บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1274: คำสาปอีกาสีเลือด
ตอนที่ 1274: คำสาปอีกาสีเลือด
เมิ่งฉางอวิ๋นจงใจเหยียบลงบนหินก้อนหนึ่ง
เปรี๊ยะ!
เสียงศิลาปริแตกทำให้เปลือกตาของหลูอวิ๋นกระตุก ใบหน้าเกร็งเล็กน้อยอย่างมิอาจมองเห็นได้
มิต้องสงสัยเลยว่าเขานึกถึงร่างอวตารของตนที่ถูกซูอี้เหยียบย่ำ
เมิ่งฉางอวิ๋นยิ้มขำ
หลูอวิ๋นหันไปกล่าวกับซูอี้ “ใต้เท้าทัศนาจารย์ ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ได้รับคำสั่งให้ส่งข้อมูลบางอย่างให้ท่าน”
ซูอี้มองสันเขาอีกาตรงหน้าเขาพลางกล่าวอย่างมิใคร่ใส่ใจ “ว่ามา”
หลูอวิ๋นว่า “เมื่อสามวันก่อนมียอดฝีมือจากขุมกำลังต่าง ๆ เข้าไปในสันเขาอีกาแล้ว และเป้าหมายของพวกเขาคือชิงโอกาสนั้นขอรับ”
ซูอี้ถามอย่างงุนงง “ภูมิดาราวอนสวรรค์เป็นถิ่นของหอเก้าสวรรค์ แต่พวกเจ้ายินยอมให้ขุมกำลังอื่นมาฉกฉวยโอกาสไปหรือ? หรือหอเก้าสวรรค์ของพวกเจ้าจะคิดรอกระต่ายออกจากโพรงกันเล่า?”
หลูอวิ๋นส่ายหน้ารำพึง “ไม่เชิงขอรับ อย่างน้อยก็มีสามขุมกำลังในครานี้ที่หอเก้าสวรรค์มิอยากล่วงเกิน”
โดยมิรีรอให้ซูอี้ถาม เขาไล่รายชื่อออกมาอย่างสุขุม
ขุมกำลังผู้ฝึกตนทั้งสามนั้นประกอบด้วยตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม ลัทธิทางช้างเผือกและตระกูลอวี่โบราณ
ในหมู่พวกเขา ตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามแข็งแกร่งที่สุด และเป็นหนึ่งในหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี มีมรดกโบราณเสียจนกระทั่งยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาวบางพวกยังเทียบมิได้
ลัทธิทางช้างเผือกเป็นยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว มิจำเป็นต้องอธิบายมาก
และตระกูลอวี่โบราณก็มิธรรมดาเช่นกัน นี่คือหนึ่งในแปดตระกูลราชันแห่งภูมิในจักรวาลพร่างดาว มีรากฐานแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ขุมกำลังใหญ่ทั้งสามต่างส่งราชันแห่งภูมิมากลุ่มหนึ่ง พวกเขาล้วนเตรียมตัวมาดี มีสารพัดสมบัติลับและไพ่ตายพร้อมสรรพ
นอกจากขุมกำลังใหญ่ทั้งสามนี้ ยังมีขุมกำลังอื่น ๆ ที่มีบทบาทไม่ธรรมดาอยู่ด้วย
และจากวาจาของหลูอวิ๋น ผู้อาวุโสบางผู้ซึ่งหายตัวไปแสนนานล้วนปรากฏตัวตาม ๆ กันมายังสันเขาอีกา
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราหอเก้าสวรรค์มีหรือจะใช้อุบายได้ หากทำเช่นนี้เราก็มีแต่จะสร้างเรื่องยุ่ง ได้มิคุ้มเสียเสียเปล่า”
หลูอวิ๋นว่า
เมื่อรู้เช่นนี้ ซูอี้ก็อดประหลาดใจมิได้
หกตระกูลโบราณอารักษ์วิถีแต่ละแห่งในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวล้วนแต่มีพื้นหลังที่มาเกินคาดหยั่ง และยอดฝีมือของตระกูลเหล่านั้นก็ยากจะหาพบได้ในโลกหล้า
เหมือนเช่นตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม รากเหง้าของพวกเขาสามารถสืบได้จนถึงยามแรกเริ่มบรรพกาล กล่าวได้ว่าเป็นเผ่าภูตปฐมสวรรค์ในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาว!
