าว “เจ้าว่ามา!”
ซูอี้อดประหลาดใจมิได้
เจ้าแก่นี่ยอมทนจริง ๆ หรือ?
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ดูสภาพเจ้าแล้ว ต่อให้วันนี้ข้ากล่าวขอมากมายเกินไป เจ้าก็ยังตกลงหรือ?”
เติ้งจั๋วหัวเราะอย่างโกรธเคือง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ทัศนาจารย์เอ๋ยทัศนาจารย์ หากคิดพูดสิ่งใดก็ว่ามาตรง ๆ เถิด! แม้ข้าเติ้งจั๋วจะไม่อยากลากผู้น้อยในสำนักข้าเข้ามาพัวพันกับความขุ่นเคืองระหว่างเราสอง แต่หากเจ้าจะฉีกหน้าข้าเช่นนี้ ข้าจะมิสนก็ย่อมได้!”
ในน้ำเสียงของเขามิได้ซุกซ่อนโทสะอีกต่อไป
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ได้ ข้าจะเห็นแก่หน้าเจ้าเฒ่าจมูกโค ตอบข้าหนึ่งคำถาม แล้วจบเรื่องวันนี้กัน”
เติ้งจั๋วตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วครู่ต่อมาจึงกล่าว “จะให้ตอบก็ย่อมได้”
ซูอี้ถาม “เหตุใดเจ้าจึงต้องอดทน?”
เป็นหนึ่งคำถามง่าย ๆ ทว่าดวงตาของเติ้งจั๋วกลับชะงักงัน
อันที่จริง ทั่วทั้งสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเองก็งุนงง ไม่อาจเข้าใจได้ว่าไยบรรพชนเติ้งจั๋วจึงเลือก ‘เสียทรัพย์เพื่อเลี่ยงหายนะ’
เติ้งจั๋วเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “มีสองเหตุผล”
“ร่างจริงของข้าไปผจญภัยยังเขตหวงห้ามเซียนละล่อง ยากจะทำนายว่าจะประสบโชคหรือเคราะห์ ยังไม่อาจแน่ชัดว่าจะรอดกลับมาได้หรือไม่ด้วยซ้ำ”
“อวตารวิถีที่เจ้าเห็นตรงหน้านี้เป็นเพียงเสี้ยวชีวิตที่ข้าทิ้งไว้เท่านั้น”
กล่าวถึงยามนี้ ดวงตาของเติ้งจั๋วก็ดูซับซ้อนเล็กน้อย “ข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเจ้าด้วยพลังของร่างอวตารนี้ได้หรือไม่ และมิอาจรับผลกระทบจากการทำลายร่างอวตารนี้ลงได้”
วาจาของเขาสะเทือนทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ สีหน้าคนทุกผู้ถึงกับแปรเปลี่ยน
ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักว่ากระทั่งร่างอวตารของบรรพชนเติ้งจั๋วยังไม่อาจแน่ใจว่าจะทำลายร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ได้!
“ที่แท้ก็เป็นเพราะปัญหานี้”
ซูอี้พยักหน้า “แล้วเหตุผลที่สองเล่า?”
เติ้งจั๋วกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าพบโอกาสที่จะปราบเจ้าลงอย่างแท้จริงได้แล้ว! และไม่อยากสร้างเรื่องจนกว่าจะได้รับโอกาสนี้มา!”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “โอกาสที่ว่า หรือจะเป็นวิถีจุติสรวง?”
เติ้งจั๋วอดมองซูอี้อย่างลึกล้ำขึ้นมิได้ “ถูกต้อง ในวิถีสู่สวรรค์ ข้ามิได้เลิศล้ำเช่นเจ้า แต่หากข้าก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ เจ้าคิดหรือว่าจะยังเป็นคู่มือข้าอยู่?”
ซูอี้ครุ่นคิดสักครู่แล้วจึงกล่าว “ความคิดเจ้าดีจริง ๆ ข้าจะรอคอยวันที่เจ้าก้าวสู่วิถีจุติสรวงนะ”
ทุกคน “???”
นี่หมายความเช่นไร?
เติ้งจั๋วขมวดคิ้ว ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาราวกับตระหนักได้อย่างถ่องแท้ “เจ้าคิดว่าข้ายามก้าวสู่วิถีจุติสรวงยังมิอาจสู้เจ้าได้หรือไร?”
