บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1279: ซากโบราณรังอีกา
ตอนที่ 1279: ซากโบราณรังอีกา
บรรยากาศอึมครึมหดหู่
เหล่าผู้มีอำนาจในเผ่าภูตหลวนครามล้วนสีหน้าดำทะมึนเยี่ยงห้วงลึกแห่งวารี
“เป็นความเลินเล่อของข้า…”
เนิ่นนานจากนั้น เฟิงอวิ๋นเลี่ยก็กล่าวเบา ๆ ขัดความเงียบขึ้น
ชายชราชุดขาวรีบร้อนกล่าว “นายน้อย เราหรือจะโทษท่านได้เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดคาดว่าคู่ต่อสู้จะรับมือยากเช่นนี้หรอกขอรับ”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยส่ายหัวน้อย ๆ “ผิดคือผิด ความตายของผู้อาวุโสซิงหยาเป็นเพราะข้า”
กล่าวจบ เขาก็ถามเฟิงซานหู “เจ้าเห็นที่มาของอีกฝ่ายหรือไม่?”
เฟิงซานหูกล่าวด้วยเสียงทุ้มลึก “ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสซิงหยาสงสัยว่าคนผู้นั้นจะเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ซุกซ่อนการฝึกฝนของตนเองขอรับ…”
เขาเล่ารายละเอียดของศึกเป็นฉาก ๆ ไม่กล้าซุกซ่อนสิ่งใดทั้งสิ้น
เฟิงอวิ๋นเลี่ยขมวดคิ้ว “กฎอนันตกาลจรัสแสง? เคยมีผู้ใดได้ยินเกี่ยวกับอำนาจกฎมหาวิถีเช่นนี้หรือไม่?”
ทุกผู้ล้วนส่ายหน้า
“หนึ่งกฎมหาวิถีซึ่งสามารถเอาชนะผู้อาวุโสซิงหยาในด้านความเร็วได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นกฎสูงสุดภูมิดาราเช่นกัน ทว่าตลอดมา เราไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นเลี่ยวูบไหว “นี่ผิดปกติมากอย่างไม่ต้องสงสัย และผู้อาวุโสซิงหยาก็เคยสงสัยว่าอีกฝ่ายจะซุกซ่อนการฝึกฝนของตน ยิ่งผิดปกติไปใหญ่”
“หรือเขาจะกลัวถูกเราจำได้?”
บางผู้กระซิบ
เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวด้วยดวงตาลึกล้ำ “ในสันเขาอีกานี้ ใครเล่าจะกลัวถูกเราพบตัว?”
ชายชราชุดขาวดูจะตระหนักบางอย่าง และกล่าวสามคำออกมาเบา ๆ “เหยียนเต้าหลิน!”
“มีความเป็นไปได้นี้อยู่จริง เพราะถึงอย่างไร สันเขาอีกาก็ตั้งอยู่ในภูมิดาราวอนสวรรค์ ถิ่นของหอเก้าสวรรค์!”
ดวงตาของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเย็นชา “นอกจากนั้น เหยียนเต้าหลินยังกล่าวไว้แต่แรกว่าจะมิเข้าพัวพันกับเรื่องนี้ มันแปลกมาก ยามนี้ดูเหมือนว่าไอ้แก่นี่น่าจะมีเจตนาร้าย!”
บางผู้อดพูดมิได้ “นายน้อยขอรับ หากเหยียนเต้าหลินลงมือจริง เขามิน่าจะมาแตกหักกับเรานะขอรับ เพราะถึงอย่างไร โอกาสก็ยังมิได้ถือกำเนิดขึ้นจริง ๆ หากเขาถูกเปิดโปงเสียยามนี้จะมิฉลาดเลย”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยพยักหน้า “เรื่องนี้ก็เป็นไปได้ แต่ข้ากล้าสรุปว่าต่อให้คู่ต่อสู้ครานี้จะมิใช่เหยียนเต้าหลิน แต่เขาต้องมีความสัมพันธ์บางอย่างกับเหยียนเต้าหลินแน่นอน อย่าลืมนะว่าสันเขาอีกานี้อยู่ในถิ่นหอเก้าสวรรค์แต่ไหนแต่ไร”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว สีหน้าทุกผู้ก็ย่ำแย่ลงมาก
“ผู้อาวุโสซานหู จำรูปลักษณ์อีกฝ่ายได้ชัดเจนหรือไม่?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยถาม
เฟิงซานหูกล่าวอย่างหนักแน่น “ต่อให้เขาแหลกเป็นเถ้า ข้าก็ยังจำเขาได้ขอรับ!”
