บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1276: ตำนานลับแห่งเขาเทพอีกา
ตอนที่ 1276: ตำนานลับแห่งเขาเทพอีกา
ขวับ!
กระบี่ศึกเล่มยาวส่งลำแสงสีเลือดพุ่งทะลวง
อำนาจกฎเกณฑ์ปกคลุมใบกระบี่ดุจน้ำตก ทำให้กระบี่นี้ดูราวแหวกนภาฟ้าดินได้
ซูอี้มิได้หลบเลี่ยง ดาบวิถีในมือของเขาถูกยกขึ้นแทงทะลวงราวลำแสง
เคร้ง!!
เกิดเป็นเสียงระเบิดระเทือนแดนดิน
กระบี่ศึกของหญิงสาวถูกปัดออก ร่างในชุดเกราะทมิฬโอนเอนเล็กน้อย
นางออกแรงเกร็งเท้า สองมือคว้ากระบี่แน่น ฟาดฟันผ่านเวหา
ปราณกระบี่สีเลือดระเบิดออกพร้อมอำนาจซึ่งเหนือล้ำกว่าครู่ก่อน มันเจือด้วยวจีแผ่วเบาราวเสียงบริกรรมแห่งเทพ
การโจมตีร้ายกาจนี้เพียงพอจะสังหารตัวตนในขั้นต้นขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้
ทว่าเมื่อซูอี้บิดข้อมือ ออกแรงที่แขน ดาบวิถีในมือฟาดฟันลงดุจขุนเขาโบราณอันศักดิ์สิทธิ์กดทับลงมา
เคร้ง!!!
ดาบกระบี่ประชัน อำนาจทำลายล้างร้ายกาจระเบิดคลั่ง
พื้นที่ใกล้เคียงในบริเวณพันจั้งพลันถล่มแหลก
ร่างของซูอี้นิ่งดุจศิลา หาเคลื่อนขยับไม่
ร่างของหญิงสาวซวนเซแทบร่วงลงจากอากาศ
นางถอยหนีอย่างไม่ลังเล แววตาสีน้ำเงินแปรเปลี่ยนเปี่ยมความประหลาดใจ
ในโลกนี้ ไยจึงมีตัวตนร้ายกาจเช่นนี้ในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงอยู่ได้!?
“เคล็ดพลังแผดโลหิต กระบี่เทพแปรโลหิต ชุดเกราะปีศาจฝันร้าย… ดูเหมือนเจ้าจะเป็นเพียงสมาชิกสายรองของตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม และแม้จะมีการฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้น ทว่าฐานะในตระกูลของเจ้าก็ยังต้อยต่ำกว่าคนตระกูลหลักในขอบเขตไร้ขีดจำกัดอยู่ดี”
เขากล่าวพลางก้าวมาข้างหน้า
เปรี้ยง!