ซูอี้หัวเราะก่อนจะกล่าว “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่อยากยืนยันเท่านั้นว่าความห่างชั้นระหว่างวิถีสู่สวรรค์และวิถีจุติสรวงมหาศาลเพียงใด และการล้มตัวตนในวิถีจุติสรวงสามารถทำได้ในขอบเขตราชันแห่งภูมิหรือไม่”
เติ้งจั๋ว “…”
เขาไร้วาจาไปชั่วขณะ
ราวกับคิดว่าเติ้งจั๋วไม่เข้าใจ ซูอี้จึงอธิบายต่ออย่างจริงจัง “ข้ามิได้หมายหัวเจ้านะ แต่เล็งตัวตนใด ๆ ที่ก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้ต่างหาก”
เติ้งจั๋ว “…”
สีหน้าของเขาคลุมเครือ
ต้องบอกว่าทัศนาจารย์บ้าเกินไป หรือหยิ่งเกินไปดี?
ไม่ใช่ทั้งคู่
ในฐานะตัวตนอาวุโสซึ่งเป็นอริกับทัศนาจารย์มานาน เติ้งจั๋วตระหนักดีถึงอุปนิสัยการวางตนของทัศนาจารย์ และย่อมเชื่อว่าทัศนาจารย์มิได้จงใจอวดโอ่ยั่วยุแต่อย่างใด
คนผู้นี้ต้องการลองทดสอบความห่างชั้นระหว่างขอบเขตราชันแห่งภูมิและวิถีจุติสรวงจริง ๆ!
และความกล้าเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เติ้งจั๋วรู้สึกละอายได้
นี่คือครรลองของทัศนาจารย์
ต่อให้เป็นศัตรูก็ยังอดชื่นชมไม่ได้
“เอาล่ะ ส่งของมา แล้วจบเรื่องวันนี้ได้”
ทันทีที่วาจาของซูอี้ถูกกล่าวออกมา ความรู้สึกในใจของเติ้งจั๋วพลันมอดมลาย อารมณ์ดิ่งวูบลงอีกครั้ง
โดยเฉพาะยามที่เขาต้องส่งกระดูกสัตว์ซึ่งสลักแผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนให้ซูอี้กับมือ หัวใจของเติ้งจั๋วนั้นร้าวรานจนเลือดไหลซิบ
นี่คือค่ายกลดาบวิถีเซียนที่สูญหายไปหลายพันปี!!
นอกจากนั้นยังมีศิลาวิถีสูงสุดทวิภูมิสามพันชิ้น โอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณแปดร้อยเม็ด และสมบัติหายากอื่น ๆ อีก
มูลค่านั้นมิอาจประเมินได้
ในชั่วขณะนั้น หัวใจของทุกคนในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิราวถูกมีดกรีดเฉือน สีหน้ามิน่าดูอย่างยิ่ง
เพราะสมบัติแต่ละอย่างที่ถูกซูอี้เรียกร้องล้วนเป็นสมบัติสูงสุดซึ่งมีไม่มากในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
ทว่ายามนี้ พวกเขาแทบถูกซูอี้รีดไปหมดตัว!
ไม่นานนัก บรรพชนเยว่หงและไป๋เหอซึ่งถูกจับเป็นตัวประกันก็ถูกสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิส่งคืน
“ทัศนาจารย์ ได้เวลาไปแล้วหรือไม่?”
น้ำเสียงของเติ้งจั๋วเย็นชา ดูราวเค้นลอดไรฟัน
ซูอี้แตะจมูกพลางกล่าว “เรื่องนี้แก้ไขเสร็จสิ้น ทุกผู้ปรีดา เจ้าไม่เชิญข้าจิบชาย้อนความหลังสักหน่อยหรือ?”
ไม่ว่าเติ้งจั๋วจะเยือกเย็นเพียงใด ยามนี้เขาก็โกรธเสียจนสบถด่าในใจ
ทุกผู้ปรีดา!
ใครมันปรีดากับเจ้าด้วย?
ยังอยากจิบชาย้อนความหลังอีกหรือ?
ข้าอยากป่นกะโหลกเจ้าแทบรอมิไหวแล้วเฟ้ย!!
สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิโกรธเสียจนจุกอกไปหมด นี่… รังแกกันเกินไปแล้ว!!
มีเพียงอาไฉ่ที่ดูพิกล นางเกือบหลุดหัวเราะลั่นมิไหวแล้ว
ฝั่งหนึ่งเป็นขุมกำลังยักษ์ใหญ่ผู้เกรียงไกรในจักรวาลพร่างดาว แต่กลับถูกซูอี้รังแกถึงเพียงนี้แล้วทำได้เพียงถูจมูกอดทน มิกล้าออกเสียงใด ๆ ด้วยความขุ่นเคือง สภาพครุ่นแค้นรวดร้าว มีผู้ใดเคยได้เห็นด้วยหรือ?
“ตระหนี่เสียจริง เอาเถอะ ในเมื่อไม่เป็นที่ต้อนรับ ข้าก็จะไป”
ซูอี้ส่ายหน้าและหันหลังจากไป
มุมปากของเติ้งจั๋วกระตุก ตระหนี่?