“ได้ จำบัญชีนี้ไว้ก่อน เราไปซากโบราณรังอีกากันก่อนเถิด หากข้าอนุมานถูกต้อง คู่ต่อสู้จะไปที่นั่นด้วยแน่”
เมื่อเฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวเช่นนี้ จิตสังหารก็พลุ่งพล่านในดวงตา “ถึงยามนั้น ข้าจะคิดบัญชีกับเขา!”
เขาห่วงโอกาสที่เสาะหา ณ ขณะนี้มากกว่ามามัวล้างแค้น!
และจากการอนุมานของเขา โอกาสนี้กำลังจะเกิด
……
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
วันผันเปลี่ยน
ยอดเขาทมิฬ
ตู้ม!
ตราประทับวิถีชิ้นหนึ่งเคลื่อนผ่านนภา แสงเซียนพร่างพราย ขยี้สุญญะได้เพียงปราณแผ่วพลิ้ว
ใต้ตราประทับวิถี สองอักษร ‘บรรพตทักษิณ’ ขนาดเท่าหัวแมลงวันเรื่อเรืองชัชวาล สูงส่งศักดิ์สิทธิ์
หัวใจของซูอี้เต้นกระตุก
สมบัติชิ้นนี้แปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสง พุ่งวูบหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ซูอี้ประหลาดใจ
ต้องทราบว่าตราประทับวิถีบรรพตทักษิณเสียหายหนัก แต่ถึงอย่างนั้น ซูอี้พยายามสุดชีวิตก็ใช้พลังของมันได้เพียงครึ่ง
ร้ายกาจยิ่งนัก
“ไม่อาจทราบได้เลยว่าเจ้าแก่นั่นไปได้ตราประทับวิถีนี้มาจากหนใด”
ซูอี้นึกถึงชายชราในชุดหนังสัตว์ซึ่งบังคับอีกาสีเลือดมาลอบโจมตีเขาได้
หากอีกฝ่ายมิเลือกหนี ณ ขณะนั้น แต่กลับเลือกประชันลืมตาย ด้วยอำนาจตราประทับวิถีนี้ก็สามารถฆ่าเขาอย่างมิตั้งตัวได้จริง ๆ!
“ทว่าสมบัตินี้ก็ตกถึงมือข้าง่ายกว่า”
ซูอี้เสสรวล
เขาแน่ใจว่าตราประทับวิถีบรรพตทักษิณนี้เป็นสมบัติในขอบเขตจุติสรวง! กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติมิอาจประเมินค่าซึ่งสูงส่งล้ำเลิศจากสมบัติในขอบเขตราชันแห่งภูมิไปไกล
ทันใดนั้น ซูอี้ก็จำสิ่งหนึ่งขึ้นได้ กาลผ่านหนึ่งวันแล้ว แต่คนจากเผ่าภูตหลวนครามหาปรากฏขึ้นล้างแค้นไม่!
หรืออีกฝ่ายจะกลัว?
คงไม่
ยอดฝีมือจากเผ่าภูตหลวนครามชำระแค้นเสมอ มิมีวันสั่นกลัวยอมแพ้
นี่เป็นเรื่องที่ทราบกันดีทั่วส่วนลึกจักรวาลพร่างดาว
ทว่ายามนี้ อีกฝ่ายกลับกลั้นหายใจมิได้มาล้างแค้นทันที มีความเป็นไปได้อยู่เพียงหนึ่ง…
พวกเขาต้องมีบางสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการล้างแค้น!
“หรือจะเป็นเพราะโอกาสแห่งเซียนนั่น… ว่าไป โอกาสนี้ก็น่าจะปรากฏในเร็ววันแล้ว”
ซูอี้ครุ่นคิด
ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญนั้นเอง จู่ ๆ กลิ่นโอสถทิพย์ก็คลุ้งโชยมาเตะจมูก
ซูอี้หันไปมอง และพบว่าในสระน้ำใกล้ๆ มีหมอกเซียนเคลื่อนคล้อย แสงสว่างพลิ้ววน โอสถทิพย์ในขอบเขตจุติสรวงซึ่งหยั่งรากอยู่ภายในโอนเอนสุกงอม
ซูอี้ลุกขึ้นและก้าวตรงมา
โอสถทิพย์ในขอบเขตจุติสรวงนี้ประหลาดยิ่ง มันมีลำต้นสีเขียวหยกกระจ่างใส ใบสีม่วงขนาดราวมือทารกทั้งหมดเจ็ดใบ และมีลวดลายวิถีตามธรรมชาติ
กิ่งใบยืดตระหง่าน หมอกเซียนในสระล้วนถูกดูดหาย แปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของโอสถทิพย์จุติสรวงนี้
ท้ายที่สุด โอสถทิพย์จุติสรวงนี้ก็ทะยานขึ้นฟ้าต่อหน้าต่อตาซูอี้ราวมีชีวิต ดูราวกำลังจะหนี!
