บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1275: หากยังมิไสหัวไป ก็ตาย!
ตอนที่ 1275: หากยังมิไสหัวไป ก็ตาย!
เมฆาปกคลุมทั่วฟ้าดำทะมึน ดุจราตรีกาลแผ่สยาย
ธารอสนีบาตสีเลือดสายยาวพาดผ่านท้องนภา
ความเร็วของซูอี้ว่องไวประหนึ่งเคลื่อนย้ายพริบตา เคล็ดการจมหลั่งไหลทั่วร่าง เขาดูราวกับดาบคมซึ่งมิอาจทำลายลงได้
ทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน อีกาสีเลือดนับมิถ้วนร่างแหลกเละ
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็ดูราวเกิดหุบเหวถูกขุดขึ้นผ่ากลางกองทัพอีกาสีเลือดอันคับคั่ง เสียงระเบิดดังระงมไม่ขาดสาย
อีกาสีเลือดเหล่านี้รบพัวพันรับมือยากยิ่ง ความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละตัวเทียบได้กับราชันแห่งภูมิ ซ้ำยังลงมือเป็นฝูง
หากถูกล้อมได้ แม้กระทั่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังมีแต่ตายมากกว่ารอด
ระหว่างทาง ซูอี้พบว่าเคล็ดมหาวิถีเช่นเวียนวัฏสงสาร สังขาร สุดวิถีและการจมสามารถกวาดล้างสัตว์ประหลาดเช่นนี้ลงได้อย่างง่ายดาย
“ดูเหมือนอีกาสีเลือดเหล่านี้จะมิใช่สิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง แต่แปรเปลี่ยนมาจากความแค้นของผู้ตายและอำนาจอสนีบาตคำสาป ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้พวกมันรับมือยากยิ่ง…”
ซูอี้คิดอย่างเคร่งเครียด
พร้อมกันนั้น คิ้วของเขาก็พลันขมวด
ภายใต้ท้องนภาเบื้องหน้า อสนีบาตสีเลือดกรุ่นคลั่ง อีกาสีเลือดพุ่งทะยานพรั่งพรูต่อเนื่อง ขวางทางเบื้องหน้าไว้อย่างหนาแน่น
ให้ความรู้สึกราวพวกมันได้รับคำสั่งให้ขังซูอี้ในดินแดนรกร้างนี้ทุกวิถีทาง
และยามนี้เองที่จิตสัมผัสของซูอี้ตรวจพบสิ่งหนึ่ง…
ทางทิศบูรพาไกลออกไปสามพันจั้งมีค่ายกลธงสีดำปักอยู่สิบหกเสา ผืนธงในค่ายกลโบกสะบัด ลวดลายวิถีประหลาดเกินเข้าใจผุดพรายออกมา
ณ ใจกลางค่ายกลธงทั้งสิบหกมีชายชราร่างผอมในอาภรณ์หนังสัตว์ เส้นผมหร็อมแหร็มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ที่ผิวของชายชราสักลวดลายไว้หนาแน่น ถือตราประทับวิถีซึ่งรายล้อมด้วยแสงเซียนในมือ
ริมฝีปากของเขาเผยอเหมือนกำลังบริกรรม
ทุกพยางค์อันไม่อาจเข้าใจที่เอื้อนเอ่ย กองธงทั้งสิบหกรอบกายเขาคำรามต่อเนื่อง อำนาจค่ายกลประหลาดผุดพรายพุ่งทะยานเข้าสู่ธารสายฟ้าสีเลือดบนท้องนภา
จากนั้น สารพัดอีกาสีเลือดก็พุ่งออกมาจากสายธารอสนีบาตอันทอดยาว…
เมื่อสังเกตเห็นเช่นนี้ สีหน้าของซูอี้พลันเย็นเยือก
ว่าแล้วว่ามีบางผู้ลอบควบคุมการล้อมสังหารนี้อยู่!
“หือ?”
ชายชราร่างผอมในชุดหนังสัตว์ดูจะสังเกตเห็นเขาเช่นกันและรีบลุกขึ้น
แทบจะพร้อมกันนั้น ปราณดาบเจิดจ้ายาวพันจั้งก็ทะลวงออกเยี่ยงธารดาราจากเก้าชั้นฟ้า
เปรี้ยง!
เมื่อปราณดาบทะยานใส่ ค่ายกลสิบหกธงสีดำก็ระเบิดแหลก
พื้นดินแยกออกเป็นหลุมซึ่งมิอาจหยั่งก้นบึ้ง
ฝูงอีกาสีเลือดซึ่งกระจายอยู่ในบริเวณล้วนแหลกสลายในปราณดาบร้ายกาจนี้
ชายชราในชุดหนังสัตว์หลบการโจมตีนี้ได้หวุดหวิด และเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็เหงื่อกาฬแตกพลั่กอย่างช่วยมิได้
นี่คืออำนาจที่ชายหนุ่มในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงควบคุมได้หรือ?
