บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1271: อย่าให้เกิดเหตุซ้ำสอง
ตอนที่ 1271: อย่าให้เกิดเหตุซ้ำสอง
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สะพานเมฆา
ที่ตั้งโถงวิถีแปรตะวัน
“ท่านอาจารย์ ขอเพียงศิษย์มีโอกาสในภายหน้า ข้าจะกลับมาพบกับท่านแน่ขอรับ”
ไกลออกไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์สะพานเมฆาหลายร้อยลี้ เมิ่งฉางอวิ๋นโค้งคำนับแก่บรรพชนเยว่หง
บรรพชนเยว่หงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ฉางอวิ๋น เจ้าต้องดูแลตนเองนะ ภายหลังติดตามรับใช้ใต้เท้าทัศนาจารย์ ต้องมิเกียจคร้านหลงระเริง”
เขาได้รู้เรื่องราวทั้งหมดจากปากของเมิ่งฉางอวิ๋นแล้ว
และยังรู้ด้วยว่าหนนี้ ทัศนาจารย์คือผู้ช่วยชีวิตเขาและไป๋เหอไว้
เมิ่งฉางอวิ๋นฉีกยิ้มกล่าว “ท่านอาจารย์โปรดวางใจ”
กล่าวจบ เขาก็หันไปมองไป๋เหอผู้เป็นศิษย์ใกล้ชิดของเขา แววตาพลันอ่อนลง “เจ้าลูกกระต่าย ในภายหน้าเจ้าต้องตั้งใจทุ่มเทฝึกฝนเพื่อรับใช้ข้างกายบรรพชนนะ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ไป๋เหอพยักหน้า เขาพลันคุกเข่าลงโขกหัวกราบสามหน “ท่านอาจารย์ ศิษย์จะมิทำให้ท่านผิดหวังขอรับ!”
เมิ่งฉางอวิ๋นแย้มยิ้มโล่งใจ ช่วยประคองไป๋เหอลุกขึ้น
บรรพชนเยว่หงอดกล่าวมิได้ “ฉางอวิ๋น เจ้าจะไม่มีวันกลับสำนักในภายหน้าจริง ๆ หรือ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นพยักหน้าน้อย ๆ ด้วยสีหน้าขุ่นหมอง
บรรพชนเยว่หงถอนหายใจ พลางตบบ่าเมิ่งฉางอวิ๋นและไม่กล่าวอันใดอีก ก่อนจะพาไป๋เหอเดินทางสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สะพานเมฆาซึ่งอยู่ห่างออกไป
เมื่อเห็นร่างของพวกเขาลับสายตาไป เมิ่งฉางอวิ๋นก็สูดหายใจลึก ๆ และหันหลังจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
…
โถงวิถีแปรตะวัน
การกลับมาพร้อมกันของบรรพชนเยว่หงและไป๋เหอก่อให้เกิดเสียงฮือฮาทั่วทั้งโถง
เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายล้วนตัวสั่นเทิ้ม
ก่อนหน้านี้ แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือซูอี้อย่างยับเยิน แต่ก็ไม่มีผู้ใดมองว่าการเดินทางเพื่อช่วยคนในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิครานี้ของซูอี้ในแง่ดีมากนัก
ทว่ายามนี้ เมื่อบรรพชนเยว่หงและไป๋เหอกลับมา ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าถึงซูอี้จะเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์ แต่ก็ยังสยบความทะนงของสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิได้อยู่ดี!
ทันทีที่พวกเขาคิดเช่นนี้ ความโศกเศร้าที่ไม่อาจกล่าวถึงก็เอ่อขึ้นมาในใจพวกเขา
วันเดียวกันนั้น บรรพชนเยว่หงออกคำสั่งปลดเวินจือซินออกจากตำแหน่งเจ้าโถง
ไม่มีผู้ใดคัดค้าน
…
เมืองหมื่นใบไม้
ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
วิ้ง!
วจีดาบแว่วออกมาจากในน้ำเต้าดาบหยกเขียว ฟังดูตื่นเต้นร้องระงม
ซูอี้อดยิ้มมิได้
ก่อนหน้านี้ เขาเทมธุรสจิตรองปฐมสวรรค์ทวิภพทั้งเก้าพันจินที่รีดมาได้จากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเข้าไปในน้ำเต้าหยกเขียว
และหลังจากดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ซึ่งถูกบ่มเพาะในน้ำเต้าดูดซับมธุรสนี้ไป ตัวดาบซึ่งเดิมเสียหายหนักก็ฟื้นกลับมาสมบูรณ์!
