บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1278: มารับความตายเสีย
ตอนที่ 1278: มารับความตายเสีย
ท้ายที่สุด รอยยิ้มของเฟิงซิงหยาก็ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทั้งยังเจือความบ้าคลั่งบางเบา
ซูอี้อึ้งไปชั่วขณะและคาดเดาได้ทันที
คนบ้าซึ่งสติเสียเพราะสายเลือดอสูรคลั่งอีกคนแล้ว
ในเผ่าภูตหลวนครามมีสายเลือดพิเศษเฉพาะมากมาย
ในหมู่พวกเขา สายเลือดอสูรคลั่งนั้นมีความพิเศษที่สุด มันเป็นหนึ่งในสายเลือดที่มากสามารถที่สุด ทว่าผู้มีความสามารถเช่นนี้ย่อมเกิดปัญหาขึ้นกับจิตใจและสติรู้คิด
พวกเขามักจะมีนิสัยผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น
เช่นกระหายเลือด เซื่องซึมขี้เซา บ้าสงคราม ติดพนัน…
เจ้าเฒ่าจากเผ่าภูตหลวนครามที่ทัศนาจารย์เอาชนะได้เมื่อกาลก่อนนั้นติดพนัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชุดยาวผู้นี้กระหายสงคราม!
และสำหรับคนบ้าเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามแม้แต่น้อย
ร่างของซูอี้ทะยานสู่เวหา เถาวัลย์มารดาฟ้าดินพลันปรากฏขึ้นในมือขวาอย่างเงียบ ๆ ขณะกล่าวอย่างเฉยชา “มาสิ มารับความตายเสีย”
เฟิงซิงหยาหัวเราะคลั่งทวีคูณ จิตสังหารพลุ่งพล่านในดวงตา
เขาก้าวเยื้องย่างเข้าไป
ตู้ม!
วายุคลั่งโหมจากร่างของเขา บดขยี้หมู่เมฆ บริเวณโดยรอบพลันบิดเบี้ยวและพังทลาย
อำนาจกฎเกณฑ์สีเงินนับไม่ถ้วนระยิบระยับพร่างพราย ลอยผลุบโผล่ภายในวายุดุดัน
กฎคล้อยบัญชาเทพ!
อำนาจสูงสุดของเผ่าภูตหลวนคราม
เมื่อใช้มหาวิถีเช่นนี้ หนึ่งสะบัดปีกก็ถล่มเวหาดับตะวันจันทราและหมู่ดาวได้
นอกจากนั้น ยอดฝีมือของเผ่าภูตหลวนครามยังรวดเร็วยิ่งนักยามใช้งานเคล็ดมหาวิถีเช่นนี้ พวกเขาเป็นดั่งวายุเทพซึ่งสะเทือนถึงเก้าสวรรค์ได้ทันที!
และยามนี้ เฟิงซิงหยาก็ขยับ
ร่างของเขาพร่ามัวราวแปรเปลี่ยนเป็นพายุโหมสีเงิน อากาศรอบข้างพังถล่มด้วยวายุโถม
เสียงหวีดหวิวสะเทือนทั่วทิศ
เฟิงมู่อวิ๋นและเฟิงซานหูล้วนอ้าปากค้าง ก่อนจะล่าถอยไปไกล
อำนาจของเฟิงซิงหยานั้นร้ายกาจเกินไป แม้จะเป็นราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดเช่นพวกเขาก็ยังรู้สึกกลัวขึ้นมา
อาภรณ์ของซูอี้กระพือพัด
ดวงตาของเขาลึกล้ำขณะกระซิบในใจ ‘คราก่อน ทัศนาจารย์ปราบผู้อาวุโสในเผ่าภูตหลวนครามลงได้ ครานี้ ข้าน่าจะทำได้ดีกว่านั้น…’
ฉัวะ!
