บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1277: ขอวอนตายดูสักตั้ง
ตอนที่ 1277: ขอวอนตายดูสักตั้ง
วาจาของชายหนุ่มชุดคลุมราบเรียบสงบ
ทว่าทุกคนกลับหลั่งเหงื่อกาฬโชกตัว
พวกเขาล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตในเผ่าภูตหลวนคราม ซึ่งล้วนมีสิทธิ์สั่งการสูงส่ง และนับได้ว่าเทียบได้กับเจ้าสำนักยักษ์ใหญ่ทั้งหลายในจักรวาลพร่างดาว
ทว่าครานี้ พวกเขาทั้งหลายล้วนครั่นคร้าม
ในฐานะหนึ่งในหกตระกูลโบราณอารักษ์วิถี เผ่าภูตหลวนครามแต่โบราณได้ใช้วิธีการนองเลือดอันโหดร้ายเลือกนายน้อยเก้าคนจากสายตระกูลหลัก
นายน้อยแต่ละคนล้วนมีจุดเด่นของตน และเป็นผู้ไร้คู่เปรียบที่เข่นฆ่าลูกหลานสายตระกูลหลักรอดมาได้
นายน้อยทั้งเก้าคนถูกเลี้ยงดูมาเป็นผู้สืบทอดเจ้าตระกูล ฐานะของพวกเขาจึงสูงส่งเป็นพิเศษ
ผู้มีอำนาจในตระกูลรายล้อมนายน้อยแต่ละคน เทียบได้กับการสร้างฝ่ายต่าง ๆ ขึ้นเก้าฝ่าย!
และตลอดกาลนานมา นายน้อยทั้งเก้ามีข้อพิพาทขัดแย้งกันเกิดขึ้นมากมาย
หรือก็คือ ‘เก้าบุตรชิงบัลลังก์’
พวกเขาล้วนเหยียบย่ำกันและขึ้นครองตำแหน่งผู้นำ ดังนั้นนายน้อยแต่ละคนจึงรวบรวมอำนาจความแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่งเพื่อสยบและชำระแค้นศัตรูของเขา
และสถานการณ์เช่นนี้ก็ถือว่าได้รับอนุมัติจากเผ่าภูตหลวนครามโดยปริยาย!
เหมือนการเลี้ยงกู่พิษไม่มีผิด
ระหว่างนายน้อยทั้งเก้าคน หลังประชันเชือดเฉือน ผู้เหลือรอดสุดท้ายก็จะได้กลายเป็นทายาทเจ้าตระกูล!
จวบจนยามนี้ นายน้อยได้ถูกกำจัดไปแล้วหกจากเก้า
ยามนี้เหลือเพียงสามคน
ในหมู่พวกเขาก็มีชายหนุ่มชุดคลุมซึ่งนั่งอยู่บนพื้น ณ ขณะนี้รวมอยู่ด้วย
นามของเขาคือเฟิงอวิ๋นเลี่ย
ในหมู่นายน้อยทั้งเก้า ณ เริ่มแรก เฟิงอวิ๋นเลี่ยอายุน้อยด้อยอาวุโสที่สุด และเป็นที่โปรดปรานน้อยที่สุด
ทว่า เมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน เฟิงอวิ๋นเลี่ยก็ค่อย ๆ เผยความสามารถฝีมือเหนือจินตนาการไปไกล
มีนายน้อยสองคนที่ถูกเขาเอาชนะ!
เฟิงอวิ๋นเลี่ยอยู่บนวิถีฝึกฝนสามหมื่นเก้าพันปี อยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญขั้นปลาย มิใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เก้านายน้อย
ทว่าเขาชนะศึกชี้เป็นตายทุกครั้งไป
ควรค่ากล่าวถึงว่าแม้เขาจะมีการฝึกฝนเพียงขอบเขตคืนสู่สามัญ ทว่าเฟิงอวิ๋นเลี่ยสามารถข้ามขอบเขตต่อสู้ ปราบศัตรูไร้คู่เปรียบในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นได้!