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็เก็บน้ำเต้าหยกเขียวไป
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชั้นหนึ่งในขอบเขตจักรพรรดิ
ทว่าในขอบเขตราชันแห่งภูมิ พลังของมันนับว่าไม่เหมาะสมเล็กน้อย
ทว่าซูอี้จะไม่ทิ้งดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ไปเพียงเพราะเหตุนี้
ในฐานะดาบที่เขาภาคภูมิใจที่สุดยามสัญจรในมหาแดนดิน ความสำคัญของมันจึงมิอาจวัดได้ด้วยขนาดพลัง
มันเปี่ยมด้วยความทรงจำต่าง ๆ มากมาย
การคงอยู่ของดาบเล่มนี้แทนความทรงจำอันมิอาจลบหายชั่วชีวิตของซูอี้
เหมือนเช่น ‘ดาบสุดแดนดิน’ ซึ่งซูอี้ตีขึ้นเป็นเล่มแรกในต้าโจว และดาบนิลกาลบริสุทธิ์ที่เขาหล่อหลอมขึ้นมาในภูมิมืดมิด…
ดาบทุกเล่มคือเครื่องหมายแห่งความทรงจำ
ซูอี้สะสมดาบเหล่านี้เสมอมา
และดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ก็เฉกเช่นกัน
ไม่นานนัก ซูอี้ก็นำกระดูกสัตว์สีขาวหิมะออกมาชิ้นหนึ่ง
มันมีขนาดราวฝ่ามือ ดูเหมือนดาบบินซึ่งดูหยาบกระด้างเรียบง่าย สัมผัสกระจ่างใส เรืองประกายรัศมีเซียนเยี่ยงภาพฝัน
ซูอี้แยกจิตสัมผัสออกมาตรวจสอบกระดูกสัตว์ชิ้นนี้สายหนึ่ง
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
เสี้ยวชั่วยามต่อมา
ซูอี้ผ่อนลมหายใจยาว
กระดูกสัตว์นี้ถูกสร้างขึ้นจากกระดูกชะตาของสัตว์ร้ายบรรพกาลอันไร้คู่เปรียบ ‘สัตว์สุญญะสว่างว่าง’
ในกระดูกสัตว์ชิ้นนี้มีค่ายกลดาบอันพังยับเยินค่ายหนึ่งสลักไว้
นามของมันคือค่ายกลดาบเจดีย์น้อย!
ที่มาของมันมิอาจหยั่งตรวจสอบได้อีกต่อไป และจากการคาดเดาของซูอี้ ความลับในค่ายกลดาบนี้ย่อมเหนือชั้นกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิแน่
เมื่อเขาทราบเกี่ยวกับมัน ซูอี้ก็รู้สึกแข็งขันอย่างยิ่ง และพอเข้าใจบ้างแล้ว
เขารู้สึกราวกับรับรู้ทุกถ้อยคำ แต่ยามรวมเป็นประโยคหรือบทความกลับออกมาสับสน
ทว่า จากรายละเอียดมากมายของแผนที่ค่ายกลดาบนี้ ซูอี้แน่ใจได้หนึ่งอย่าง…
ค่ายกลดาบนี้มิควรถูกถือเป็นค่ายกลดาบวิถีเซียน!
เหตุผลนั้นแสนง่าย เป็นเพราะความลับในค่ายกลดาบนี้คล้ายคลึงกับความลับในภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงทั้งสามสิบหกภาพที่ซูอี้ได้เห็นในเมืองสวรรค์เทพมายายิ่งนัก
และภาพหมอกมงคลเคลื่อนสู่สรวงเหล่านั้นก็เหลือรอดมาจากสำนักโบราณแห่งหนึ่งนามเกาะเซียนเผิงไหล อำนาจภายในห่างไกลเกินกว่าจะเทียบได้กับวิถีเซียน
“อย่างมากที่สุด ค่ายกลดาบเจดีย์น้อยนี้น่าจะเทียบได้เพียงค่ายกลดาบในขอบเขตจุติสรวงเท่านั้น”
ซูอี้กล่าวเสียงขรึม
แต่กระนั้น อำนาจของค่ายกลดาบเจดีย์น้อยก็ยังร้ายกาจเหนือชั้นกว่าขอบเขตราชันแห่งภูมิไปไกลโข
จากการคาดการณ์ของซูอี้ เหตุที่เติ้งจั๋วสามารถตั้งค่ายกลนี้ได้ก็เป็นเพราะทำตามแผนภาพงก ๆ มากกว่าจะเข้าใจค่ายกลดาบนี้อย่างถ่องแท้
เพราะถึงอย่างไร ปริศนาของค่ายกลดาบนี้ คาดว่าจะเกี่ยวพันกับอำนาจระดับจุติสรวง!
