บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1272: ต่อหน้าเสือไร้หลุมหล่ม
ตอนที่ 1272: ต่อหน้าเสือไร้หลุมหล่ม
เรือท้องแบนหยุดลงอย่างเงียบ ๆ
เมิ่งฉางอวิ๋นระแวดระวังเยี่ยงเผชิญหน้ากับศัตรูร้าย
ซูอี้เอนร่างพิงท้ายเรือพลางแหงนมอง
ในที่สุด เงาแสงสีขาววูบไหวก็ก่อร่างเป็นชายชราในชุดผ้าผู้มีใบหน้าเหี่ยวย่นผู้หนึ่ง
เขามีเส้นผมขาวโพลนดุจหิมะ แก่ชราหงำเหงือก
เพียงยืนเฉย ๆ บรรยากาศรอบกายของเขาก็ดูเหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งกับจักรวาลพร่างดาว ให้ความรู้สึกไร้ที่ติใด ๆ
ทันทีที่ชายชราในอาภรณ์ผ้าปรากฏกายขึ้น เขาก็กล่าวขณะคำนับซูอี้ “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้คือผู้บวงสรวงสวรรค์หลูอวิ๋นแห่งหอเก้าสวรรค์ รอคอยใต้เท้าทัศนาจารย์อยู่นานแล้ว”
ผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์!
เมิ่งฉางอวิ๋นตกตะลึงในใจ
ในหมู่ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว หอเก้าสวรรค์มีจำนวนคนน้อยที่สุด
นอกจากสามผู้บวงสรวงสวรรค์ เจ็ดจ้าวเรือนจำ สิบแปดผู้ลงทัณฑ์ พัศดีและเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มหนึ่ง ก็มีคนอีกเพียงร้อยกว่า ๆ
ทว่าขุมกำลังฝึกตนสูงสุดทั่วภูมิดาราวอนสวรรค์กลับถือเป็นขุมกำลังลูกข่ายของหอเก้าสวรรค์ทั้งสิ้น
เจ้าหอวอนสวรรค์ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ให้ต้องออกมาเลย ขอเพียงหนึ่งในสามผู้บวงสรวงสวรรค์ออกคำสั่ง ตัวตนในขอบเขตราชันแห่งภูมิทั้งหมดในภูมิดาราวอนสวรรค์ก็จะถูกเชิญมารวมตัว!
นี่คืออำนาจของหอเก้าสวรรค์!
ความแข็งแกร่งของยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวนี้มิได้อยู่ในจำนวนศิษย์หรือยอดฝีมือ แต่เป็นความแข็งแกร่งของเจ้าหอ
เพียงหนึ่งบุคคลพยุงขุมกำลังยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวแสนนาน!
“เติ้งจั๋วบอกเจ้าหรือว่าข้าจะมาภูมิดาราวอนสวรรค์?”
ซูอี้ครุ่นคิด
ส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวมีโลกภูมิน้อยใหญ่มากมาย อาณาเขตของมันกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง
และการที่ผู้บวงสรวงสวรรค์หลูอวิ๋นมาดักรอพวกเขาที่นี่ได้ เขาต้องได้รับข่าวมาล่วงหน้า
หาไม่ ต่อให้หอเก้าสวรรค์เป็นนายเหนือภูมิดาราวอนสวรรค์ การจะมารอราวกับทำนายไว้แล้วเช่นนี้คงยังทำมิได้แน่นอน
หลูอวิ๋นหัวเราะพลางกล่าว “ทัศนาจารย์มาเยือนเปรียบดั่งราชันเสด็จประพาส หอเก้าสวรรค์ของเราในฐานะเจ้าบ้านแห่งภูมิดาราวอนสวรรค์ย่อมต้องมารอรับแน่แท้”
นี่กล่าวได้ว่าเป็นการเลี่ยงตอบคำถามอย่างมีชั้นเชิง
ซูอี้คร้านเกินกว่าจะทำมากเรื่อง “บอกทีว่าเหตุใดเจ้าจึงมารอที่นี่?”