หนึ่งคมดาบวายุปรากฏ รวดเร็วเหลือเชื่อแทบมิอาจมองเห็น
ทว่าซูอี้พลิกดาบดุจทำนายไว้
ดาบวายุแหลกระเบิด พิรุณแสงพร่างพราวสะกดตา
เฟิงซิงหยาซึ่งอยู่ไกลออกไปเลียปาก ก่อนที่ร่างของเขาจะพลันหายไป
เปรี้ยง!
พื้นที่บนพิภพในรัศมีพันจั้งรอบกายซูอี้พลันปรากฏคมดาบวายุอัดแน่น พุ่งตรงมาเยี่ยงแสงอสนีบาต
สุญญะถูกฉีกกระชากเป็นร่องหลุมนับไม่ถ้วน
มองจากไกล ๆ ฟ้าดินถิ่นนี้ดูราวกับถูกสับเป็นชิ้น ๆ
หลวนครามเก้าทำร้าย กระบวนแรก
วายุสะบั้นฝังเวหา!
“พี่ชายร่วมตระกูลใช้ท่าสังหารออกมาแล้ว!”
เฟิงซานหูประหลาดใจ
หลวนครามเก้าทำร้าย เป็นมรดกสูงสุดของตระกูลสายหลักของพวกเขา หลวนครามสยายปีกปรกนภา เก้าทำร้ายสยบยุคสมัยเรืองเกียรติภูมิ
เมื่อการโจมตีเช่นนี้ถูกเฟิงซิงหยาปลดปล่อยออกมา มันก็สามารถสังหารราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นได้โดยง่าย และเป็นภัยถึงชีวิตต่อราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นกลางได้
เป็นวิถีที่อหังการเกินธรรมดา!
คมดาบวายุกวัดแกว่งทั่วฟ้าดิน รวดเร็วเยี่ยงอสนีบาตฉีกกระชากทั่วโลกา
และซูอี้ซึ่งอยู่ ณ ใจกลางก็ถูกคมดาบวายุนับไม่ถ้วนรุมประดังเข้าใส่ทันที
“ตายแล้วหรือ?”
ดวงตาของเฟิงซานหูกับเฟิงมู่อวิ๋นเบิกขึ้น
ทว่ากลับมีเสียงตะโกนของเฟิงซิงหยาดังขึ้นในฟ้าดิน
“รวดเร็วเสียนี่กระไร!”
ตู้ม!
ไกลออกไป ร่างของซูอี้ปรากฏขึ้นบนอากาศอย่างไร้รอยขีดข่วน
เฟิงซานหูและเฟิงมู่อวิ๋นล้วนผงะสะดุ้งรุนแรง ปรากฏว่าเมื่อครู่เป็นเพียงภาพติดตาที่ซูอี้ทิ้งไว้!
เพราะเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนผู้คนมองตามไม่ทัน จึงคิดว่าเมื่อครู่เขาถูกฆ่าไปเสียแล้ว
“ไป!”
เสียงคำรามของเฟิงซิงหยาดังก้องทั่วฟ้าดิน
หนึ่งพายุสีเงินปรากฏขึ้นบนเวหา สูงพันจั้งเชื่อมสวรรค์จรดแดน ปั่นพัดคมดาบวายุสาดกระเซ็นออกมานับไม่ถ้วน
ทั่วฟ้าดินเต็มไปด้วยคมดาบวายุบ้าคลั่ง
น่ากลัวยิ่งนัก
และขณะเดียวกัน ซูอี้ก็ลงมือ
ร่างของเขาดุจลำแสงพุ่งทะยาน วูบไหวทั่วฟ้าดิน
เมื่อมองจากไกล ๆ ก็พบว่ามีภาพติดตามากมายของซูอี้กระจายทั่วหนาแน่นไปหมด ดูราวมีเขาอยู่ทุกที่
และเมื่อซูอี้ฟาดดาบโจมตี ปราณดาบก็วูบไหวไปทั่วฟ้าดิน เงาดาบนับมิถ้วนกะพริบพรายผลุบโผล่ ยากเข้าใจได้ว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดลวง
ทุกสิ่งนั้นเป็นเพราะซูอี้เร็วเกินไป
ตู้ม!
