บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1273: เว่ยซาน สันเขาอีกา และโอกาส
ตอนที่ 1273: เว่ยซาน สันเขาอีกา และโอกาส
หมู่เมฆาเคลื่อนสูง หมอกมงคลคล้อยเชื่องช้า
บนขุนเขาโบราณอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
หลูอวิ๋นซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยน
“เป็นเช่นไร?”
ไม่ห่างไปนักมีชายในอาภรณ์หยกร่างผอมยืนอยู่ สีหน้าอบอุ่น นัยน์ตาลึกล้ำดุจหุบเหว
เขาคือเจ้าหอเก้าสวรรค์ เหยียนเต้าหลิน!
“เป็นไปตามคาด ใต้เท้าทัศนาจารย์หาตอบรับข้อเสนอของเราไม่ เขาลงมือสังหารร่างอวตารของข้าน้อยแล้วขอรับ”
หลูอวิ๋นยืนขึ้นถอนใจ
“นี่ยังเป็นการยืนยันเบื้องต้นได้ด้วย ว่าเมื่อปีก่อนเขายังเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิ ทว่ายามนี้กลับมีอำนาจพอต่อกรกับราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้แล้ว…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ ดวงตาของเหยียนเต้าหลินก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
เมื่อปีก่อน เขายังคงแสวงหนทางอยู่บนวิถีลึกล้ำ ทว่าปีต่อมา เขากลับเป็นภัยต่อตัวตนสูงสุดในวิถีสู่สวรรค์ได้!
การฝึกฝนเคล็ดเวียนวัฏช่างมิน่าเชื่อจริง ๆ!
สีหน้าของหลูอวิ๋นมืดทะมึน “เฒ่าจมูกโคเติ้งจั๋วมิได้บอกเราเลยว่าทัศนาจารย์ยามนี้แข็งแกร่งขึ้นเพียงไร”
เหยียนเต้าหลินกล่าวยิ้ม ๆ “อย่าห่วงเรื่องนี้เลย ต่อไปก็ส่งอาจิ่วไปพบทัศนาจารย์เถอะ”
ว่าพลางหันหลังก้าวเดินไปไกล “ข้าแน่ใจว่าเรื่องสนุกเกี่ยวกับสันเขาอีกานี้ต้องน่าตื่นเต้นมากแน่ ๆ”
พิรุณแสงโปรยปรายในสุญญะ แล้วร่างของเหยียนเต้าหลินก็หายไปเงียบ ๆ
หลูอวิ๋นสูดหายใจลึก ๆ นำยันต์ลับออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วสลักข้อความลงไปหนึ่งบรรทัด
‘อาจิ่ว ตาเจ้าแล้ว’
เป๊าะ!
……
“คุณชาย มีคนอื่นมาตามท่านคาดเลยขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นบนเรือท้องแบนกล่าวขึ้นด้วยเสียงลุ่มลึก
ไกลออกไปในจักรวาลพร่างดาว ม่านหมอกบิดวน และร่างอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ
นางสวมชุดกระโปรงเรียบง่ายสีดำเยี่ยงหมึก เรือนผมยาวสีดำถูกรวบขึ้นสูงอย่างลวก ๆ ผิวขาวเยี่ยงหิมะ เปล่งประกาย
ริมฝีปากของนางแดงดุจเปลวเพลิง นัยน์ตาพร่างพราวดุจผิวน้ำ ใบหน้าจิ้มลิ้มบริสุทธิ์ สีหน้าทรงเสน่ห์เยี่ยงนางมารร้าย
ทว่าแววตาของนางกลับนิ่งเฉยเย็นชา
นี่คือยมบาลผู้เป็นที่หวาดกลัวของตัวตนนับล้านในภูมิมืดมิดนับแต่บรรพกาล!
ซูอี้ลุกขึ้นอย่างไร้เสียงแต่ยามใดมิอาจทราบ
“สหายเต๋า ข้าควรยอยศว่าใต้เท้าทัศนาจารย์ หรือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินดี?”
ไกลออกไป นัยน์ตาคู่งามของยมบาลดูซับซ้อน น้ำเสียงมีเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัวต่ำลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังกังวล
“เจ้าเรียกเช่นไรก็ไม่ต่างกันหรอก”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าแก่นั่นส่งเจ้ามาหรือ?”
ยมบาลพยักหน้า กล่าวด้วยแววตาเจือความคาดหวังคำตอบเล็กน้อย “เจ้าหอบอกว่ามีเพียงเจ้าที่ช่วยพ่อข้าได้”
ซูอี้กล่าวอย่างประหลาดใจ “พ่อของเจ้า?”
ยมบาลกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “ยามข้ายังเด็ก พ่อข้าส่งข้ามาฝึกฝนที่หอเก้าสวรรค์ และแต่นั้นมา ข้าก็มิได้พบท่านอีก…”
“พอโตขึ้น ข้าก็นึกย้อนถึงประสบการณ์ในวัยเยาว์ซ้ำ ๆ และสงสัยว่าพ่อข้าจะถูกหอเก้าสวรรค์ข่มขู่เสียจนต้องส่งข้ามาเป็นตัวประกัน”
“เพราะเหตุนี้ ข้าจึงมีความขุ่นข้องต่อหอเก้าสวรรค์ คิดอยากล้างแค้นและตามหาพ่อข้าไม่รู้กี่หน…”
กล่าวถึงจุดนี้ ยมบาลก็ถอนใจเบาๆ “ทว่าหลังถูกพากลับสำนักหนนี้ ข้าก็รู้ว่ามีเรื่องอื่นซ่อนอยู่อีก”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “มีเรื่องอื่นซ่อนอยู่?”
สายตาแพรวพราวของนางจ้องมองมายังซูอี้ “เจ้าหอบอกว่าเมื่อเจ้าได้เห็นพ่อข้า เจ้าจะรู้คำตอบเอง ข้าเองก็อยากพบพ่อ จึงมีทางเดียวเท่านั้น นั่นคือต้องเชิญ… ทัศนาจารย์ให้ลงมือ”
ซูอี้อดขมวดคิ้วของเขามิได้ กล่าวเสียงเบา “ข้ามิคาดเลยว่าไอ้แก่นั่นจะใช้เจ้ามาหลอกใช้ข้า”
ยมบาลรีบร้อนกล่าว “เจ้าหอบอกว่านี่หาใช่การหลอกใช้ แต่… เป็นสิ่งที่ทัศนาจารย์ติดค้างพ่อข้า”
ซูอี้หรี่ตาลง และถามว่า “พ่อเจ้าคือผู้ใด?”
“เว่ยซาน”
ยมบาลกล่าวเบา ๆ
เว่ยซาน!
เป็นชื่อโหล ๆ หาได้ทั่วไป
ทว่ากลับเป็นดั่งอสนีบาตฟาดเข้าที่หัวใจของซูอี้ สร้างคลื่นมหาศาล
ซูอี้ตะลึงงัน ดวงตาเลื่อนลอย
เว่ยซาน
บุตรบุญธรรมที่เฒ่าขาเดี้ยงเว่ยรับเลี้ยง
เพื่อนเล่นยามเยาว์วัยของทัศนาจารย์ผู้เป็นเช่นพี่น้อง!
เขายังคงจำได้ถึงสมัยเก่าก่อน ทั้งสองเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมจิตวิญญาณ อุทิศตนช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ สาบานร่วมเป็นร่วมตายต่อกันอย่างหนักแน่น
ภายในอดีตผุดขึ้นจากก้นสมุทรความทรงจำ ไหลบ่าเข้ามาในใจของซูอี้จนปั่นป่วนไปหมด
เนิ่นนานจากนั้น
ซูอี้กล่าวกับยมบาล “พ่อเจ้าอยู่ในสันเขาอีกาหรือ?”
ยมบาลพยักหน้า “เมื่อเก้าปีก่อน พ่อข้าเข้าไปในสันเขาอีกาเพื่อชิงโอกาสแห่งเซียนในนั้น ทว่าโชคร้ายต้องติดอยู่ภายใน”
ซูอี้กล่าว “ข้าจะไปนำเขากลับมา!”
วาจานั้นเยือกเย็นไร้กังขา
ยมบาลตะลึงในใจ ใบหน้างดงามดุจหยกแสดงความตื่นเต้น “เจ้า… รับปากจริง ๆ นะ?”
ซูอี้พยักหน้า หัวใจสับสนคลุมเครือ
เขาไม่คาดเลยว่ายมบาลที่เขาพบในเมืองมรณะแห่งภูมิมืดมิดจะเป็นบุตรีของเว่ยซาน!
บังเอิญหรือ?
ไม่มีทาง!
เกรงว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการร้อยเรียงของเจ้าหอเก้าสวรรค์ เหยียนเต้าหลินทั้งสิ้น!
“ใต้เท้าทัศนาจารย์ นี่คือแผนที่ลับสันเขาอีกาที่เจ้าหอให้ข้ามา โปรดเก็บไว้เถิด”
ยมบาลนำแผ่นหยกสีทองชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้ซูอี้
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนละเอียดอ่อน จริงเช่นความคิด เหยียนเจ้าหลินคาดการณ์ไว้แล้วว่าเขาจะมิปฏิเสธคำขอไปยังสันเขาอีกา
เขารับแผ่นหยกมาและเอ่ยถาม “เหยียนเต้าหลินยังพูดอันใดอีก?”