เขามายังภูมิดาราวอนสวรรค์หนนี้ หาคิดปกปิดที่อยู่ของเขาไม่ และมิสนใจหากจะเปิดเผยที่อยู่ของตนในขณะนี้
หลูอวิ๋นกล่าวยิ้ม ๆ “ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ทำตามคำสั่งเจ้าหอ อยากวอนใต้เท้าทัศนาจารย์ให้ช่วยเหลือข้าเรื่องหนึ่งขอรับ”
ซูอี้ว่า “ว่ามา”
หลูอวิ๋นกล่าว “เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีโอกาสที่เกี่ยวข้องกับเซียนปรากฏขึ้นในภูมิดาราวอนสวรรค์ และอยู่ในซากโบราณที่มีนามว่า ‘สันเขาอีกา’ ขอรับ”
หลังจากเว้นช่วงเล็กน้อย หลูอวิ๋นก็กล่าวว่า “เจ้าหอสั่งการว่าต้องให้ทัศนาจารย์นำโอกาสนั้นกลับมาขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นอดเหยียดยิ้มเยาะมิได้ “สำนักเจ้านี่ช่างโอหังเสียจริง กล้าใช้ใต้เท้าทัศนาจารย์ราวลูกไล่ บ้าไปแล้วแท้ ๆ!”
หลูอวิ๋นทำเมินเขาไปและทำเพียงมองซูอี้ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าสุภาพสุขุม “ใต้เท้าทัศนาจารย์สามารถใช้การลุล่วงเรื่องนี้เป็นเบี้ยต่อรองกับเจ้าหอของข้าได้ขอรับ”
“ถึงยามนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลกรรมของแม่นางชิงหว่าน หรือจะเป็นการแลกเปลี่ยนความลับอื่นใดจากเจ้าหอของข้า ท่านสามารถกล่าวได้ทั้งสิ้น”
เมื่อซูอี้ได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดหัวเราะมิได้ “ไอ้แก่นี่ คิดจริง ๆ หรือว่าการมีความลับบางอย่างจะทำให้ข้ายอมพินอบพิเทาทำตามคำสั่งเขาได้จริง ๆ?”
หลูอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “ใต้เท้าทัศนาจารย์เข้าใจผิดแล้วขอรับ นี่เป็นการแลกเปลี่ยน หากท่านต้องการบางสิ่ง ก็ต้องมีราคาที่สมน้ำสมเนื้อ นับว่ายุติธรรมขอรับ”
ซูอี้เอนกายอยู่ที่ท้ายเรือ ใช้หนึ่งมือเท้าคาง เอียงคอครุ่นคิด “เกรงว่าหนึ่งเบี้ยต่อรองคงไม่พอกระมัง?”
สีหน้าของหลูอวิ๋นดูชื่นชม ก่อนที่เขาจะทอดถอนใจ “ใต้เท้าทัศนาจารย์มีความคิดอ่านที่ดีจริง ๆ ถูกต้องขอรับ หากต้องการถามมากกว่านั้น ก็ต้องมีเบี้ยมากกว่านั้นจริง ๆ”
“ทว่าโปรดอย่ากังวลไป เมื่อเรื่องนี้จบลง ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้จะบอกใต้เท้าเองว่าจะหาเบี้ยเพิ่มได้อย่างไร”
ไอ้แก่นี่ดูสุภาพ ทว่าที่จริงแล้วแสนโอหัง ถือใต้เท้าทัศนาจารย์เป็นข้ารับใช้!
ซูอี้ลุกขึ้นจากท้ายเรือ สองมือไพล่หลังพลางกล่าว “เจ้าแก่เหยียนเต้าหลินนี่คิดจริง ๆ หรือว่าข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนกับเขา?”
เหยียนเต้าหลิน!