“ยามที่เติ้งจั๋วตั้งค่ายกลนี้ เขาแทบใช้วัตถุศักดิ์สิทธิ์ในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิจนเกลี้ยงคลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำได้เพียงขับพลังของค่ายกลนี้ออกมาได้เพียงราว ๆ สี่ส่วน…”
ซูอี้ครุ่นคิดหนัก
ก่อนหน้านี้เขาเคยรับมืออำนาจค่ายกลนี้มาก่อน และอำนาจเช่นนั้นสามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดโดยง่ายได้จริง ๆ
แม้จะเปลี่ยนเป็นทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อม เขาก็ยังต้องทุ่มพลังสุดตัวโดยไม่ใช้สมบัติภายนอกใด ๆ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากค่ายกลนี้ได้
และนี่เป็นเพียงพลังสี่ส่วนของค่ายกลดาบเจดีย์น้อยเท่านั้น!
หากใช้ได้เต็มสิบส่วน ค่ายกลดาบนี้จะน่ากลัวเพียงไร?
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวในของซูอี้ก็เคลื่อนกระเพื่อม
อำนาจวิถีจุติสรวงน่าหวาดหวั่นจริงแท้!
วิถีนี้หายไปเป็นพัน ๆ ปี และทัศนาจารย์ในคราแรกก็ทำได้เพียงแตะเส้นแบ่งวิถี แต่มิอาจเยื้องย่างเข้าไปได้
ยามนั้น ทัศนาจารย์มิแข็งแกร่งพอหรือ?
ไม่ใช่!
เป็นเพราะวิถีนี้หายไปจากโลกเมื่อนานมาแล้วต่างหาก!
เหตุผลนั้นง่ายดาย วิถีจุติสรวงนั้นเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างวิถีสู่สวรรค์กับวิถีเซียน
ทว่า เมื่อนานมาแล้ว อำนาจประหลาดมิทราบที่มาได้สะบั้นวิถีจุติสรวง ทำลายสะพานนี้ลง!
ดังนั้น เนิ่นนานมาแล้วที่ทัศนาจารย์สัญจรไปทั่วห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว แม้จะแตะถูกเส้นแบ่งแห่งวิถีจุติสรวง เขาก็เห็นได้เพียงเส้นทางขาด!
หาไม่ ด้วยความสำเร็จแห่งมหาวิถีของทัศนาจารย์ เขาคงเลื่อนขอบเขตไปได้แล้วอย่างง่ายดาย อย่าว่าแต่แหวกนภาจุติสรวง การเป็นเซียนยังมิถึงกับเป็นไปไม่ได้!
“จากวาจาของอาไฉ่ ช่วงกาลเร็ว ๆ นี้มีโอกาสและเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับเซียนปรากฏขึ้นในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว และเฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วก็กล่าววาจาว่าพบโอกาสเหยียบย่างสู่วิถีจุติสรวง ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน”
ซูอี้ลอบกล่าว “ยามนี้ แม้จะเพียงหนึ่งต้นกล้างอกเงย มันก็เหมือนม่านแง้มออกหนึ่งมุม ด้วยเวลาที่ผ่านไป เกรงว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก…”
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็กระเพื่อมไหว
วิถีจุติสรวงซึ่งเคยสูญหายจากโลกหล้าจะหวนคืนอีกหนจริง ๆ หรือ?
ในเมื่อเติ้งจั๋วเคลื่อนไหว เจ้าเฒ่าคนอื่น ๆ ก็คงลงมือกันแล้วเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร ใครก็ตามที่ก้าวสู่วิถีจุติสรวงได้เป็นกลุ่มแรกก็สามารถควบคุมอำนาจแปรเปลี่ยนครรลองแห่งโลกหล้าได้!
ยามนั้น โครงสร้างอำนาจทั่วจักรวาลพร่างดาวก็จะพลิกกลับสลับใหม่!