ยมบาลกล่าว “เจ้าหอบอกว่ามีความลับอื่นซุกซ่อนอยู่ เมื่อใต้เท้าทัศนาจารย์พบพ่อข้า ความลับนั้นจะเปิดเผยออกมาเอง นอกจากนั้น เจ้าหอยังพูดด้วยว่าความแค้นระหว่างเขาและใต้เท้าทัศนาจารย์จะมินำผู้อื่นมาพัวพัน ดังนั้นขอให้วางใจได้”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบ “ก็ได้ เจ้ากลับไปบอกเหยียนเต้าหลินทีว่าในเมื่อข้ามาหนนี้ ข้าจะคิดบัญชีกับเขาให้เสร็จสิ้น หากยังกล้าหนี จากนี้ไป ภูมิดาราวอนสวรรค์จะไม่มีหอเก้าสวรรค์อีก”
กล่าวเช่นนี้จบ เขากับเมิ่งฉางอวิ๋นก็สั่งการเรือท้องแบนให้ทะยานผ่านเวหาไป
หัวใจของยมบาลตะลึง แววตาแปรเปลี่ยน
“เดิมข้าคิดว่าเจ้าคือร่างเวียนวัฏของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ใครเล่าจะคิดว่าเจ้ายังเป็นร่างเวียนวัฏของทัศนาจารย์อีก…”
ยมบาลพึมพำในใจ “เป็นผู้มีวาสนาจริงแท้”
ทว่า ไฉนเจ้าหอจึงแน่ใจนักเล่าว่าทัศนาจารย์จะช่วยพ่อข้า?
หรือทัศนาจารย์กับพ่อจะเป็นคนรู้จักเก่าแก่?
สีหน้าของยมบาลปรากฏความสับสนเล็กน้อย
นางยังมิเข้าใจจริง ๆ
นางรู้สึกเพียงว่า นับแต่จากภูมิมืดมิดกลับสำนัก ทุกสิ่งก็เปลี่ยนแปรราวกับนางฝันไป
เนิ่นนานต่อมา ยมบาลก็ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านและเดินทางกลับสำนัก
นางจะถ่ายทอดวาจาของทัศนาจารย์ต่อเจ้าหอคำต่อคำ
……
“คุณชาย ตาเฒ่าผู้น้อยมิคาดจริง ๆ ขอรับว่าหอเก้าสวรรค์จะกระทำการน่ารังเกียจเพียงนี้! ท่าน…ขอท่านโปรดสงบใจไว้นะขอรับ”
ระหว่างทาง เมิ่งฉางอวิ๋นสังเกตเห็นว่าสภาพจิตใจของซูอี้ผิดปกติ จึงอดออกเสียงอย่างโกรธ ๆ มิได้
“ข้าเพิ่งลิงโลดได้ไม่เท่าไหร่ ไฉนจึงต้องโกรธ?”
ซูอี้นำไหสุราขึ้นกระดกดื่มอย่างสุขใจ
เว่ยซานยังมีชีวิตอยู่!
แม้เขาจะรู้ว่าการไปยังสันเขาอีกาหนนี้คงมิแคล้วตกลงสู่แผนของเหยียนเต้าหลิน แต่ซูอี้หาสนใจเรื่องนี้ไม่
ตราบใดที่มิสนใจก็คือมิสนใจ
ทว่าขอเพียงสนใจจะทำ เขาย่อมไม่อาจกระทำการอื่นใดได้
ซูอี้แน่ใจว่าเหยียนเต้าหลินมิกล้ามาหลอกเขาเรื่องนี้แน่นอน หาไม่การหลอกใช้ของเขาจะมีแต่พัง สิ่งที่ได้มิคุ้มเสีย
“ลิงโลดหรือขอรับ?”
เมิ่งฉางอวิ๋นผงะ อดงุนงงมิได้
ซูอี้หาอธิบายต่อไม่
เขานั่งขัดสมาธิที่ท้ายเรือ นำแผ่นหยกสีทองออกมามองอย่างจริงจัง
สันเขาอีกาคือซากโบราณซึ่งถูกทิ้งร้าง ลือกันว่าเมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยเป็นสนามรบเก่าแก่โบราณ ทั้งยังเคยเป็นจุดประมือระหว่างเทพและมาร
แน่นอน เรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเท็จ
ทว่า เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่เบื้องลึกแห่งสันเขาอีกาอย่างมหันต์!