ตู้ม!
ก่อนที่ชายชราในชุดหนังสัตว์จะทันมีปฏิกิริยา ซูอี้ก็เคลื่อนเข้ามาฟาดดาบสังหาร
ดวงตาลึกล้ำของเขาดูไร้อารมณ์ โจมตีอย่างไร้พิธีรีตอง
ไร้ความแค้นเคืองต่อกัน ทว่าเมื่อยามเข้ามาในพื้นที่รกร้างนี้กลับถูกตาเฒ่านี่ลอบโจมตี ใครเล่าจะไม่ขุ่นเคือง?
“ไป!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์ใช้ตราประทับวิถีอันโอบล้อมด้วยแสงเซียนเข้าบดขยี้ปราณดาบที่ซูอี้ฟันออกมา
หือ?
ซูอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
“ไฉนสหายน้อยจึงโจมตีตาเฒ่าผู้นี้เล่า?”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กล่าวเสียงลุ่มลึก
ซูอี้เมินเขา ฟาดดาบเข้าโจมตี
ปราณดาบหลั่งไหลเยี่ยงสายธาร เจิดจ้าวับวาว รวดเร็วดุจแสงเคลื่อนคล้อย
อำนาจทรงพลังร้ายกาจทำให้ชายชราในชุดหนังสัตว์รู้สึกอันตราย หัวใจอดตะลึงมิได้
หากไม่ใช่เพราะอำนาจตราประทับวิถีในมือของเขา เพียงการโจมตีนี้ก็คงทำให้เขาสาหัสได้
“เฮอะ!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์ตวาดลั่น
ลวดลายสักบนร่างของเขาพลุ่งพล่านแปรเปลี่ยนเป็นเทพปีศาจ มีบรรยากาศน่าหวาดหวั่นเข้าโจมตีซูอี้
“มรดกวิถีอาคม?”
ซูอี้เลิกคิ้ว การเคลื่อนไหวมือของเขาหาหยุดไม่ ฟาดดาบลงอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
ทั่วฟ้าดินปั่นป่วนอลหม่าน ประกายแสงเพลิงพล่านพุ่ง
เพียงพริบตา เงาเทพปีศาจก็แหลกสลายด้วยปราณดาบอันไร้คู่เปรียบ
ชายชราในชุดหนังสัตว์อ้าปากค้าง หันหลังเผ่นหนีไป
ร่างผอมแห้งของเขาแปรเปลี่ยนเป็นค้างคาวตัวมหึมาโบยบินสู่เวหา เผ่นหนีไปหลายพันจั้งในพริบตา รวดเร็วยิ่งนัก
นอกจากนั้น อีกาสีเลือดนับไม่ถ้วนยังพุ่งเข้าถล่มใส่ซูอี้ หยุดเขามิให้ไล่ตาม
ดาบมารดาฟ้าดินในมือซูอี้พลันแปรเปลี่ยนเป็นคันธนูใหญ่อันเรียบง่ายไร้สิ่งประดับ และซูอี้ก็ดึงสายธนูโดยไม่ลังเล
เอี๊ยด!
สายธนูส่งเสียงเลื่อนลั่นเยี่ยงวาตะอสนี ปราณมารดาฟ้าดินพลุ่งพล่านหนาแน่น
ศรศักดิ์สิทธิ์ดอกหนึ่งอันสร้างจากกฎเคล็ดอนันตกาลจรัสแสงปรากฏขึ้นบนสายธนู
เพียงหนึ่งการกระทำของซูอี้
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินสะเทือนสะท้านรุนแรงดุจวจีแห่งเทพสะเทือนทั่วสวรรค์สะท้านแดนดิน
แสงสว่างเรืองรองเกินใดเทียบบดขยี้อีกาสีเลือดทั้งหลายที่ขวางทาง ผ่านสุญญะหายวับไปในทันที
ไกลออกไป ภายใต้ท้องนภา
เปรี้ยง!
ด้วยเสียงทึบ ๆ ค้างคาวยักษ์ซึ่งเป็นร่างแปลงของชายชราในชุดหนังสัตว์ก็ถูกศรทะลวงร่าง โลหิตพรั่งพรูเยี่ยงน้ำตก
“สารเลว!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์สบถ
เขาคืนสู่ร่างมนุษย์ ไหล่ซ้ายของเขาถูกทะลวงเป็นรูนองเลือดเท่ากำปั้น สายปราณดาบร้ายกาจแผ่จากบาดแผล กัดกินพลังชีวิตในร่างของเขา
ใบหน้าของเขาซีดขาว ทั่วร่างสะท้านเล็กน้อย
ศรนี้ทำให้เขา ราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดในวิถีอาคมบาดเจ็บสาหัส!