นอกจากนั้น ตระกูลอวี่โบราณก็หาธรรมดาไม่ พวกเขามักเรียกตนเองว่า ‘ตระกูลฝึกเซียน’ และลือกันว่าบรรพชนของพวกเขาเคยมีเซียนที่แท้จริงมาก่อน!
ส่วนลัทธิทางช้างเผือกก็ยังเป็นยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาลพร่างดาว ณ ปัจจุบัน
และยามนี้ ขุมกำลังมโหฬารเหล่านี้กลับมุ่งตรงมายังสันเขาอีกา ใครเล่าจะมิรู้สึกผิดปกติ?
ซูอี้กล่าว “โอกาสแห่งเซียนในสันเขาอีกานี้พิเศษหรือ?”
“มันมิพิเศษหรอกขอรับ แต่ต้องหายากแน่”
หลูอวิ๋นดูให้ความร่วมมือดีมาก และตอบกลับอย่างใจเย็น “ช่วงกาลผ่านมานี้ อนุสรณ์บางอย่างอันเกี่ยวข้องกับเซียนปรากฏขึ้นในส่วนลึกแห่งจักรวาลพร่างดาวมากมาย แต่มีเพียงหกที่ซึ่งดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดขอรับ”
“ในหมู่พวกมัน เขตหวงห้ามเซียนละล่องอันตรายร้ายแรงที่สุด และดึงความสนใจไปมากที่สุด”
“แม้ว่าซากโบราณสันเขาอีกาจะมิได้อันตรายร้ายแรงเช่นเขตหวงห้ามเซียนละล่อง แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในหกอนุสรณ์เลื่องชื่อเกี่ยวกับเทพเซียนขอรับ”
หลังเว้นช่วงเล็กน้อย หลูอวิ๋นก็กล่าวต่อ “เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีขุมกำลังผู้ฝึกตนมากมายที่มาแจ้งความจำนงกับหอเก้าสวรรค์ ต้องการมาสำรวจโอกาสในสันเขาอีกานี้หลายต่อหลายหน แต่ก็ถูกสำนักข้าขวางไว้”
“กล่าวตามตรง สำนักข้าเองก็ถูกกดดันอย่างมากเช่นกันขอรับ เพราะถึงอย่างไร โอกาสแห่งเซียนในสันเขาอีกานี้ก็ถูกขุมกำลังสูงสุดหลายแห่งหมายตา และไม่มีผู้ใดยอมให้หอเก้าสวรรค์ของข้ายึดครองไว้ลำพัง”
ได้ยินเช่นนี้ หลูอวิ๋นก็กล่าวด้วยสีหน้าพิกล
“โชคดีที่ใต้เท้าทัศนาจารย์มาพอดี เรื่องทั้งหมดนี้จึงอาจไม่ใช่ปัญหาขอรับ”
เมิ่งฉางอวิ๋นอดแค่นเสียงอย่างเย็นชามิได้ นี่ฟังดูเหมือนคำชม ทว่าเมื่อคิดดี ๆ และรู้ว่าการที่ทัศนาจารย์ต้องมาที่นี่นั้นเป็นการถูกมัดมือชกหลอกใช้โดยหอเก้าสวรรค์ หัวใจของเขาก็กรุ่นโกรธ
นี่ต่างอันใดกับการถูกยืมมือสังหาร?