เกิดเมฆาดำทะมึนเยี่ยงรัตติกาลนิรันดร์ปกคลุมรอบสันเขาอีกาอยู่เนิ่นนาน
มีอสนีบาตสายยาวดุจธารโลหิตร่วงโรยพรั่งพรูจากส่วนลึกของเมฆทมิฬหายนะไร้สิ้นสุด
และนาน ๆ ครั้งจะเกิดแสงเซียนเจิดจ้าสาดส่องออกมาจากในส่วนลึกของสันเขาอีกา ทะยานขึ้นดุจรุ้งทิพย์
มีกระทั่งเสียงเป่าแตรเขาสัตว์ เสียงโห่ร้องโรมรันของเหล่าเทพเซียนกึกก้องสะท้อนทั่วฟ้าดิน
อาเพศนิมิตยิ่งใหญ่ทั้งหลายนี้ดึงความสนใจของขุมกำลังผู้ฝึกตนทั้งหลายในภูมิดาราวอนสวรรค์
ทว่าเนื่องด้วยกำลังของหอเก้าสวรรค์ปิดกั้นสันเขาอีกาอยู่ ข่าวทั้งหมดเกี่ยวกับมันจึงกลายเป็นความลับอันยากหาผู้ล่วงรู้ในโลกหล้า
และความลับเหล่านี้ล้วนถูกสลักอยู่บนแผ่นหยกสีทอง!
เป็นเช่นหลูอวิ๋นกล่าว ณ ยามแรก มีโอกาสเกี่ยวข้องกับเซียนอยู่ในส่วนลึกแห่งสันเขาอีกาจริง ๆ
ที่แห่งนี้ปกคลุมด้วยอำนาจผนึกอันร้ายกาจ แสงเซียนหลั่งไหล เพลิงมารปะทุคลั่ง สารพัดอาเพศประหลาดก่อเกิด
หากบุกเข้าไป มีแต่ตายกับตาย
กำลังของหอเก้าสวรรค์หวั่นไหวน้ำลายหก ทว่ากระทั่งราชันแห่งภูมิระดับสูงสุด หากประมาทก็ยังต้องถูกจองจำในนั้น
เมื่อเก้าปีก่อน เว่ยซานเข้าไปในสันเขาอีกา และมิได้กลับมาอีกเลย
เนิ่นนานจากนั้น ซูอี้ก็เก็บแผ่นหยกสีทองไป
“มีลางเซียนเกิดขึ้นเป็นชุดเช่นนี้ ทว่าเหยียนเต้าหลินกลับมิไปสำรวจมันเอง เพราะเหตุใดกัน? หรือเพราะไอ้แก่นั่นมีความคิดอื่น?”
ซูอี้ครุ่นคิด
สามวันต่อมา
ณ โลกหล้าอันไร้ชีวิตชีวา แทบรกร้างว่างเปล่า
นี่คือที่ตั้งสันเขาอีกา
หลังซูอี้และเมิ่งฉางอวิ๋นมาถึง เรือท้องแบนก็พาทั้งสองไปยังสันเขาอีกาตามแผนที่บนแผ่นหยกสีทอง
เปรี้ยง!
อสนีบาตพลุ่งพล่าน ฟ้าดินมืดสลัว
สันเขาอีกาทอดตัวยาวสุดลูกหูลูกตา
เหนือสันเขานี้มีเมฆาดำสนิททอดยาวเยี่ยงรัตติกาลนิรันดร์ปกคลุมท้องนภา และสายฟ้าสีแดงฉานดุจโลหิตแล่นวูบวาบ สร้างความปั่นป่วนเป็นวงไพศาล
แม้จะอยู่ห่างไกล แต่กลับให้ความรู้สึกกดดันหดหู่
หัวใจของเมิ่งฉางอวิ๋นเต้นกระตุก สีหน้าเคร่งขรึม “คุณชาย ตาเฒ่าผู้น้อยรู้สึกว่าที่นี่ชั่วร้ายยิ่งกว่าแดนหวงห้ามสิ้นเซียนอีกนะขอรับ…”
“แปลก”
ซูอี้หรี่ตา
บริเวณที่ตั้งสันเขาอีกานั้นปกคลุมด้วยอำนาจทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่น ประหลาดเกินคาดเดา
ด้วยประสบการณ์และทัศนวิสัยของซูอี้ เขาอดตระหนักมิได้ว่าคงได้พบพานอันตรายอันมิได้คาดมาก่อน
ทันใดนั้น เสียงเสสรวลนุ่มนวลก็ดังมาจากไกล ๆ
“ตาเฒ่าไร้ค่าหลูอวิ๋นรอท่านที่นี่นานแล้วขอรับ”
ชายชราผมขาวในอาภรณ์ผ้าปรากฏตัวขึ้นจากไกล ๆ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เมิ่งฉางอวิ๋นชะงักค้างด้วยสีหน้าพิกล เมื่อสามวันก่อน ใต้เท้าทัศนาจารย์เหยียบลงบนร่างอวตารของไอ้แก่นี่จนแหลกเหลว
ทว่ายามนี้ เจ้าแก่นี่ก็โผล่มาอีกแล้ว!
………………..