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะหนึ่งในสามทายาทเจ้าตระกูลผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งเผ่าภูตหลวนครามปัจจุบัน สถานะของเฟิงอวิ๋นเลี่ยจึงสูงส่งยิ่งกว่าผู้มีอำนาจหลายคนในตระกูลเสียอีก
เมื่อตัวตนบรรพกาลบางผู้พบเขา คนเหล่านั้นจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน
เหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลายที่นี่อาจจะมีลำดับอาวุโสสูงกว่า ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฟิงอวิ๋นเลี่ย พวกเขาก็ทำได้เพียงต้องพินอบพิเทาก้มหัว ถูกสั่งการรับใช้ตามใจปรารถนามิต่างจากข้ารับใช้
ยามนั้น ชายชุดดำซึ่งมารายงานก้มหัวต่ำลงอีกและกล่าวอย่างละอาย “นายน้อยสอนสั่งถูกต้อง ข้าจะไปจัดการเรื่องนี้เองขอรับ”
เขาหันหลังจะจากไป ทว่าเฟิงอวิ๋นเลี่ยซึ่งนั่งอยู่บนพื้นพลันกล่าวขัด “ช้าก่อน”
ร่างของชายชุดดำชะงักค้าง ก้มหัวลงคำนับ “นายน้อยยังมีคำสั่งใดหรือขอรับ?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยก้มลงมองแผนที่หนังสัตว์ในมือของเขาพลางกล่าวเตือนกลาย ๆ “อย่าทำลายโอสถทิพย์ในขอบเขตจุติสรวง หาไม่ ตัดหัวเจ้ามาชดใช้”
ชายชุดดำเย็นเยือกในใจ ขณะรับคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “ขอรับ!
ขณะเดียวกัน ชายชราชุดขาวซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวขึ้น “ซิงหยา เจ้าก็ไปด้วยสิ”
เสียงแหบพร่าหนึ่งดังออกมาจากในมุมมืด “ข้าฟังคำสั่งเพียงนายน้อย”
เมื่อมองดี ๆ จะพบว่าผู้พูดเป็นชายในอาภรณ์ยาวรูปร่างผอมสูงดุจกระบองผู้หนึ่ง ท่าทางเมามาย ถือน้ำเต้าสุราหยกขาว กลิ่นเมรัยลอยคลุ้ง
เฟิงอวิ๋นเลี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามชายชราชุดขาว “จำเป็นจริง ๆ หรือ?”
ชายชราชุดขาวกล่าวอย่างแผ่วเบา “ความรอบคอบนำไปสู่ความยั่งยืน ผู้กล้าลงมือขัดแย้งกับยอดฝีมือจากเผ่าภูตหลวนคราม หากมิใช่ไอ้โง่ไร้ตาก็เป็นผู้โหดเหี้ยมซึ่งมีบางอย่างให้พึ่งพา และข้าคิดว่าผู้ที่กล้าเข้ามาต่อสู้กับตัวตนเช่นผู้อาวุโสใหญ่มู่อวิ๋นในสันเขาอีกาต้องมิโง่หรอกขอรับ”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ได้ ซิงหยาเจ้าไป ข้าขอเพียงอย่าปล่อยให้ผู้ใดรอดชีวิต”
กล่าวจบ เขาก็ก้มลงอ่านแผนที่หนังสัตว์ในมือของเขาอีกครั้ง
ชายในชุดยาวผู้เมามายลุกขึ้นจากมุมมืด ยืดเส้นสายและเดินออกไปด้านนอก
ชายชุดดำตามเขาไป
จนเมื่อร่างของทั้งสองลาลับ เฟิงอวิ๋นเลี่ยก็ดูจะลืมเรื่องเล็กน้อยนี้ไปแล้ว
เขากล่าวอย่างเนิบนาบ “ผู้เข้าประชันหนนี้มีเจ้าเฒ่าบางคนจากตระกูลอวี่โบราณ และกลุ่มยอดฝีมือร้ายกาจจากลัทธิทางช้างเผือก หากเกิดข้อพิพาทจริง ๆ ข้าก็มิกลัวหรอก…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้ว “เรื่องเดียวที่ข้าไม่เข้าใจคือไยหอเก้าสวรรค์จึงมิเข้ามาพัวพัน ผิดปกติจริง ๆ”
ชายชราชุดขาวข้างกายเขากล่าวยิ้ม ๆ “นายน้อยมิต้องกังวลหรอกขอรับ ในเมื่อเหยียนเต้าหลินรับปากมิเข้ายุ่งเรื่องนี้ เขาจะไม่ทำแน่นอน”
“จิตใจไอ้แก่เหยียนเต้าหลินผู้นี้เกินหยั่งคาด กระทั่งท่านอาสามของข้ายังพูดว่าเป็นผู้ร้ายกาจไร้ที่เปรียบ กินคนไม่คายกระดูก ให้ข้าระวังตัวมิไปล่วงเกินง่าย ๆ”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยถูจมูกตนเบา ๆ “ข้าล่ะหวังนักว่าเขาจะไม่เข้ามายุ่งในศึกชิงโอกาสนี้”
…
ณ ยอดเขาทมิฬ
ตราประทับวิถีชิ้นหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้าซูอี้
สิบนิ้วของเขาแปรเปลี่ยนต่อเนื่อง สร้างเป็นสารพัดตราประทับลับพุ่งเข้าใส่ตราประทับวิถีนั้น
นี่คือเคล็ดวิชาหล่อหลอมสมบัติวิถี
นามของมันคือนวดาราชุ่มวิญญาณ และทัศนาจารย์ก็ใช้เคล็ดวิชานี้หล่อหลอมดาบแห่งโลกาซึ่งสั่นสะเทือนทั่วจักรวาลพร่างดาวขึ้นได้
ในอากาศที่อยู่ไกลแสนไกล สามร่างพลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
หนึ่งคือหญิงงามผู้พิทักษ์ที่นี่เมื่อกาลก่อน หนึ่งคือชายชุดดำ และชายร่างผอมสูงในชุดยาวถือน้ำเต้าสุราหยกขาว
เฟิงมู่อวิ๋น เฟิงซานหูและเฟิงซิงหยาแห่งเผ่าภูตหลวนคราม!