น้อยคนนักบนโลกหล้าจะรู้ว่านี่คือนามจริงของเจ้าหอเก้าสวรรค์
บรรยากาศพลันเคร่งเครียดขึ้นเงียบ ๆ
ทว่าหลูอวิ๋นดูไม่ได้รู้ร้อนหนาว จากนั้นเขาก็กล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าอิ่มเอิบ “โปรดอย่ามีโทสะเลยขอรับ ในเมื่อนี่คือการแลกเปลี่ยน ย่อมมีเหตุผลอยู่ เหมือนเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับซากโบราณ ‘สันเขาอีกา’ นี้ มีความลับที่แม้แต่ใต้เท้าทัศนาจารย์ยังยากปฏิเสธอยู่ด้วยขอรับ”
“โอ้?”
ซูอี้เลิกคิ้ว “ไหนว่ามาซิ”
หลูอวิ๋นส่ายหน้ายิ้ม ๆ “ในเมื่อมันเป็นความลับ ย่อมขึ้นอยู่กับท่านต้องไปค้นหาเอง หากบอกไปก็มิน่าสนใจกันพอดี ใต้เท้าคิดเช่นไร?”
เขาดูไร้ความกลัว ราวกับไม่กังวลว่าซูอี้จะไม่เห็นด้วย
ซูอี้เดินออกมาจากเรือท้องแบน มุ่งหน้าไปหาหลูอวิ๋น
“ใต้เท้าคิดจะทำอันใดหรือ?”
หลูอวิ๋นขมวดคิ้ว กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “หากท่านเริ่มศึกในภูมิดาราวอนสวรรค์ ข้าเกรงว่าการเดินทางครั้งนี้อาจเกิดเรื่องพลิกผันร้ายแรงกว่านี้ ท่าน…”
ฉัวะ!
ซูอี้ยกมือขวาขึ้น
ปราณดาบสายหนึ่งโผล่จากอากาศธาตุเหนือหัวหลูอวิ๋น ก่อนจะฟาดลงมาอย่างดุดัน
ร่างของหลูอวิ๋นคิดหลบเลี่ยง ทว่าพื้นที่รายล้อมเหมือนหยุดนิ่งกับที่ กระทั่งพลังกฎเกณฑ์ซึ่งหลอมร่างของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลพร่างดาวยังชะงักค้าง
ใบหน้าชราวัยของเขาแปรเปลี่ยนกะทันหัน พยายามโคจรการฝึกฝนดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
ตู้ม!
ร่างผอมของเขาระเบิดคลื่นมหาวิถีทำลายล้างออกมา สิบนิ้วประสานงองุ้มดุจถือดวงตะวันทมิฬอันเจิดจรัส ก่อนจะฟาดลงสู่นภาเหนือหัวตนอย่างดุเดือด
เทพมนุษย์โอบตะวัน!
ขณะนี้ การฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดในร่างของหลูอวิ๋นถูกใช้ในการออกท่าสังหารนี้อย่างเต็มที่
ทว่าดวงตะวันทมิฬอันเจิดจรัสกลับถูกฉีกกระชากพร้อมกับเสียงคำรามสะเทือนหล้าทันที
ปราณดาบอันน่าหวาดหวั่นฟาดแหวกอากาศลงมาอย่างดุร้าย
หลูอวิ๋นตะลึงขนลุก และในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเกินรับไหวนี้ เขาฝืนบังคับเคล็ดกฎเกณฑ์ทั่วร่าง หลบเลี่ยงดาบนี้ไปได้อย่างฉิวเฉียด
และจุดที่เขาเคยยืนอยู่แต่เดิมก็ถูกเฉือนเป็นร่องอากาศมหึมา ดุจร่องหล่มจักรวาลพร่างดาวถูกขุดเปิด!
ก่อนที่หลูอวิ๋นจะทันได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ป้าบ!