ซูอี้ยกมือขึ้นคว้า
แหใหญ่ซึ่งสานด้วยกฎเร้นลับต้องห้ามคลุมทับลงมาบนโอสถทิพย์
จิตสัมผัสของซูอี้กวาดออกครอบคลุมในทันที
และครู่ต่อมา สีหน้าของซูอี้ก็แปรเปลี่ยน
โอสถทิพย์จุติสรวงนี้มีสรรพคุณอยู่น่าจะสองแบบ หนึ่งคือเติมเต็มเสริมแกร่งพื้นฐานมหาวิถี และอีกหนึ่งคือเสริมความเข้าใจและการควบคุมพลังมหาวิถี!
“หลังจากข้าเข้าสู่ขอบเขตคืนสู่สามัญ ข้าจะเด็ดใบมันมาหล่อหลอมลองสรรพคุณโอสถนี้เสียหน่อย”
ซูอี้คิดพลางเก็บโอสถทิพย์จุติสรวงนี้ไป
จากนั้นก็ก้าวจากไปโดยมิรอช้า
……
ซากโบราณรังอีกา
ตั้งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของสันเขาอีกา เป็นหุบเหวยักษ์ใหญ่ซึ่งผืนปฐพียุบลง ดูเหมือนรังนก
แสงเซียนเจิดจ้าระเบิดสู่สรวง ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์วูบไหวพรั่งโปรย พิรุณแสงพร่างพราวเคลื่อนคล้อยราวน้ำตกระหว่างฟ้าดิน
ภาพนี้ช่างน่าเหลือเชื่อนัก ส่องสว่างสาดแสงแก่พื้นที่รอบข้างจนสว่างไสวเยี่ยงกลางวัน มีบรรยากาศสูงส่งศักดิ์สิทธิ์
หมู่เมฆาทมิฬทั่วท้องนภาล้วนถูกแสงเซียนไล่ไปจนสิ้น และธารอสนีบาตสีแดงเลือดก็แปรเปลี่ยนเป็นวังวนขนาดพันจั้งที่นี่
เบื้องใต้วังวนมีซากโบราณรังอีกาอยู่!
“วิญญาณอาสัญในธารอสนีบาตนี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกเซียนในเขาเทพอีกายามมีชีวิตทั้งสิ้น และยามนี้พวกเขาก็มารวมตัวกันเป็นธารอสนีบาตสายยาว เห็นได้ชัดว่ารอคอยให้โอกาสปรากฏ”
ในบริเวณรอบนอกของซากโบราณรังอีกา เฟิงอวิ๋นเลี่ยไพล่มือไว้เบื้องหลัง มองวังวนสีเลือดบนท้องนภาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
วิญญาณอาสัญ
ผู้ฝึกตนเซียนซึ่งสิ้นใจ ณ ยุคสิ้นกฎเกณฑ์
วิญญาณอาสัญเหล่านี้แปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง พวกมันเต็มไปด้วยอำนาจคำสาป อย่าว่าแต่ราชันแห่งภูมิทั่วไป กระทั่งตัวตนในขอบเขตไร้ขีดจำกัดยังมีโอกาสรอดริบหรี่หากถูกวิญญาณอาสัญเหล่านี้ล้อมไว้ได้!
ระหว่างเดินทางในสันเขาอีกา พวกเขาได้พบพานวิญญาณอาสัญมามากกว่าฝูง รวมไปถึงกลุ่มอีกาสีเลือด ฝูงปีศาจโลหิตและอื่น ๆ มากมาย
“โชคดีที่เราในครานี้เตรียมการพร้อมสรรพและนำ ‘หอกเทพขจัดมาร’ ซึ่งทำลายร่างวิญญาณมาด้วย จึงมิกลัววิญญาณอาสัญเหล่านี้”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวพลางมองไปยังใจกลางซากโบราณรังอีกา
ผืนพิภพแยกเป็นหลุมลึกมิอาจหยั่งก้นบึ้ง และแสงเซียนก็พุ่งทะยานมาจากก้นหลุม
ที่แห่งนั้นสว่างไสวเปี่ยมแสงพรั่งพรู พัวพันด้วยอักขระเซียนอันกดดันจิตใจ
คู่เนตรของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเร่าร้อน “ข้าสังหรณ์ว่าหยกมรดกที่บรรพชนแห่งเขาเทพอีกาทิ้งไว้ต้องอยู่ในนี้!”