ในหมู่พวกเขา เฟิงซิงหยาเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้โห มีตราประทับวิถีในขอบเขตจุติสรวงเสียด้วย ไอ้หนูผู้นี้แข็งแกร่งนะ”
เฟิงซิงหยาผู้เมามายดูประหลาดใจ
“พี่ชายร่วมตระกูล คนผู้นี้แข็งแกร่งเกินกว่าจะใช้สองวาจานี้บรรยายได้นะเจ้าคะ”
ดวงตาของเฟิงมู่อวิ๋นเปี่ยมความตื่นกลัว ก่อนจะเล่าทุกรายละเอียดของการต่อสู้ระหว่างนางกับซูอี้ผ่านกระแสเสียงปราณ
ได้ยินเช่นนั้น ชายชุดดำเฟิงซานหูก็อดอึ้งมิได้ “มีฐานการฝึกฝนเพียงขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นปลาย แต่กลับเหยียบทำลาย ‘ค่ายกลวายุฆาตอัคคีประหาร’ และเอาชนะตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นเช่นเจ้าได้ คนผู้นี้… น่ากลัวจริง ๆ!”
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงแท้!”
เฟิงซิงหยาพึมพำ ดวงตาเมามายคู่นั้นพลันกระจ่างราวได้พบสิ่งที่น่าสนใจยิ่งนัก บรรยากาศทั่วร่างเผยความตื่นเต้น
“เจ้าเคยได้พบตัวตนอันน่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อนหรือไม่?”
เฟิงซิงหยาถาม
เฟิงซานหูยิ้มขื่น ๆ “อย่าว่าแต่เคยพบเลย กระทั่งเคยได้ยินยังไม่”
“นั่นยิ่งเป็นสิ่งที่น่าสนุกไปใหญ่!”
เฟิงซิงหยาจิ๊ปาก “ข้าว่านะ เจ้าหนูนี่น่าจะเป็นตัวตนเก่าแก่ชั่วร้ายที่แสร้งแสดงเป็นหมูเพื่อหลอกกินพยัคฆ์ ซ่อนเร้นการฝึกฝนของตัวเอง! ให้ข้าไปสืบรายละเอียดของเขาเถอะ!”
ว่าพลาง แสงหนึ่งก็วูบไหวจากแววตาของเขา ประหนึ่งมีดาราสีเงินดวงน้อยหมุนคว้างช้า ๆ เยี่ยงวังวน
จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองซูอี้บนยอดเขาทมิฬซึ่งอยู่ห่างออกไป
เนตรทิพย์ทลายมายา!
หนึ่งในเคล็ดวิชาต้องห้ามของเผ่าภูตหลวนคราม มรดกสูงสุดซึ่งมีเพียงผู้เข้าใจแก่นแท้ของ ‘กฎคล้อยบัญชาเทพ’ เท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้ได้
เฟิงมู่อวิ๋นและเฟิงซานหูล้วนเผยเค้าลางความริษยาอย่างมิอาจตรวจเห็น
พวกเขาเป็นคนจากตระกูลสาขา อย่าว่าแต่ฝึกฝนเคล็ดวิชาต้องห้ามอย่างเนตรทิพย์ทลายมายาเลย จะทำความเข้าใจ ‘กฎคล้อยบัญชาเทพ’ ยังไม่อาจได้รับอนุญาต!
“ไร้มารยาท!”
หนึ่งเสียงเย็นชาพลันแค่นก้องทั่วฟ้าดิน
บนยอดเขาทมิฬ ซูอี้ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ตู้ม!
อำนาจจิตวิญญาณอันมิสามารถมองเห็นทะยานออกมาจากซูอี้ราวดาบวิถีสยบเหนือนภา
แทบจะขณะเดียวกัน ในสายตาของเฟิงซิงหยา ทั้งร่างของซูอี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นดาบวิถีเล่มหนึ่งสยบฟ้าดินปราบโลกันตร์
ภาวะดาบที่ไร้คู่เปรียบดูราวบดขยี้ทุกสิ่งแหลกเละได้!