ทั่วฟ้าดินอลหม่านยุ่งเหยิง สุญญะเต็มไปด้วยปราณดาบและดาบวายุพุ่งประชัน
และร่างของซูอี้และเฟิงซิงหยาต่างมิอาจมองตามได้ หนึ่งวูบไหวเยี่ยงแสงกะพริบ หนึ่งผลุบโผล่เยี่ยงวายุพัดโชย
ศึกประชันความเร็วสูงสุดอุบัติขึ้น
สองบุคคลซึ่งมองสงครามอยู่ห่าง ๆ ทั้งเฟิงซานหูและเฟิงมู่อวิ๋นล้วนหนาวเยือกในใจ พวกเขาล้วนใช้จิตสัมผัสตรวจตรา ทว่ามิอาจจับภาพร่างคนทั้งสองฝ่ายซึ่งประชันกันอยู่ได้!
เร็วเกินไป!
รวดเร็วดุจแสงสว่าง วูบวาบเยี่ยงแสงอสนีบาต
ความเร็วเช่นนี้สามารถทำให้ราชันแห่งภูมิส่วนใหญ่ในโลกหล้าตายคาที่ ไร้จังหวะให้ตั้งตัว!
เพียงไม่กี่อึดใจ…
ฉูด!
หนึ่งเมฆาโลหิตสะพรั่งขึ้นใต้นภา
ร่างของเฟิงซิงหยาเซออกมาจากบนอากาศ ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลจากดาบฟาดฟันเต็มร่างจนดูมิสมประกอบ
บางจุดกระทั่งกระดูกยังปรากฏให้เห็น
ดูหมดสภาพน่าเวทนา
ขณะเดียวกัน ร่างของซูอี้ก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ พลางส่ายหน้าน้อย ๆ “เท่านี้หรือ?”
อาภรณ์เขียวพลิ้วกระเพื่อมไร้รอยขัดข่วน หนึ่งหยาดโลหิตย้อยลงจากใบดาบในมือ
เฟิงซานหูและเฟิงมู่อวิ๋นอดเปลี่ยนสีหน้าอย่างตกใจมิได้ หัวใจทะยานจุกคอ
ต้องทราบว่ามรดกพลังของตระกูลพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว ไร้ผู้ใดในโลกหล้าเทียบได้
ทว่ายามนี้ เฟิงซิงหยา ผู้เป็นหนึ่งราชันแห่งภูมิขอบเขตไร้ขีดจำกัดจากตระกูลหลักกลับพ่ายแพ้ยับเยินจากศึกประชันความเร็ว!
ใครเล่าจะมิตกใจ?
“นี่คือกฎมหาวิถีใดหรือ?”
เฟิงซิงหยาถาม
ร่างของเขาเปี่ยมบาดแผล ทว่าเขาหาสนใจไม่ ดวงตาคลั่งไคล้จ้องมองซูอี้จากห่าง ๆ
“อนันตกาลจรัสแสง”
ซูอี้กล่าวเรียบ ๆ
ว่าพลาง ร่างของเขาก็หายวับสู่อากาศธาตุ
เฟิงซิงหยาสูดหายใจลึก ๆ ร่างของเขาประหนึ่งถูกแผดเผา แปรเปลี่ยนเป็นวิหคหลวนครามยาวที่มีขนาดร้อยจั้งในทันใด คู่ปีกยกสูงดุจมีดแยกเวหา ฟาดฟันลงอย่างแรง
ทั่วฟ้าดินพลันแปรปรวน ทุกสิ่งถูกกลบรัศมี
ยามนี้เอง หลวนครามสะบัดปีกราวกับต้องการทลายฟ้าดินถิ่นนี้ให้แหลกเหลว
“พี่ชายร่วมตระกูลแผดเผาเลือดแท้อสูรคลั่งแล้ว!”