ค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วฟ้าดินสะท้านไหวรุนแรง
ดุจดั่งแผ่นน้ำแข็งที่ถูกมกรกุญชรโบราณเหยียบย่ำ ส่งเสียงปริร้าวอย่างมิอาจต้านไหว
สตรีผู้นั้นแค่นเสียงอย่างเย็นชาและวาดกระบี่ของนางอีกครั้ง
นางสวมชุดเกราะสีดำ เปลวเพลิงคุโชน สารพัดลวดลายสลักบนเกราะสะท้อนออกมาจากร่างของนางเยี่ยงมีชีวิต
และกระบี่ศึกในมือของนางก็วูบไหวแสงสีเลือดทะลวงสู่เวหาเยี่ยงเปลวเพลิง อำนาจร้ายกาจขึ้นทุกขณะ
ซูอี้ส่ายหัวน้อย ๆ
หากเปลี่ยนผู้รับมือจากเขาเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดคนอื่น ๆ ก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง
ทว่าการกวาดล้างราชันแห่งภูมิสักคนจากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามซึ่งถูกเขามองทะลุปรุโปร่งแล้วนั้นไม่มีค่าให้ต้องพูดถึง
ยามนั้นเอง…
แขนเสื้อของซูอี้สะบัดโบก ฟาดฟันสามดาบในอึดใจ
ดาบแรกดูราวกับจะแหวกขุนเขาลำธาร มันสะเทือนกระบี่ศึกในมือสตรีผู้นั้นจนหลุดกระเด็น
ดาบที่สองดุจดั่งทางช้างเผือกสถิตเก้าสวรรค์ สลายเกราะสีดำซึ่งปกคลุมร่างของนาง
และดาบที่สามของเขาก็ฟาดฟันทั่วร่างของนางจนร่วงกระแทกลงบนภูเขาสีดำอย่างรุนแรง
รวดเร็วตรงไปตรงมาและรวบรัดยิ่ง
“ว่าแล้วเชียว ยังคงเป็นวิถีเดิม ๆ ในฐานะตระกูลสาขา นางมิคู่ควรจะได้ทำความเข้าใจกฎ ‘คล้อยบัญชาเทพ’ และไม่อาจฝึก ‘หลวนครามเก้าทำร้าย’ ได้ ความแข็งแกร่งจึงด้อยชั้นกว่าตระกูลหลักในขอบเขตเดียวกัน”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ
ไกลออกไปบนยอดเขาสีทมิฬ สตรีนางนั้นลุกขึ้นท่ามกลางฝุ่นควัน
ชุดเกราะของนางแหลกละเอียด จึงเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง ซึ่งงดงามสะกดตา และรูปร่างของนางก็อรชรอ้อนแอ้น
ทว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส มุมปากมีโลหิตหยาดหยด ใบหน้างดงามซีดขาว และดวงตาสีน้ำเงินเข้มของนางก็เปี่ยมความหวาดกลัวลึกล้ำและเคลือบแคลงยามมองมายังซูอี้
“ในเมื่อผู้อาวุโสรู้ตัวตนของข้า เขาย่อมทราบว่าเป็นเรื่องมิฉลาดที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามของข้าเช่นกัน!”
สตรีนางนั้นกล่าวอย่างเย็นชา
ซูอี้หัวเราะ ก่อนที่เขาจะก้าวไปข้างหน้า
ตู้ม!
อำนาจค่ายกลซึ่งปกคลุมทั่วฟ้าดินระเบิดออกอย่างทนรับมิไหวในที่สุด
ท่ามกลางพิรุณแสง ยอดเขาทมิฬที่อยู่ไกลออกไปก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ก่อนจะเผยให้เห็นสระน้ำแห่งหนึ่ง
ในสระน้ำนั้นสีแสงเซียนสะท้อนไหว ปราณศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม เห็นได้เลือนรางว่าเหมือนจะมีโอสถทิพย์เคลื่อนกระเพื่อมอยู่ภายใน
“โอสถทิพย์หรือ?”
ดวงตาของซูอี้ทอแสง เขาพลันกล่าว “ที่แท้เจ้าก็พิทักษ์ที่นี่ ตั้งค่ายกลอารักษ์โอกาสนี้อยู่”
ใบหน้างดงามของสตรีผู้นั้นเย็นชาเยี่ยงน้ำแข็ง “โอสถทิพย์ในขอบเขตจุติสรวงอยู่ในการหมายตาของตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามของเรานานแล้ว คงไม่นานก่อนที่นายน้อยตระกูลเราจะพาคนกลับมา ผู้อาวุโสควรหยุดมือลงที่นี่เสีย หาไม่ เจ้าจะมิอาจรอดชีวิตออกจากสันเขาอีกาได้!”
ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด “หมายความว่าครานี้ ตระกูลเจ้ามิได้ส่งเจ้ามาผู้เดียวสินะ?”
สตรีนางนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “ถูกต้อง นอกจากข้า ยังมีนายน้อยและชาวตระกูลข้าอีกหลายคนที่มาด้วยกัน หากฉลาดก็ควรรู้ว่าการหยุดลงเสียยามนี้เป็นเรื่องฉลาดที่สุด หาไม่ ไม่ว่าเจ้าจะมีที่มาใด หากล่วงเกินตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามของข้า เจ้าก็ย่อมมีโอกาสตายมากกว่ารอด!”
ยามนั้น สายตาของนางดูเย่อหยิ่งเยือกเย็นอย่างมาก
อันที่จริง ความเย่อหยิ่งของนางมีเบื้องหลังอยู่
ครานี้ หากเปลี่ยนเขาเป็นราชันแห่งภูมิคนอื่น ๆ กระทั่งยักษ์ใหญ่ในจักรวาลพร่างดาวเยี่ยงหอเก้าสวรรค์ หากอยู่ต่อหน้าคำเตือนของตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามคงทำได้แค่ฝืนใจถอยหลบ
นี่คืออำนาจของตระกูลโบราณอารักษ์วิถี
โชคร้ายที่ทั้งหมดนี้หาได้อยู่ในสายตาซูอี้ไม่
เขาแย้มยิ้มอย่างไม่สนใจ และภายใต้สายตาตื่นตระหนกของหญิงสาว เขาก็พลิ้วกายมายังยอดเขาทมิฬ
“ตระกูลเจ้าที่เหลืออยู่หนใด?”
ซูอี้ถามลอย ๆ
เขามองไปยังสระน้ำเบื้องหลังนาง
สระนี้มีขนาดเพียงสามจั้ง หมอกเซียนภายในพลิ้วลอย ปราณกำเนิดฮุ่นตุ้นโชยเอื่อย กิ่งก้านพฤกษาเขียวขจี ทว่าก้านใบของมันกลับมีโอสถทิพย์ดุจทองเทวะหลอมลอยตะคุ่มอยู่ภายใน
แม้จะอยู่แสนไกล แต่ความรู้สึกสดชื่นก็พุ่งเข้ามาหา
“ไม่ว่าพวกเขาจะไปหนใด มันเกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
น้ำเสียงของสตรีผู้นั้นเย็นชาลงทุกขณะ “ข้าเตือนเจ้าครั้งสุดท้าย…”
วาจายังมิทันสิ้น
ซูอี้ก็ออกดาบวิถีแล้ว
มันดูเรียบง่าย ทว่ากลับเป็นการวางตัวยิ่งใหญ่ที่ทำให้สตรีผู้นั้นแทบมิเชื่อสายตา
ยามใดกันที่มีผู้กล้าเมินเฉยต่อคำเตือนของตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนคราม?
ซูอี้ว่า “ให้โอกาสเจ้าหนึ่งหน ทิ้งตราประทับวิถีนั่นไว้แล้วไปให้พ้นสายตาของข้าเดี๋ยวนี้ หาไม่ ตาย”
เขากล่าวอย่างเฉื่อยชา สายตาลึกล้ำคู่นั้นจับจ้องนาง
บรรยากาศกดดันเงียบงัน
สตรีผู้นั้นชะงักนิ่ง ใบหน้าหยกงดงามดูลังเล
นี่เป็นครั้งแรกตราบชั่วชีวิตนางที่ถูกข่มขู่จนโทสะพลุ่งพล่านในใจมิอาจบรรยาย
ทว่า เมื่อย้อนนึกถึงศึกเมื่อครู่ ท้ายที่สุด สตรีผู้นี้ก็สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะโยนตราประทับวิถีออกมาและหันหลังจากไป
ซูอี้แย้มยิ้ม หาได้ประหลาดใจไม่
“รอข้าก่อนเถอะ!”