‘ฆ่าราชันแห่งภูมิในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของข้าไปเสียมากมาย รีดสมบัติหายากไปสารพัด และยังนำค่ายกลดาบวิถีเซียนไปอีก นี่… เรียกว่าตระหนี่ได้หรือ!?’
เติ้งจั๋วมองเงาร่างที่ค่อย ๆ ลับไปของซูอี้แล้วอยากหยิบดาบออกมาสับให้เละใจจะขาด!
“ท่านบรรพชน เรื่องนี้จบลงแล้วจริง ๆ หรือขอรับ?”
หลี่สวินเจินรู้สึกไม่อยากยอมรับ ใบหน้าของเขามืดคล้ำหม่นหมอง
เติ้งจั๋วหันไปกล่าวกับหลี่สวินเจินอย่างเย็นชา “หลิงอวิ้นเป็นศิษย์ใกล้ชิดของข้า ยามนางตาย ข้าได้แต่ฝืนทน แล้วเจ้ายังทนอันใดมิได้?”
เมื่อเผชิญสายตาเย็นชาอันน่าหวาดหวั่นของเติ้งจั๋ว หลี่สวินเจินก็ชะงักและก้มหน้าลง
ตุ้บ!
เจ้าสำนักเวิงผูคุกเข่าลงทันที ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าแสนละอาย “ท่านบรรพชน เป็นเพราะข้าไร้สามารถจึงทำให้สำนักสูญเสียอย่างมหันต์เยี่ยงทุกวันนี้…”
เติ้งจั๋วกล่าวขัดอย่างไร้อารมณ์ “สารภาพไปก็ไร้ประโยชน์! บอกข้ามา เจ้าไปยุ่งอันใดกับคนผู้นี้?”
หัวใจของเวิงผูสั่นระรัว ตระหนักแล้วว่าบรรพชนเดือดดาลถึงขีดสุด เขามิกล้าเยิ่นเย้อ ตั้งใจขอรับผิดเสียยามนี้!
จากนั้นเขาจึงเล่าความจริงของเหตุการณ์ออกมาโดยไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิด
“เดิมที เจ้าร่วมมือกับโรงวาดฤทัย หอเก้าสวรรค์และลัทธิทางช้างเผือกไปถล่มภูมิดาราฟ้าดินตามคำแนะนำของช่างเสื้อหรือ?”
เวิงผูก้มหน้าลงและกล่าวอย่างขมขื่น “ขอรับ ขณะนั้น เราส่งราชันแห่งภูมิไปยังภูมิดาราฟ้าดินหลายคน รวมถึงกลุ่มจักรพรรดิระดับสูงสุด ข้าคิดว่าเราคงเอาชนะผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิลงได้ง่าย ทว่าใครเล่าจะคิด…”
โดยมิรีรอให้เขาพูดจบ เติ้งจั๋วก็กล่าวขัดด้วยใบหน้าคล้ำเคร่ง “เจ้าโง่ฟั่นเฟือน! ถูกไอ้แก่ชั่วช่างเสื้อหลอกใช้ยังไม่รู้ตัวอีก!”
ทุกคนเงียบไป
เติ้งจั๋วตะเบ็งเสียงตำหนิด้วยโทสะ “ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้วว่าความแค้นระหว่างข้ากับทัศนาจารย์ พวกเจ้าอย่าได้ยุ่งเกี่ยว แต่เจ้าก็หาฟังไม่!”
“อย่าพูดว่าทัศนาจารย์ในยามนั้นมีการฝึกฝนเพียงขอบเขตจักรพรรดิ ต่อให้เขาเวียนวัฏกลับเป็นผู้ฝึกยุทธ์ปุถุชนทั่วไป เจ้าก็มิควรไปเป็นอริเขา!”
“หาไม่ ไยช่างเสื้อเฒ่าจึงไม่ลงมือเองเล่า? เหตุใดต้องไปลากขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายมาร่วมมือกันด้วย?”
“เจ้าแก่นั่นไม่คิดฮุบเคล็ดเวียนวัฏสงสารไว้ผู้เดียวหรือไร?”
“เพราะเขามิกล้าต่างหาก!”
“เขารู้ดีว่าใครว่าไม่ว่าก่อนหรือหลังเวียนวัฏ ขอเพียงคนผู้นั้นคือทัศนาจารย์ เขาย่อมยากต่อกร!”
“แล้วพวกเจ้าเล่า แต่ละคนล้วนหน้ามืดตามัวโง่งม และยังจะคิดฉวยโอกาสชิงเคล็ดเวียนวัฏสงสารอีก รนหาที่ตายกันเองโดยแท้!”