มือเท้าเฟิงซานหูสั่นระรัว
“บัญชาเทพผ่าสวรรค์!”
เฟิงมู่อวิ๋นสั่นสะท้านทั้งกายใจ
ทั้งคู่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเฟิงซิงหยาโจมตีอย่างทุ่มสุดตัว ใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามแผดเผาเลือดแท้อสูรคลั่งของเขา และใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเคล็ดหลวนครามเก้าทำร้าย บัญชาเทพผ่าสวรรค์!
ทว่า ทันใดนั้น…
ฟ้าดินพลันนิ่งสงัดดุจภาพในม้วนกระดาษ
อำนาจจองจำอันมิอาจมองเห็นแผ่ขยายออก
ท่ามกลางความนิ่งงันอันแปลกประหลาดนี้ ซูอี้ถือดาบวิถีในมือ ร่างของเขาวูบไหวผ่านนภา
ฉัวะ!
ใต้ท้องนภา วิหคหลวนครามที่มีความยาวร้อยจั้งซึ่งแปรเปลี่ยนมาจากเฟิงซิงหยาประหนึ่งว่าถูกแผดเผา สองปีกยกขึ้นดุจมีดคู่ ซึ่งเผยพลังร้ายกาจ
ทว่าหัวของมันกลับกระเด็นขึ้นฟ้า
รอยดาบฟันราบเรียบเยี่ยงกระจกปรากฏขึ้นที่คอ
จากนั้น โลหิตก็ทะลักไหลเยี่ยงน้ำตก หัวซึ่งกระดอนสู่เวหานั้นเปี่ยมทั้งความตกตะลึงและลนลาน
เพียงพริบตา ทั้งร่างและหัวก็ถูกทำลายแหลกเป็นธุลีปลิวหาย
หนึ่งดาบสะบั้นหัวเฟิงซิงหยาในพริบตา!
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นจากสายตระกูลหลักของเผ่าภูตหลวนครามผู้นี้ถูกหนึ่งดาบของซูอี้สังหารยามออกท่าโจมตีสูงสุด สลายหายไป!
ภาพอันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงนี้ทำให้เฟิงซานหูและเฟิงมู่อวิ๋นชะงักค้างกับที่ ทั้งตะลึงและไร้หนทาง
ซูอี้นำไหสุราขึ้นยกดื่ม “เขาขอความตาย และข้ามอบความตายให้ สมเหตุสมผลดีหรือไม่?”
อกของเฟิงซานหูกระเพื่อมขึ้นลง ก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟัน “เจ้ากล้าขานนามและที่มาหรือไม่?”
ซูอี้เสสรวลกล่าว “พวกเจ้าไม่คู่ควรจะได้รู้ กลับไปเสีย คราวหน้าขอผู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้นะ”
กล่าวจบ เขาก็หันหลังกลับสู่ยอดเขาทมิฬ
“พี่ชายร่วมตระกูล ไปกันเถอะ”
เฟิงมู่อวิ๋นกล่าวตัวสั่น
นางตกใจครั่นคร้าม และในที่สุดก็เข้าใจว่าช่างโชคดีเพียงใดที่นางรอดมือซูอี้มาได้ในหนแรก
“ความแค้นนี้ เผ่าภูตหลวนครามของเราจะจำไว้!”