ดวงตาของเฟิงซิงหยาเจ็บแปลบ ร่างสะท้านสั่น หยุดเคล็ดวิชาเนตรทิพย์ทลายมายาลงทันที
“เป็นพลังจิตวิญญาณที่ร้ายกาจยิ่งนัก!”
เฟิงซิงหยาประหลาดใจ
เขาเลียปาก แทนที่จะขุ่นเคือง เขากลับดูตื่นเต้นยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับได้พบเหยื่ออันโอชะไร้ใดปาน
เฟิงมู่อวิ๋นกับเฟิงซานหูอ้าปากค้าง
เนตรทิพย์ทลายมายาเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามของตระกูลพวกเขา ลือกันว่าสามารถมองทะลุมายาแห่งสวรรค์ เข้าถึงแก่นทุกดวงวิญญาณได้
ทว่ายามนี้กลับถูกหนึ่งราชันแห่งภูมิ ณ ขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงหยุดไว้ได้!
“แค่พวกเจ้าสามคนหรือ?”
บนยอดเขาทมิฬ ซูอี้เก็บตราประทับวิถีที่เพิ่งหล่อหลอมไปครึ่งเดียวและยืนขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
กล่าวคือ ใครก็ตามที่ถูกรบกวนเช่นนี้ย่อมอารมณ์ไม่ดีทั้งนั้น
“โอ้โห ฟังน้ำเสียงเข้าสิ กระทั่งเราก็ไม่มีในสายตาล่ะ”
เฟิงซิงหยาอดหัวเราะมิได้ เขาดูเมามายโซเซไปมา
“แต่เจ้าผิดแล้ว ครานี้ ข้าลงมือผู้เดียวก็พอ”
เฟิงซิงหยากล่าวยิ้ม ๆ
ร่างของเขาผอมสูงเยี่ยงแท่งไม้ไผ่ เส้นผมหร็อมแหร็มไร้ระเบียบ
ทว่ายามเขาขยับ อำนาจกฎเกณฑ์ร้ายกาจก็ปรากฏขึ้นเยี่ยงประกายดาราสีเงินเหนือสรวง งามดุจภาพฝัน
และอำนาจในร่างของเขาก็ดูราวเทพสวรรค์ปรากฏสู่โลกหล้า กดดันเสียจนทั่วฟ้าดินสั่นคลอน ทั่วทศทิศยุ่งเหยิงปั่นป่วน
เฟิงมู่อวิ๋นกับเฟิงซานหูมองหน้ากัน สีหน้าของพวกเขาดูซับซ้อน มีทั้งตกใจ เกรงกลัวและโศกเศร้าปนเป
เฟิงซิงหยาคือผู้อาวุโสคนหนึ่งจากสายตระกูลหลัก
มีการฝึกฝนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นเช่นกัน ทว่าอำนาจต่อสู้ของเฟิงซิงหยานั้นบดขยี้ตัวตนขอบเขตเดียวกันทั้งสองได้อย่างง่ายดาย!
หากเป็นในส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว ตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลายบางคนก็อาจมิใช่คู่ต่อสู้ของเฟิงซิงหยาด้วยซ้ำไป!
ประเด็นของทุกสิ่งอยู่ที่เฟิงซิงหยาสำเร็จกฎคล้อยบัญชาเทพ และได้ฝึกฝนมรดกสูงสุดของเผ่าภูตหลวนคราม!
“เจ้าหรือ?”
ซูอี้แค่นยิ้ม “ฟังคำแนะนำข้านะ อย่ารนหาที่ ไปจากที่นี่เสีย หาไม่ วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า”
ในฐานะคนนอก ความรู้เกี่ยวกับเผ่าภูตหลวนครามของเขามิมีผู้ใดในโลกหล้าเทียบได้
ความเข้าใจนี้ไม่ได้มีเพียงความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในตระกูลพวกเขา แต่ยังล่วงรู้ซึ้งถึงมรดก เคล็ดวิชา และมหาวิถีที่ตระกูลของเขามีในมือ!
ตัวเขาในอดีตชาติยามเป็นทัศนาจารย์เคยทำศึกเดิมพันกับผู้อาวุโสคนหนึ่งจากเผ่าภูตหลวนครามมาก่อน
ผลก็คือเจ้าเฒ่าผู้นั้นพ่ายแพ้หมดท่า ต้องรับใช้เป็นพาหนะให้เขาเป็นพัน ๆ ปี อับอายเกินเทียบได้…
“วันตายของข้า?”
เฟิงซิงหยาผงะไป และอดแสยะยิ้มมิได้
เขายกมือขวาขึ้น ชูนิ้วโป้งแปะบนศีรษะ “มา ข้าขอวอนตายดูสักตั้ง! หากเจ้าฆ่าข้ามิได้ ข้า… จะให้เจ้าอยู่อย่างแย่ยิ่งกว่าตาย!”
………………..