เขาพลันถูกตบเข้าที่หัว อำนาจคุ้มกายทั้งหลายแทบแหลกลาญ ดวงตาเห็นหมู่ดาวพราวระยับ ทั่วร่างปลิวกระเด็น
หลูอวิ๋นผงะอึ้ง มิอยากเชื่อเสียจนมิอาจสงบใจลง
ต้องทราบว่าเขาเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัด!
หนึ่งในผู้อยู่บนจุดสูงสุดแห่งห้วงลึกจักรวาลพร่างดาว!
ทว่ายามนี้ เมื่อเผชิญกับร่างเวียนวัฏแห่งทัศนาจารย์ เขากลับดูปวกเปียกเกินรับมือไหว!
“ช้าก่อน! ข้ามีวาจา…”
หลูอวิ๋นตะโกน
ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ร่างของซูอี้ก็ออกโจมตี ฟาดหลังมือมาแล้ว
เปรี้ยง!
สมบัติลับคุ้มกายบางส่วนที่หลูอวิ๋นถือติดตัวแหลกมลาย พิรุณแสงโปรยปรายทั่วทิศ
ร่างของเขาถูกอัดเสียจนโลหิตทะลักออกจมูกปาก กรีดร้องโหยหวนและกระเด็นไปเบื้องหลังอีกครั้ง
และซูอี้หาได้หยุดมือไม่ เขาเหยียบย่างไปบนอากาศ หนึ่งเท้าเหยียบลงบนตัวหลูอวิ๋น
เปรี้ยง!
ร่างวิถีของหลูอวิ๋นแหลกสลาย ทั้งกายและจิตวิญญาณระเบิดสิ้นสูญในทันที
ถูกเหยียบตาย!
ตรงไปตรงมา
เมิ่งฉางอวิ๋นบนเรือท้องแบนซึ่งอยู่ห่างออกไปได้เห็นเรื่องทั้งหมดและผงะอึ้ง หนึ่งผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ถูกเหยียบตายเสียแบบนี้น่ะหรือ?
“น่าเสียดายที่เป็นเพียงร่างอวตาร”
ซูอี้เดินกลับมาพร้อมส่ายหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย
เมิ่งฉางอวิ๋นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ร่างอวตารวิถีของราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเองก็มีพลังในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นกัน ซึ่งเพียงพอจะสังหารตัวตนใด ๆ ซึ่งมีขอบเขตต่ำกว่า!
ทว่ายามนี้ ตัวตนเช่นนั้นกลับถูกใต้เท้าทัศนาจารย์ฆ่าลงอย่างง่ายดาย จึงทำให้เมิ่งฉางอวิ๋นรู้สึกตะลึงยิ่งนัก
เพราะถึงอย่างไร นับแต่ออกจากภูมิดาราฟ้าดินจนข้ามจักรวาลพร่างดาว คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งพบระหว่างทางก็มีฐานการฝึกฝนแค่ขอบเขตคืนสู่สามัญเท่านั้น
และยามนี้ เมื่อเห็นร่างอวตารวิถีของตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดหาใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ไม่ เมิ่งฉางอวิ๋นย่อมตะลึงอึ้งเหม่อลอย
“นั่นสินะ ลำพังใต้เท้าคนเดียวก็บุกล้างสำนักเต๋าสูงสุดทวิภูมิเสียจนต้องยอมสละทรัพย์เลี่ยงหายนะ และยามนี้เขาก็แค่รับมือร่างอวตารวิถีราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดคนเดียว ดูเหมือน… จะมิควรค่าให้พูดมากเลย…”
เมิ่งฉางอวิ๋นคิดอย่างเคร่งขรึม
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้นั่งลงที่ท้ายเรืออย่างเฉื่อยชาอีกครั้ง