“ตาเฒ่า เจ้าหนีไม่ได้หรอก”
เสียงของซูอี้ดังมาจากไกล ๆ
ชายชราในชุดหนังสัตว์ฝืนความเจ็บปวด ทะยานร่างหนีอย่างสุดกำลัง
เห็นได้ชัดว่าเขาใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามบางอย่าง เลือดลมในกายดูราวกับลุกไหม้ ทำให้ความเร็วในการหลบหนีของเขารวดเร็วสุดขั้ว
ทว่าชายชราในชุดหนังสัตว์ก็ต้องแค้นเคืองที่ชายหนุ่มชุดเขียวยังคงตามติดประชิดเยี่ยงเงา มิถูกสลัดหลุดแม้สักครั้ง!
“สหาย เมื่อครู่นี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด ยามนี้เมื่อตาเฒ่าผู้น้อยชดใช้แล้ว ไฉนจึงยังติดตามไล่ล่าด้วยเล่า?”
ชายชราในชุดหนังสัตว์กัดฟันถาม
“ส่งตราประทับวิถีในมือเจ้ามา แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งหน”
ซูอี้ซึ่งตามติดมาไพล่มือไว้เบื้องหลัง ดูเหมือนเดินทอดน่องลอยชาย ทว่าที่จริงแล้วเขารวดเร็วราวเคลื่อนย้ายพริบตา ร่นระยะห่างระหว่าเขาและชายชราในชุดหนังสัตว์ทีละน้อย
“ฝันไปเถิด!”
ชายชราในชุดหนังสัตว์หัวเราะอย่างโกรธเคือง
เขาได้ตราประทับวิถีนี้มาจากสถานที่ต้องห้ามอันตรายมาเมื่อไม่นานนี้ และทุ่มเทอย่างสาหัสกว่าจะได้มันมาในมือ ซ้ำมันยังเป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวง เหนือล้ำยิ่งกว่าสมบัติใด ๆ ในขอบเขตราชันแห่งภูมิ!
ฟิ้ว!
หนึ่งปราณดาบทะยานใกล้ผ่านสุญญะ เฉี่ยวหูของชายชราในชุดหนังสัตว์ เส้นผมปลิดปลิว เกิดเป็นแผลเลือดซิบตื้น ๆ บนหนังศีรษะของเขา
สิ่งนี้ทำให้ชายชราในชุดหนังสัตว์ตื่นตระหนก ตะโกนขณะร่างสั่นเทิ้มถึงวิญญาณ “สหาย ทุกสิ่งล้วนคุยกันได้ อย่าทำเช่นนี้อีกเลย!”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว ในใจของเขาก็รู้สึกละอายอย่างมิอาจบรรยาย
ด้วยตัวตนและขอบเขตการฝึกฝนของเขา นับได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวตนสูงสุด ณ ส่วนลึกจักรวาลพร่างดาวได้แน่นอน
ทว่ายามนี้ เขากลับถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงไล่ล่าจนต้องออกปากขอสงบศึกก่อน ซึ่ง… ช่างน่าอับอาย!
“ข้าจะนับถึงสาม หากมิส่งตราประทับวิถีนั่นมา ข้าประกันได้ว่าเจ้าตายอนาถแน่”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ชายชราในชุดหนังสัตว์แสนเดือดดาล สีหน้ายากอ่านออก
ทันใดนั้น เขาก็เหมือนเห็นบางอย่าง กัดฟันกรอดแล้วทะยานร่างลงไปยังขุนเขาใหญ่แห่งหนึ่งจากไกล ๆ
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ
บนพื้นไกลออกไปมีขุนเขาสูงพันจั้งสีดำทมิฬตั้งอยู่ ยิ่งใหญ่โอ่อ่า ทว่าน่าแปลกที่มีศิลาหลอมปะทุเพลิงนับไม่ถ้วนไหลรินลงเยี่ยงน้ำตก
ทั่วฟ้าดินในบริเวณถูกแผดเผาแดงฉาน สุญญะบิดเบี้ยวด้วยความร้อนระอุ
บรรยากาศการทำลายล้างร้ายแรงในโลกหล้าก็ระเหยออกมาจากขุนเขาทมิฬนี้
“หยุด!”
ซูอี้ตะโกนเตือน
ชายชราในชุดหนังสัตว์ยิ้มเยาะ เมินเฉยทุกวาจา
ทว่าทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ชะงักค้าง
ไกลออกไปบนภูเขาทมิฬ ร่างหนึ่งในชุดเกราะสีดำพลันพุ่งออกมา
ดุจดั่งเทพปีศาจปรากฏกายจากอากาศธาตุ
ชายชราในชุดหนังสัตว์หันหลังเผ่นหนี
ทว่าในบริเวณใกล้เคืยงนั้นปรากฏอำนาจค่ายกลจองจำปะทุขึ้น ถักทอแน่นหนาดุจใยแมงมุมสีเพลิง ปกคลุมร่างชายชราในชุดหนังสัตว์เอาไว้
แย่แล้ว!