เสียงก่นด่าขุ่นเคืองนี้ดังสะท้อนทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ
เวิงผู หลี่สวินเจิน และเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายล้วนถูกดุด่าจนหัวหดประหนึ่งมะเขือยาวถูกแช่แข็ง
หัวใจของพวกเขายิ่งลนลานไปใหญ่
ไม่มีผู้ใดคาดว่าบรรพชนจะโกรธเคืองเพียงนี้
“ดูเรื่องโง่ ๆ ที่พวกเจ้าทำสิ! มิเพียงความขายหน้าของพวกเจ้า ยังเป็นความอับอายไปถึงบรรพชนด้วย! ฝาโลงเหล่าบรรพชนทั้งหลายแทบระเบิดอยู่รอมร่อแล้ว!”
เติ้งจั๋วโกรธเสียจนแทบอยากสับเจ้าพวกสารเลวเหล่านี้ให้ตายเสียรอมร่อ
จนกระทั่งเนิ่นนานจากนั้น เติ้งจั๋วจึงค่อย ๆ สงบโทสะ จากนั้นเขาก็กัดฟันกล่าวว่า “ช่างเสื้อเฒ่านั่น ใครจะรู้ว่าเจ้าสุนัขนี่กล้าหลอกใช้สำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิของข้า ในภายหน้าข้าจะคิดบัญชีนี้กับเขาแน่!”
กล่าวจบ เขาก็กวาดตามองพวกเวิงผู และกล่าวชัดถ้อยทีละคำ “เรื่องวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็แพร่ออกไปมิได้ เข้าใจหรือไม่? จำไว้ว่าให้ทำตัวเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!”
ดวงตาของเติ้งจั๋ววูบไหว ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เมื่อคนผู้นี้หวนคืน เขาจะไปตามล่าคิดบัญชีกับช่างเสื้อ จิตรกร และพวกชาวประมงเป็นแน่ เราทั้งหลายล้วนเสียหายย่อยยับ แล้วพวกเขาจะลอยนวลมิเสียหายเช่นกันได้เช่นไร?”
“ขอเพียงเราเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ปล่อยที่อยู่ของทัศนาจารย์หลุดออกไป เจ้าพวกที่เคยล่วงเกินทัศนาจารย์ก็จะถูกคิดบัญชีไปทีละคนเอง!”
หลี่สวินเจินอดกล่าวมิได้ “ท่านบรรพชน เรารับประกันได้ว่าในภูมิดาราหมื่นโฉลก เรื่องในวันนี้จะมิแพร่งพราย แต่หากทัศนาจารย์เป็นฝ่ายแพร่งพรายมันออกไปเองเล่า…”
เติ้งจั๋วกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าทัศนาจารย์เป็นพวกที่โอ้อวดตนเองหรือไร? ด้วยนิสัยของเขา เรื่องในวันนี้เป็นเพียงการทะเลาะโง่เง่าในสายตาเขาเท่านั้น ไร้ค่าใด ๆ ในสายตา!”
ทั่วสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิล้วนตะลึงงัน
วันนี้ สำนักของพวกเขาเสียหายมหาศาล แต่ในสายตาทัศนาจารย์ มันเป็นเพียงการทะเลาะเล็กน้อยหรือ?
“ทนไปสักเดี๋ยวให้พายุสงบคลื่นคงตัว ยามที่ร่างจริงของข้าก้าวสู่วิถีจุติสรวง นั่นจะถึงกาลแตกหักกับทัศนาจารย์!”
เติ้งจั๋วกระซิบ
กู้หลิงอวิ้น หนึ่งศิษย์ใกล้ชิดถูกสังหาร เขาหรือจะไม่โกรธ?
วันนี้สำนักเผชิญกับหายนะ เขาหรือจะอยู่เฉยได้?
ค่ายกลดาบวิถีเซียนถูกส่งออกไป เขาหรือจะมิใจสลาย?
“ถึงยามนั้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ อย่างน้อยที่สุด… ข้าก็จะมิพัวพันกับเจ้าอีก…”
เติ้งจั๋วรำพึงเบา ๆ
ชั่วขณะนั้น หัวใจคนทุกผู้ปั่นป่วน ละอายใจหนักหนายิ่งขึ้นทุกขณะ
ไกลออกไป อาไฉ่ผู้รับรู้ทุกเรื่องราวและอดรำพึงมิได้ว่าเติ้งจั๋วเป็นตัวตนในตำนาน ณ ยุคสมัยเดียวกับทัศนาจารย์โดยแท้
เขาตระหนักถี่ถ้วนยิ่งนัก!
และเมื่อเห็นการวางตัวและการกระทำของเติ้งจั๋ว อาไฉ่จึงตระหนักลึกล้ำเป็นหนแรกตราบชั่วชีวิต ว่าสมญา ‘ทัศนาจารย์’ สื่อถึงความสำคัญมากเพียงใด!