“คุณชาย เราจะไปสันเขาอีกาหรือหอเก้าสวรรค์ดีขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นถามอย่างระมัดระวัง
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เชื่อหรือไม่ ขอเพียงข้าตกลงเงื่อนไขของพวกเขาและแลกเปลี่ยนเบี้ยตามใจพวกเขา ข้าจะถูกมองว่าขาดความมั่นใจ ต่อให้ได้โอกาสใด ๆ มาจากสันเขาอีกา ข้าก็ย่อมมีแต่ถูกพวกเขากดขี่มากขึ้นในภายหน้า”
เมิ่งฉางอวิ๋นตกตะลึงในใจ “คุณชายกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง”
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าต่อหน้าเสือไร้หลุมหล่ม ต่อหน้าพลังอำนาจไร้อุปสรรคใด ๆ”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “แม้วาจานี้จะหยาบกระด้างไปหน่อย แต่คำอธิบายและความเป็นมาของมันก็เหมาะสม”
เมิ่งฉางอวิ๋นพลันฉีกยิ้ม “คุณชายกล่าวได้ถูกต้อง ผู้ฝึกตนเช่นเราควรมีหัวใจกล้าหาญตรงไปตรงมา สังหารอย่างเด็ดเดี่ยวขอรับ”
ทันใดนั้น เขาก็กล่าวอย่างลังเล “คุณชาย จากสถานการณ์ เห็นได้ชัดว่าหอเก้าสวรรค์มีไพ่ตายมาใช้กับท่านมากมาย และจากวาจาของหลูอวิ๋นผู้นั้น การไปยังสันเขาอีกามีความลับอื่นซุกซ่อน ท่าน… จะไม่สนใจมันจริง ๆ หรือขอรับ?”
ซูอี้แย้มยิ้ม ก่อนกล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่ต้องห่วง หากข้าคิดไม่ผิด ภายหลังจะมีผู้อื่นมาอีกแน่ และยามนั้นก็ต้องทำตามกฎของข้า!”
กล่าวจบ เขาก็เอนกายเอกเขนกที่ท้ายเรือ ซบหน้าลงกับแขน “ในภูมิดาราวอนสวรรค์นี้ หอเก้าสวรรค์เป็นที่เคารพสูงสุด แต่ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องทำเรื่องตามหัวใจสั่ง”
“เหยียนเต้าหลิน เจ้าแก่นี่หาโง่ไม่ ในเมื่อเขาเชิญหน้ามาพบ เขาย่อมรู้เรื่องนี้อยู่บ้างแน่”
เมิ่งฉางอวิ๋นกล่าวทันทีอย่างชื่นชม “คุณชายช่างสมกับเป็นน้ำนิ่งไหลลึก เข้าใจสถานการณ์อย่างถ่องแท้ยิ่งขอรับ ตาเฒ่าผู้น้อยยังมิอาจเทียบได้”
ซูอี้ด่าพร้อมกับยิ้มบาง ๆ “หยุดประจบแล้วรีบไปได้แล้ว”
เรือท้องแบนพาทั้งสองตรงไปสู่ภูมิดาราวอนสวรรค์
นับแต่ยามที่เขาอยู่ในภูมิดาราฟ้าดิน หอเก้าสวรรค์ได้ยืมมือผู้คุมรัตติกาลจากภูมิมืดมิดบอกซูอี้เรื่องหนึ่ง ว่าเจ้าหอเก้าสวรรค์ขอให้ซูอี้มาพบยังภูมิดาราวอนสวรรค์ภายในหนึ่งปี!
ยามนั้น ซูอี้คาดว่าอาจมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้าหอเก้าสวรรค์เหยียนเต้าหลิน เขาจึงอดทนต่อไปมิได้
หาไม่ คงไม่มีทางที่เขาจะออกคำขอพบภายในเวลาเพียงปีเดียวแน่แท้
เพราะเช่นนี้ ซูอี้จึงหารีบร้อนไม่
และการปรากฏตัวของหลูอวิ๋นเมื่อครู่ก็ยืนยันการคาดเดาของซูอี้
เพื่อพบเขา เห็นได้ชัดว่าเจ้าแก่นี่วางแผนมาเนิ่นนาน เตรียมการสารพัดรอไว้แล้ว!