“มิน่าเล่า ไอ้แก่นี่จึงเร่งข้าให้มาในหนึ่งปี ที่แท้… ก็ทนแรงกดดันมิได้นี่เอง…”
ซูอี้กล่าวแดกดัน
หลูอวิ๋นเงียบไป
ต่อให้ทัศนาจารย์ก่นด่าบรรพชนสิบแปดชั่วโคตรต่อหน้าเขา เขาก็ทำได้เพียงอดทน
“ทว่า ไฉนเหยียนเต้าหลินจึงมิมาเองเล่า?”
ซูอี้ถาม
หลูอวิ๋นกล่าวเสียงต่ำ “เรื่องนี้มิใช่เพราะตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้จงใจพูดให้ค้างคาจริงๆ นะขอรับ แต่เจ้าหอมิเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ หากใต้เท้าทัศนาจารย์ต้องการทราบ ท่านสามารถถามจากเขายามพบกันในภายหลังได้เลยขอรับ”
ผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ผู้นี้มีการวางตัวแตกต่างจากยามแรกพบ
มิต้องสงสัยเลยว่าการถูกซูอี้เหยียบย่ำใต้เท้าทำให้เขาต้องสำรวมกายพินิจวาจา มิกล้ากระทำตัวจองหอง
ซูอี้เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้ารู้สถานการณ์ยามนี้ของเว่ยซานหรือไม่?”
หลูอวิ๋นรีบร้อนกล่าว “ใต้เท้าทัศนาจารย์โปรดวางใจ ยามสหายเต๋าเว่ยซานมายังภูมิดาราวอนสวรรค์เมื่อเก้าปีก่อน เขาก็มีการฝึกฝนในขั้นกลางขอบเขตไร้ขีดจำกัดแล้ว และยังทิ้งโคมชะตาวิญญาณไว้ก่อนเดินทางสู่สันเขาอีกาด้วยขอรับ”
“โคมชะตาวิญญาณยังมิดับแสง เพียงพอให้เห็นว่าแม้สหายเต๋าเว่ยซานจะติดอยู่ในสันเขาอีกา เขาก็ยังมิได้ดับสิ้นไปขอรับ”
ซูอี้ลอบถอนหายใจโล่งอกในใจ
“เฒ่าเมิ่ง เจ้ารออยู่ที่นี่กับเขานะ”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“เอ๊?”
เมิ่งฉางอวิ๋นตะลึง
“อย่าห่วงเลย ความแค้นระหว่างข้าและเหยียนเต้าหลินจะมิส่งผลใด ๆ ต่อเจ้า”
ซูอี้ตบบ่าเขา “ในทางกลับกัน หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า ข้ารับประกันว่าหอเก้าสวรรค์ทนรับผลกระทบมิได้แน่”
เมิ่งฉางอวิ๋นรีบรับปาก “ข้าฟังวาจาคุณชายขอรับ!”
ที่ด้านข้าง หลูอวิ๋นดูมีสีหน้าซับซ้อน
ทัศนาจารย์ต้องมีความกล้าเพียงไร จึงทิ้งบุคคลใกล้ชิดไว้ในดูแลของหอเก้าสวรรค์?
บ้าชัด ๆ!
มิห่วงหรือว่าคนใกล้ชิดจะถูกจับเป็นตัวประกัน?
“เจ้ากล้าให้เกิดสิ่งใดขึ้นกับเขาหรือ?”
ซูอี้มองหลูอวิ๋นอย่างเย็นชา
หลูอวิ๋นสูดหายใจเฮือก รีบส่ายหน้ากล่าว “ใต้เท้าทัศนาจารย์โปรดวางใจ เจ้าหอของข้าเองก็กล่าวว่าความแค้นระหว่างท่านกับเขาจะมินำผู้อื่นมาพัวพัน และในภูมิดาราวอนสวรรค์นี้ ตาเฒ่าผู้น้อยรับประกันว่าจะมิให้สหายเต๋าผู้นี้ประสบเหตุใดขอรับ”
ซุอี้ทะยานสู่สันเขาอีกาโดยลำพัง มิรีรออีกต่อไป
ก่อนจาก หลูอวิ๋นนำชิ้นหยกดำส่งให้ซูอี้ขึ้นหนึ่ง บอกว่าเป็นสิ่งที่เว่ยซานทิ้งไว้
ด้วยสิ่งนี้ เขาอาจใช้ตรวจหาปราณของเว่ยซานได้
……
เปรี้ยง!