เฟิงซานหูทิ้งประโยคนี้ก่อนจะหันหลังจากไปกับเฟิงมู่อวิ๋น
ซูอี้หาได้รั้งไว้ไม่
ในทางกลับกัน เขาตั้งตารออีกฝ่ายไปเรียกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้มา
‘กาลก่อน ทัศนาจารย์ใช้การฝึกฝนขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นปลายสยบผู้เฒ่าเผ่าภูตหลวนครามในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์ลงได้ ทว่ายามนี้ ข้าในขอบเขตอสงไขยแท้เที่ยงขั้นสมบูรณ์ปราบยอดฝีมือเผ่าภูตหลวนครามในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นต้นลงได้… เทียบกันแล้วก็เกินพอ’
ซูอี้ครุ่นคิด
ทว่า หลังจากที่เขาเปรียบเทียบอย่างละเอียด ในที่สุดเขาก็พบว่าด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขา เทียบกับทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมก็ยังห่างชั้นกันมากอยู่ดี
ต้องทราบว่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมสามารถเอาชนะตัวตนขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์แบบลงได้โดยมิต้องใช้ดาบแห่งโลกา
กระทั่งยักษ์ใหญ่สูงสุดอย่างจิตรกร ชาวประมง และช่างเสื้อยังหาใช่คู่มือของทัศนาจารย์ไม่!
ซูอี้มีประสบการณ์และความทรงจำของทัศนาจารย์ เขาตัดสินคร่าว ๆ ได้ว่าตนต้องเข้าไปในขอบเขตคืนสู่สามัญก่อน ความแข็งแกร่งจึงเทียบเท่าทัศนาจารย์ยามสมบูรณ์พร้อมได้
และยามนั้น มันหมายความว่าวิถีเต๋าของเขาในชาตินี้จะเหนือล้ำยิ่งกว่าทัศนาจารย์!
เพราะถึงอย่างไร เขาอยู่ในขอบเขตคืนสู่สามัญ ทว่ากลับแข็งแกร่งเทียบเท่าทัศนาจารย์ขณะอยู่ในขอบเขตไร้ขีดจำกัดขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าวิถีดาบของเขา ณ ชาติภพนี้เหนือล้ำไปไกลกว่าทัศนาจารย์!
“ข้าจัดการกับตัวข้ามานาน จนค่อนข้างเป็นข้าแล้ว”
ซูอี้กระซิบ
ไม่ว่าจะเป็นทัศนาจารย์ เสิ่นมู่ หรือซูเสวียนจวินก็ล้วนเป็นกรรมวิถีอดีตชาติของเขาทั้งสิ้น
กล่าวได้ว่าคนทั้งหมดคือเขาเช่นกัน
และในวิถีปัจจุบันชาติ การก้าวข้ามตัวตนในอดีตชาติย่อมกล่าวได้ว่าเป็นการประชันกับตนเอง
ซูอี้นำตราประทับวิถีบรรพตทักษิณออกมาและหล่อหลอมต่อ
เมฆสายฟ้าเคลื่อนคล้อย ท้องนภามืดสลัว
ภายในซากวิหารที่พังทลาย
เฟิงอวิ๋นเลี่ยผู้สวมชุดคลุมสีม่วงและสวมมงกุฎหยกเก็บแผนที่หนังสัตว์ไป ลุกจากพื้นขึ้นก่อนกล่าว “ถึงกาลแล้ว ออกเดินทางได้”
“นายน้อย ซิงหยายังมิกลับมาเลยนะขอรับ”
ชายชราชุดขาวกล่าวท้วง
เฟิงอวิ๋นเลี่ยสั่งการเรียบ ๆ
ทว่ายามนี้เอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนอกซากวิหารอย่างขมขื่นแสนโศก
“นายน้อย ผู้อาวุโสซิงหยา… ตายแล้วขอรับ!”
ตู้ม!
อสนีบาตกัมปนาทเหนือสรวง
หัวใจของคนทุกผู้สะท้านคลอน ใบหน้าล้วนเปลี่ยนสีอย่างพร้อมเพรียง
สองมือของเฟิงอวิ๋นเลี่ยไพล่หลัง คิ้วขมวดหากัน
แสงอสนีบาตเรืองประกายแดงฉานดุจเลือดวูบไหวนอกซากวิหาร สะท้อนใบหน้าหล่อเหลาของเฟิงอวิ๋นเลี่ยแล้วเลือนหายไป
………………..