“และในสามปี เขตแดนสมรภูมิจะปรากฏหวนคืนสู่โลกหล้า และจัดศึกแรกเยือนอันลึกลับขึ้นในนั้น…”
“จักรดาราตงเสวียนทุกวันนี้… วุ่นวายจริง ๆ”
ซูอี้จิบสุรา
แผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนนี้มีค่ายิ่งจริงแท้
น่าเสียดายที่ปริศนาของมันยากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ในวันนี้
“สมบัติชิ้นนี้เลอค่าแม้แต่สำหรับยักษ์ใหญ่ใด ๆ ในจักรวาล แต่ในมือข้ากลับเหมือนไร้ค่าเล็กน้อย…”
ซูอี้พึมพำ
มูลค่าของค่ายกลดาบนี้อยู่ที่การจัดค่ายกลพิทักษ์สำนัก
ยิ่งกว่านั้นยังต้องใช้วัตถุดิบศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดจำนวนมหาศาล
ยามนี้มันไม่มีคุณค่าต่อซูอี้มากนัก
“กระทั่งดาบเก้าคุมขังยังขี้เกียจอ้าปากเขมือบ เห็นได้ว่ามูลค่าของกระดูกสัตว์ชิ้นนี้อ่อนด้อยกว่าดาบปลายมนแผดเซียนและหอกศึกพิสูจน์สวรรค์มากนัก”
ซูอี้นวดหว่างคิ้ว
เขาเก็บกระดูกสัตว์ซึ่งสลักแผนที่ค่ายกลดาบวิถีเซียนไปโดยมิคิดมาก
แม้ยามนี้จะยังใช้มิได้ แต่ไม่ช้าก็เร็ว มันจะมีประโยชน์!
“คุณชาย”
เย็นวันนั้น เมิ่งฉางอวิ๋นหวนคืน
“สะสางทุกเรื่องแล้วหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
เมิ่งฉางอวิ๋นพยักหน้า
ซูอี้สลักตราเทพอมตะลงบนยันต์ลับใบหนึ่งทันที
“เราจะไปแล้ว เจ้าจะไม่มากับเราจริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ว่า
ก่อนหน้านี้ เขาวางแผนช่วยอาไฉ่หนีออกจากสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ ทว่าอาไฉ่กลับปฏิเสธ
เมื่อเห็นซูอี้นำเรื่องเก่ามาพูดอีกแล้ว อาไฉ่ก็อดยิ้มน้อย ๆ มิได้ “ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของสหายเต๋านะ แต่ข้ายังไปมิได้หรอก”
ซูอี้งุนงง “เพราะเหตุใดกัน? มิกังวลว่าเจ้าจะถูกเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิคิดคดหลอกใช้เพื่อให้บุตรีของเขาชิงร่างแล้วหรือไร?”
นับแต่แรกพบ อาไฉ่เคยกล่าวเกี่ยวกับเรื่องที่บุตรีเจ้าสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิบาดเจ็บสาหัส และเพื่อช่วยเหลือบุตรีของเขา เขาจึงพยายามให้บุตรีของเขายึดร่างของอาไฉ่
อาไฉ่กล่าวเสียงเบาด้วยสีหน้าละอาย “หากกล่าวเรื่องโป้ปด ก็ต้องโป้ปดอีกเป็นพัน ๆ หนเพื่อกลบเกลื่อน ข้าจึงต้องกล่าวกับสหายเต๋าตามตรง ที่จริงแล้ว… ข้าโกหกน่ะ”
ซูอี้ “…”
เขาถูกหลอก!
ซูอี้ขมวดคิ้วถาม
อาไฉ่ดูละอายยิ่งขึ้น กล่าวว่า “ยามนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นยามแรกพบ ข้ามิได้เชื่อใจสหายเต๋า และเหตุที่ข้าโกหก ท้ายที่สุดก็เพื่อหนีจากต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิให้ได้น่ะ”
ซูอี้ถูหว่างคิ้วถาม “งั้นเหตุใดจึงออกมายอมรับเสียยามนี้เล่า?”