ทันทีที่เขาเข้ามาในสันเขาอีกา เสียงอสนีบาตคลั่งก็เคลื่อนสนั่นลั่นฟ้าดิน สุดสายตามืดมนราวกับเข้าสู่โลกหล้าอันปกคลุมด้วยราตรีตลอดกาลในทันที
ปราณทำลายล้างอันน่าหดหู่ทำให้ซูอี้ครั่นคร้าม
เขานำเถาวัลย์มารดาฟ้าดินออกมา โคจรวิถีเต๋าของเขาส่งพลังเร้นลับต้องห้ามคลุมร่างอย่างเงียบ ๆ
เคล็ดพลังเร้นลับต้องห้ามสามารถผนึกสุญญะในบริเวณใกล้เคียง หยุดพลังกฎสวรรค์มหาวิถีได้
เมื่อทำเช่นนี้ หากมีการจู่โจมทีเผลอใด ๆ ก็ยังสามารถถ่วงการเคลื่อนไหวของศัตรูให้เชื่องช้าลงได้
จากนั้น ซูอี้ก็ก้าวเท้าเดินเข้าสู่ส่วนลึกของสันเขาอีกา
ทั่วทิศเงียบสงัดกดดัน เสียงอสนีบาตดุร้ายกัมปนาทขึ้นนานๆ ครั้ง สะเทือนทั่วขุนเขาปฐพี สุญญะเบี้ยวบิด
เพียงอำนาจทำลายล้างซึ่งกระจายออกมาในฟ้าดินก็เพียงพอทำให้ราชันแห่งภูมิส่วนใหญ่ในโลกหล้าสะพรึงกลัวได้!
ซูอี้มีประสบการณ์ชีวิตสองชาติภพ ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ผ่านสถานที่ต้องห้ามอันตรายมามากเกินคณานับ
ทว่าเขาก็แน่ใจว่าสันเขาอีกาตรงหน้านี้เป็นหนึ่งในสถานที่อันตรายที่สุดเท่าที่เขาเคยพบพาน!
และยังทำให้เขายิ่งรู้สึกเกรงเกินกว่าจะมองข้าม
สองเค่อต่อมา
แดนรกร้างแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นในสันเขา
ซูอี้พลันชะงักเท้า พบศพแหลกเละศพหนึ่ง
ซากนั้นถูกฉีกกระชากจากกันราวถูกกรงเล็บนับไม่ถ้วน เลือดเนื้อถูกกัดกิน เหลือเพียงกระดูกแห้งๆ
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย
นี่คือราชันแห่งภูมิในขั้นต้นขอบเขตไร้ขีดจำกัด มีอำนาจเพียงพอสะเทือนทั่วภูมิดารา ยืนตระหง่าน ณ จุดสูงสุดแห่งโลกหล้าได้
ทว่ากลับตายลงอย่างน่าอนาถใจที่นี่!