ไกลออกไป เสียงของสตรีผู้นั้นดังมาอย่างเคียดแค้น
แสงเซียนพร่างพรายงดงามบนตราประทับวิถี มันเรียบง่ายและมีขนาดเล็ก ทว่ากลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่ด้านใต้ประทับสองอักษรขนาดเล็กเพียงหัวแมลงวันไว้ว่า ‘บรรพตทักษิณ’!
ปราณของมันหนาหนัก ให้ความรู้สึกชวนลืมหายใจ
น่าเสียดายที่พื้นผิวสมบัตินี้มีรอยร้าวรอยหนึ่งซึ่งดูเหมือนถูกกระบี่หรือขวานจาม ทำให้อำนาจของสมบัติชิ้นนี้เสียหายอย่างหนัก
“อำนาจสมบัตินี้แข็งแกร่งเหนือล้ำกว่าสมบัติในขอบเขตราชันแห่งภูมิ แต่ยังอ่อนแอกว่าดาบปลายมนแผดเซียนและหอกศึกพิสูจน์สวรรค์มากโข มันน่าจะเป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวง”
ซูอี้ตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะตัดสินเช่นนี้
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เก็บสมบัตินี้ไปและมายังสระน้ำ
ในสระน้ำ พฤกษาโอสถทิพย์เขียวขจีลอยผลุบโผล่ แสงเซียนปกคลุมเปี่ยมบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์
ตาเปล่าก็เห็นได้ว่าโอสถทิพย์นี้กำลังดึงน้ำในสระอย่างหิวกระหาย ขณะที่ใบไม้ของมันแปรเปลี่ยนอย่างเงียบ ๆ ดูเจิดจรัสระยับแสงยิ่งกว่ากาลก่อน
สิ่งที่ทำให้ซูอี้ตะลึงอยู่ที่น้ำในสระนี้อุดมไปด้วยปราณเซียนและพลังชีวิตแรงกล้า น่าอัศจรรย์เสียยิ่งกว่าพลังต้นกำเนิดฮุ่นตุ้นเยี่ยงปราณมารดาฟ้าดินเสียอีก!
“ต่อให้มันจะมิใช่โอสถทิพย์ มันก็ยังเป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวง มูลค่ามหาศาลเกินหยั่งคาด”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว
เขาเห็นได้ว่าโอสถทิพย์นี้กำลังเปลี่ยนแปลง ใกล้สุกงอกพร้อมเก็บเกี่ยว!
นี่ยังอธิบายได้เช่นกันว่าเหตุใดสตรีจากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามจึงประจำที่นี่โดยมิเก็บเกี่ยวโอสถทิพย์เสมอมา
ซูอี้เฝ้ามองอย่างเงียบงัน ครุ่นคิดใคร่ครวญ และสุดท้ายก็สรุปได้ว่าอย่างมากก็สองวัน โอสถทิพย์นี้จะเติบโตเต็มที่!
“แค่สองวันเอง ข้ารอได้ และจะใช้โอกาสนี้ลองหลอมตราประทับวิถีบรรพตทักษิณด้วยเลย”
ซูอี้นั่งลงขัดสมาธิขณะครุ่นคิด
…
ลึกเข้าไปในสันเขาอีกา
เมฆาดำสนิทพลุ่งพล่านหนาทึบ อสนีบาตกรุ่นคำรามเดือดปะทุ
บนแดนดินอันพังทลายมีซากอาคารกระจัดกระจายอยู่
ภายในวิหารที่ถล่มเละแห่งหนึ่ง
ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามกำลังพักผ่อนอยู่ข้างใน
ผู้นำคือชายสวมมงกุฎหยกในชุดคลุมสีม่วง ดูราวชายหนุ่มซึ่งมีกิริยาสงบนิ่ง
เขากระซิบขณะถือแผนที่หนังสัตว์โบราณชิ้นหนึ่งในมือ “สันเขาอีกานี้เดิมเป็นแดนบรรพชนของขุมกำลังฝึกตนเซียนนาม ‘เขาเทพอีกา’ และถือเป็นขุมกำลังเซียนชั้นหนึ่งใน ‘ยุคสิ้นกฎเกณฑ์’”
“เขาเทพอีกานี้เคยให้กำเนิดเซียนที่แท้จริง มีมรดกขอบเขตจุติสรวงอันสมบูรณ์ น่าเสียดายที่สำนักเซียนอันทรงพลังนี้กลับมิรอดจากยุคสิ้นกฎเกณฑ์”
กล่าวแล้ว ชายหนุ่มชุดคลุมก็ดูสับสน
ยุคสิ้นกฎเกณฑ์!