อาไฉ่กล่าวอย่างจริงจัง “เพราะรู้สึกผิด”
ซูอี้จ้องมองอาไฉ่ชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “อย่าให้เกิดเหตุซ้ำสองเสียเล่า”
อาไฉ่กล่าวยิ้ม ๆ อย่างโล่งใจทันที “อันที่จริง นอกจากเรื่องนี้ เรื่องอื่น ๆ ที่ข้าบอกสหายเต๋าทั้งหมดไม่ได้โกหกเลยนะ”
ซูอี้แค่นเสียง ขณะระลึกถึงเหตุการณ์เก่า ๆ บางอย่าง
เขายังจำได้ว่ายามพบกับอาไฉ่ครั้งแรก นางบอกว่านางเกิดมาในที่มาแห่งฮุ่นตุ้น ได้เห็นการเกิดการดับของสารพัดมหาวิถี และมองการเปลี่ยนแปลงแห่งดาราผ่านยุคสมัย
เดินเดียวดายในโลกโลกีย์ เห็นทุกข์สุขแห่งสรรพชีวิต และยังเคยหนีสู่อีกโลกหล้า เคียงข้างโคมไฟเขียวขจีเดียวดายหมื่นปี…
ทว่าซูอี้ประทับใจในฝีมือของอาไฉ่
ความสามารถของอาไฉ่นั้นสามารถข้ามมิติเวลา เคลื่อนผ่านกำแพงเขตแดนใด ๆ ได้!
ที่สำคัญที่สุดคือ ยังฝืนต้านพลังแห่งวัฏสงสารได้ด้วย!
เพราะเหตุนี้ อาไฉ่จึงสามารถข้ามมิติเวลาเข้าไปกลืนกินใบไม้บนต้นวัฏสงสารหมื่นภูมิได้!
ความสามารถเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งต้องห้าม
นอกจากนั้น ที่หว่างคิ้วของอาไฉ่ยังมีตราสีทองสลักอยู่
ตรานั้นเป็นดั่งวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ วนเวียนไม่รู้จบ มีเสน่ห์แห่งความอมตะไร้จุดเริ่มจุดสิ้น ลึกลับประหลาดยิ่งนัก
และทั้งหมดนี้ย้ำเตือนซูอี้ถึงตำนานเรื่องหนึ่ง
“ในสมัยบรรพกาลมีหนอนไหมเซียนอยู่ตัวหนึ่ง มันก่อเกิดในฮุ่นตุ้น วิญญาณไร้มรณะ กินดื่มมธุรสสระทองคำ ขบเคี้ยวแก่นศิลาเงิน ถักทอกฎสวรรค์ยามยุคสมัยกำเนิดฮุ่นตุ้นแปรเปลี่ยน… จุตินภาสยายปีกเป็นผีเสื้อโบยบินข้ามมิติกาลเวลา มิถูกกั้นขวางโดยกำแพงเส้นคั่นใด ๆ …ในสมัยโบราณมันถูกเรียกว่า ‘เซียนสวรรค์’”
ทั้งหมดนี้ทำให้ที่มาของอาไฉ่ยิ่งลึกลับซับซ้อน
“เจ้าจะไม่เชื่อข้าก็ย่อมได้ เพื่อชดใช้ความผิดในใจข้า ข้าจะมอบสิ่งชดเชยที่สหายเต๋ามิอาจปฏิเสธได้ให้ในภายหน้า”
ดวงตาเปี่ยมจิตวิญญาณของอาไฉ่ลึกล้ำ ขณะกล่าววาจาแฝงนัยยะ
ซูอี้แย้มยิ้ม มิได้กล่าววาจาใด
อาไฉ่พึมพำราวพูดกับตนเอง “หากไร้สิ่งอื่นใด ในสามปี การชดใช้ที่ข้าว่าน่าจะทำได้ สหายเต๋ารอดูเถิด”
กล่าวจบ นางก็หันหลังจากไป
สามปี!
ซูอี้ตะลึงในใจและกำลังจะปริปากถาม ทว่าอาไฉ่กลับจากไปเสียแล้ว
“ดูเหมือนข้าจะยังประเมินที่มาของสตรีผู้นี้ต่ำไป จริงด้วย ในเมื่อนางมีความสามารถพอจะต้านทานพลังแห่งวัฏสงสาร นางหรือจะเป็นคนธรรมดา?”
“เซียนสวรรค์… หนอนไหมเซียน… หรือที่มาของนางจะเกี่ยวข้องกับเซียนจริง ๆ?”
ซูอี้ลูบคาง “น่าสนใจ ข้าอยากเห็นนักว่าการชดเชยที่นางว่าจะเป็นเช่นไร!”