“คนผู้นี้ถูกรุมโจมตีจนตายในช่วงกาลอันสั้น เพิ่งตายเมื่อสองวันก่อนเท่านั้น”
“นอกจากนั้น จากร่องรอยสงครามในละแวกและเศษสมบัติลับที่กระจัดกระจายอยู่ ดูเหมือนสถานการณ์ ณ ยามนั้นจะอันตรายหนักหนา และราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้นี้ก็มิได้อยู่ลำพัง”
ทันทีที่ซูอี้คิดถึงจุดนี้ ภายใต้ท้องนภามืดทะมึนห่างออกไป อสนีบาตสีเลือดพลันปรากฏขึ้น แทงทะลวงความมืดลงมา
และยามนี้เองที่ซูอี้ได้พบภาพอันน่าหวาดหวั่น
ในธารอสนีบาตสีเลือดซึ่งทอดตัวยาวเหนือท้องนภา เงาร่างสีเลือดนับมิถ้วนพลันทะยานออกมาดุจน้ำตกระเบิดโปรยปรายลงสู่พื้นที่รกร้างแห่งนี้
มันคืออีกาสีเลือด
ร่างของมันสูงใหญ่ ปกคลุมด้วยโลหิต ดวงตาสีแดงฉาน ร่างเปี่ยมแสงอสนีประหลาดสีเลือด และความคลั่งแค้นอัดแน่นมิอาจสลาย!
อีกาสีเลือดเหล่านี้เกาะกลุ่มหนาแน่นปกคลุมทั่วนภา ดูประหนึ่งอสนีสีเลือดนับไม่ถ้วนแหวกเวหาพุ่งเข้าใส่ซูอี้
พวกมันรวดเร็วเหลือเชื่อ
เพียงมองก็ชวนให้รู้สึกสิ้นหวัง
ซูอี้เลิกคิ้ว เขามิกล้าลังเล ใช้เคล็ดพลังอนันตกาลจรัสแสง ทะยานหลบลี้ไปไกล
ทว่าอีกาสีเลือดเหล่านี้มีมากเกินไป ซ้ำยังรวดเร็วอย่างยิ่ง เขาจึงมิอาจหลบได้
หลบไปได้ครึ่งทาง ฝูงอีกาสีเลือดกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาใกล้
ราวกับอสนีบาตสีเลือดกลุ่มหนึ่งผ่าลงมา
ตู้ม!
เถาวัลย์มารดาฟ้าดินแปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีฟาดไปในอากาศ
ปราณดาบเจิดจ้าไร้คู่เปรียบแหวกเป็นม่านดาบร้ายกาจ
ศึกบังเกิด
เสียงคำรามเลื่อนลั่นพลันสนั่นกัมปนาท แดนดินรอบข้างพลันถล่ม ปนด้วยเสียงกรีดร้องแหลมเสียดหู
ร่างของอีกาสีเลือดหลายสิบแหลกลาญ แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำโสมม
แสงสีดำเหล่านี้ดูจะมีจิตวิญญาณเหลือเชื่อ พวกมันพุ่งเข้าปกคลุมซูอี้ไว้
พลังคำสาปอันเปี่ยมความอาฆาต?
ม่านตาของซูอี้หดตัว ตวัดดาบฟาดฟัน
แต่ละดาบแผ่วพลิ้วดูราวกับวาดเป็นทะเลทุกข์อันกว้างใหญ่ไร้ประมาณ
นี่คือเคล็ดการจม!
วูบ!
เมื่อปราณดาบวาดผ่านนภา ทะเลทุกข์พลันปรากฏ และแสงโสมมสีดำก็หายไปทันที
แม้ซูอี้จะไร้รอยขีดข่วน ทว่าสีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมขึ้นมาก
พลังของอีกาสีเลือดเหล่านี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ความแข็งแกร่งเทียบได้กับขั้นปลายขอบเขตคืนสู่สามัญ และแสงอสนีบาตสีเลือดที่อาบร่างมันอยู่ก็อัดแน่นด้วยปราณคำสาปร้ายกาจ
หากถูกสัตว์ประหลาดร้ายกาจเช่นนี้รุมโจมตี คงล้มผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดลงได้จริง ๆ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดคนเมื่อครู่ถูกอีกาสีเลือดสังหาร!
ร่างของซูอี้พุ่งทะยานหายลับราวแสงเคลื่อนพริบตา มิกล้าลังเลแม้แต่น้อย