กลียุคมืดมิดซึ่งเกิดหายนะประหลาดสะบั้นวิถีทางสู่เซียนลง
มิอาจทราบได้ว่ามีขุมกำลังเซียนมากมายเพียงใดที่ล่มสลายในชั่วยุคสมัยนั้น
และตราบยามนั้นมา จักรดาราตงเสวียนก็เข้าสู่ยุคสมัย ‘สวรรค์อโคจร’ แบ่งแยกโลกมนุษย์และเซียนออกจากกัน
ไร้วิถีเซียนในโลกหล้า!
“จากคัมภีร์ของตระกูล ผู้ฝึกตนเซียนในเขาเทพอีกาล้วนแต่เป็นปีศาจ และปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งก็เป็นอีกาสีเลือดอันเกิดจากที่มาแห่งหายนะซึ่งทิ้งกระดูกชะตาไว้ชิ้นหนึ่งก่อนจะจุติเป็นเซียน และหล่อหลอมมันเป็นชิ้นหยกมรดกชิ้นหนึ่ง”
ชายหนุ่มในชุดคลุมกระซิบ “หยกชิ้นนั้นสลักมรดกพลังอันเก่าแก่สูงสุดในเขาเทพอีกาไว้”
“ไม่แปลกใจเลยว่าอาเพศในสันเขาอีกาหนนี้ รวมไปถึงโอกาสที่กำลังจะปรากฏต้องเกี่ยวกับชิ้นหยกนี้แน่แท้!”
ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากตระกูลเฟิงเผ่าภูตหลวนครามในละแวกนั้นล้วนแสดงความโหยหาอย่างช่วยมิได้
หากพวกเขาชิงชิ้นหยกนี้มาได้ มิหมายความว่าพวกตนจะได้มรดกวิถีที่สมบูรณ์ของขุมกำลังเซียนโบราณมาไว้ในมือหรอกหรือ?
และในหมู่พวกมันต้องมีเคล็ดฝึกฝนเกี่ยวกับวิถีจุติสรวงอยู่ด้วยแน่!
“ความลับนี้จารึกไว้เพียงในคัมภีร์ตระกูลเรา ไร้ผู้อื่นในโลกหล้าล่วงรู้ กระทั่งหอเก้าสวรรค์เองก็ตาม”
ชายหนุ่มชุดคลุมกล่าวอย่างแช่มช้า “และนี่คือโอกาสของเรา! ไม่ว่าอย่างไร หนนี้เราต้องนำสิ่งนี้กลับตระกูลให้จงได้!”
เพิ่งสิ้นคำไป…
นอกวิหารอันร้าวแหลก ชายชุดดำผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามารายงาน
“นายน้อยขอรับ ผู้อาวุโสใหญ่มู่อวิ๋นได้รับข่าวว่า ‘พฤกษาทิพย์เจ็ดใบม่วงคราม’ ถูกชิงไปแล้วขอรับ!”
ทุกคนล้วนผงะ
บรรยากาศพลันเงียบสงัดหดหู่
ชายหนุ่มชุดคลุมดูมิใส่ใจ ดวงตามองแผนที่หนังสัตว์โบราณในมือขณะกล่าวช้า ๆ “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ยังต้องรายงานข้าอีก แล้วพวกเจ้าเล่า… มีไว้เพื่ออันใด?”
………………..