ขณะนั้นเอง ชายชราชุดขาวข้างกายเขาพลันกล่าวเตือน “นายน้อย คนจากลัทธิทางช้างเผือกมาขอรับ”
ไกลออกไปในสุญญะ ตัวตนร้ายกาจกลุ่มหนึ่งทะยานมา
ผู้นำเป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมขนนก ถือดาบศึกขนาดยักษ์
เส้นผมของเขาประหนึ่งง้าว นัยน์ตาจรัสแสงเยี่ยงตะวันจันทรา หายใจเข้าออกประดุจวาตะอสนี
อวี่ฮว่าเซิง!
ผู้อาวุโสสูงสุดของลัทธิทางช้างเผือก ตัวตนขั้นปลายขอบเขตไร้ขีดจำกัด
ตัวตนบรรพกาลซึ่งหายลับจากโลกหล้าไปแสนนาน
ยามนี้ เขาพาราชันแห่งภูมิกลุ่มหนึ่งจากลัทธิทางช้างเผือกมาที่นี่
“สหายเต๋าทั้งหลายจากเผ่าภูตหลวนคราม ดาบนั้นไร้ตา ยามประชันชิงโอกาส เราทั้งหลายล้วนใช้ฝีมือตน!”
ไกลออกไป อวี่ฮว่าเซิงกล่าวขึ้น วาจาดุจอสนีบาตก้องสะท้านทั่วทิศ
“ย่อมได้”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยเสสรวลลอยชาย ดูผ่อนคลาย
เขาไม่กระทั่งคิดจะกล่าววาจาใดอื่น
ศึกชิงโอกาสนั้นมิต้องมัวถือมารยาท ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นเชลย ไม่ว่ายุคสมัยใดก็เป็นเช่นนี้
ไม่นานนัก อวี่ฮว่าเซิงก็พาทุกผู้ในฝ่ายเขาไปยังอีกฝั่งของซากโบราณรังอีกา
ไม่นานจากนั้น ผู้ฝึกตนอีกกลุ่มก็มาถึง
นั่นคือกลุ่มราชันแห่งภูมิจากตระกูลอวี่โบราณ
ในฐานะหนึ่งในแปดตระกูลราชันแห่งภูมิในจักรวาลพร่างดาว ภูมิหลังตระกูลอวี่โบราณอาจมิเลิศล้ำเท่าเผ่าภูตหลวนคราม แต่หากเป็นอำนาจแล้วก็มิต่างมากนัก
ในหมู่ผู้ที่ตระกูลอวี่โบราณส่งมาหนนี้ ผู้นำเป็นชายในชุดบัณฑิตขงจื๊อผู้มีกิริยาสง่างาม ถือพัดขนนกในมือ งามสง่าทั้งรูปลักษณ์ท่วงท่า
เมื่อได้พบคนผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือจากเผ่าภูตหลวนครามหรือลัทธิทางช้างเผือกต่างล้วนขมวดคิ้ว
อวี่ชิงอัน!
ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้เจิดจรัสที่สุดในตระกูลอวี่โบราณตลอดสามหมื่นปี!
ลำดับอาวุโสของเขาอาจไม่สูง แต่วีรกรรมของเขากล่าวได้ว่าเลื่องลือ ทำให้คนบางผู้ในขอบเขตเดียวกันต้องกริ่งเกรงเขาสามส่วน
“ผู้อาวุโสอวี่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ดาบนั้นไร้ตา แต่ละคนล้วนวัดที่ฝีมือ”
อวี่ชิงอันกล่าวยิ้ม ๆ
อวี่ฮว่าเซิงพูดอย่างไร้สีหน้า “ข้าไม่กล้าเป็นผู้อาวุโสให้เจ้าหรอกอวี่ชิงอัน ทั่วจักรวาลพร่างดาวทุกวันนี้ ใครเล่าจะไม่รู้ว่าเจ้าอวี่ชิงอันลือนามที่สุดในตระกูลอวี่ของเจ้า?”
อวี่ชิงอันแย้มยิ้มขณะทักทายเฟิงอวิ๋นเลี่ยอีกครั้ง
เฟิงอวิ๋นเลี่ยพยักหน้าน้อย ๆ ไม่ได้กล่าวอันใด
มินานหลังจากยอดฝีมือตระกูลอวี่โบราณมาถึง จู่ ๆ ก็บังเกิดเสียงคำรามลั่นสะท้านมาจากในหลุมลึกขนาดยักษ์
เหมือนเช่นเทพปีศาจกู่คำรามสนั่นนภาสะเทือนแดนดิน
จากนั้น ภายใต้สายตาทุกคู่ วิหารโบราณซึ่งปกคลุมด้วยแสงเซียนพร่างพรายก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นจากในหลุมยักษ์
………………..