ชายชราในชุดหนังสัตว์แตกตื่น
ยามนี้ ร่างในชุดเกราะสีดำลงมือโจมตี กระบี่ศึกสีเลือดเล่มยาวปรากฏขึ้นในมือ
ตู้ม!
ร่างของชายชราในชุดหนังสัตว์ซึ่งติดในค่ายกลถูกกระบี่นั้นแยกส่วนเป็นสองซีก
ตู้ม~
โลหิตทะลักเยี่ยงน้ำตก
หนึ่งราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดในวิถีอาคมตายลงที่นี่
และร่างในชุดเกราะสีดำก็เอื้อมมือเข้าคว้าตราประทับวิถีที่ชายชราในชุดหนังสัตว์ถือไว้ในมือ
ไกลออกไป ซูอี้อดถอนใจเบา ๆ มิได้ ไฉนไม่ฟังคำแนะนำกัน?
“หยุดที่นี่เสีย หาไม่ข้าจะฆ่าอย่างไร้ปรานี”
ร่างในชุดเกราะสีดำเงยหน้าขึ้นกล่าวกับซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์
เกราะบนร่างคนผู้นี้สลักลวดลายวิถีหนาแน่น กระทั่งบนศีรษะยังถูกปกปิด เหลือเพียงคู่เนตรลึกล้ำสีน้ำเงิน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีดำโชยออกมาจากในชุดเกราะ อาบทั่วร่างคนผู้นี้ด้วยปราณทำลายล้างอหังการน่าขนลุก
ซูอี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง!
เป็นยอดฝีมือในขอบเขตไร้ขีดจำกัดจากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม!
ในฐานะหนึ่งในหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี ตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามนั้นแข็งแกร่งพอจะเป็นที่หวาดเกรงของยักษ์ใหญ่บางพวก ณ จักรวาลพร่างดาว
ทว่าซูอี้กล่าวตรง ๆ โดยมิสนใจ “ส่งตราประทับวิถีนั่นมา และข้าจะไปทันที”
สตรีในชุดเกราะสีดำกล่าวอย่างเย็นชา “มนุษย์ตายเพราะทรัพย์ วิหคตายเพราะอาหารจริงแท้ และเพื่อสมบัติ กระทั่งชีวิตก็ทิ้งได้หรือ?”
น้ำเสียงของนางเย็นชาข่มขู่
โดยมิรีรอให้ซูอี้พูดต่อ สตรีผู้นั้นยกกระบี่ศึกเล่มยาวสีเลือดในมือของนางขึ้นชี้ซูอี้จากไกล ๆ “หากยังมิไสหัวไป ก็ตาย!”
กระบี่ศึกคมปลาบปกคลุมด้วยแสงสีเลือด ใบกระบี่แคบปกคลุมด้วยลวดลายวิถีโบราณสลักแน่น
เมื่อสตรีผู้นั้นยกกระบี่ศึกขึ้น จิตสังหารน่าขนลุกก็พลุ่งพล่านทั่วฟ้าดิน ทำให้ทั่วอาณาบริเวณสะท้านสั่น
อำนาจเช่นนี้อยู่เหนือจินตนาการ
และวาจาของนางก็ช่างเลือดร้อนเหยียดหยาม
ซูอี้เสสรวลกล่าว “ไม่ได้พบเสียเนิ่นนาน แต่การวางตนของคนตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามนั้นใหญ่โตขึ้นทุกทีแล้ว…”
ขณะกล่าว เท้าของเขาก็เยื้องย่าง
ตู้ม!
ด้วยหนึ่งย่างเท้า พลันเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
ฟ้าดินในละแวก เดิมปกคลุมด้วยอำนาจค่ายกลซึ่งกักร่างชายชราในอาภรณ์หนังสัตว์จนถูกกระบี่สตรีผู้นี้สังหาร
ทว่าเมื่อเท้าของซูอี้เหยียบย่าง ค่ายกลจองจำอันร้ายกาจพอจะตรึงร่างราชันแห่งภูมิในขอบเขตไรขีดจำกัดได้พลันสะเทือนสั่นโคลงเคลง
อักขระนับไม่ถ้วนปรากฏ แปรเปลี่ยนเป็นพิรุณแสงพลิ้ววน
มันดูราวไม่อาจทนต่อแรงกดดันมหาศาลจากหนึ่งย่างก้าวของซูอี้ได้
สตรีในชุดเกราะสีดำหรี่ตา ฟาดฟันกระบี่ของนางออกอย่างหาลังเลไม่