ในวันเดียวกันนั้น ซูอี้และเมิ่งฉางอวิ๋นออกเดินทางข้ามจักรวาลพร่างดาวมาสู่ภูมิดาราวอนสวรรค์
กาลเวลาผันผ่าน วันแล้ววันเล่า
เรือท้องแบนพาร่างของซูอี้กับเมิ่งฉางอวิ๋นละล่องผ่านจักรวาลพร่างดาว
ตลอดทางสงบเงียบ ไร้อุบัติเหตุ
ขณะเดินทาง ซูอี้ฝึกฝนอย่างเงียบงัน และจำนวนศิลาวิถีสูงสุดทวิภูมิที่เขาหล่อหลอมแต่ละวันเพียงอย่างเดียวก็มากถึงสามร้อยชิ้น
นอกจากนั้น ทุก ๆ การพักผ่อนสามชั่วยาม โอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณก็จะถูกหยิบมากินเก้าเม็ด
สมบัติเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสมบัติชั้นเลิศในสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ และศิลาวิถีสูงสุดทวิภูมิก็สามารถขัดเกลาเสริมความแข็งแกร่งความรู้ความเข้าใจในวิถีของตัวตนขอบเขตราชันแห่งภูมิได้
โอสถเทพมารดาเบิกวิญญาณสามารถขัดเกลาพื้นฐานวิถีของราชันแห่งภูมิและเพิ่มพูนการฝึกฝน
กระทั่งในยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวเยี่ยงสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิ มีเพียงพวกผู้อาวุโสในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเท่านั้นที่จะใช้สมบัติเช่นนี้ได้!
ยามนี้ มันถูกซูอี้ดูดซับหลอมรวมราวกับไม่คิดเสียดาย
ผลของมันช่างเหลือเชื่อ
เพียงเจ็ดวัน
การฝึกฝนของซูอี้ก็มาถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง!
“ต่อไป ก็ลองพิสูจน์ตนสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ…”
ซูอี้เอนกายสบายใจบนเรือท้องแบน มองทิวทัศน์ในจักรวาลพร่างดาวไประหว่างทาง
ขอบเขตคืนสู่สามัญ
หมื่นวิถีหวนเหย้า หมื่นกฎเกณฑ์คืนสู่สามัญ!
เมื่อก้าวสู่ขอบเขตนี้ มหาวิถีและเคล็ดวิชาทั้งหลายที่ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิควบคุมจะถูกหลอมรวมในร่างดุจเตา ทำให้พลังมหาวิถีของคนผู้นั้นก้าวสู่ขอบเขตใหม่
การหวนเหย้าของหมื่นวิถีคือการใช้วิถีของตนเป็นรากฐาน หลอมรวมกฎและวิถีทั้งหลายในร่างเข้าสู่ถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่าง
“นับแต่ยามที่ข้าบรรลุสู่ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยง ข้าก็สร้างดินแดนดึกดำบรรพ์ หยั่งรากแห่งฟ้าดินลงในถ้ำโกลาหลมหาวิถีในร่างของข้า จึงไม่กังวลถึงขั้นตอนนี้แม้แต่น้อย”
ขณะที่ซูอี้กำลังคิดในใจ เมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนเรือท้องแบนพลันพูดขึ้น “คุณชาย เรามาถึงภูมิดาราวอนสวรรค์แล้วขอรับ”
“ตรงไปที่หอเก้าสวรรค์เลย”
ซูอี้ออกคำสั่งเรียบ ๆ
“ขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่ง
ครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา
ไกลออกไปในจักรวาลพร่างดาว หนึ่งกระแสมิติพลันวูบไหว
และเงาสายหนึ่งซึ่งเป็นดุจแสงสีขาวพร่างพราวเหนือนภาพลันผุดออกมาจากกระแสมิติดังกล่าว
ขณะที่ซูอี้กำลังคิดในใจ เมิ่งฉางอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนเรือท้องแบนพลันพูดขึ้น “คุณชาย เรามาถึงภูมิดาราวอนสวรรค์แล้วขอรับ”
“ตรงไปที่หอเก้าสวรรค์เลย”
ซูอี้ออกคำสั่งเรียบ ๆ
“ขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นรับคำสั่ง
ครึ่งเสี้ยวชั่วยามต่อมา
ไกลออกไปในจักรวาลพร่างดาว หนึ่งกระแสมิติพลันวูบไหว
และเงาสายหนึ่งซึ่งเป็นดุจแสงสีขาวพร่างพราวเหนือนภาพลันผุดออกมาจากกระแสมิติดังกล่าว
………………..