บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 128 ดาบทะลวงเมฆา คว้าห้วงดาราจักร
ภายใต้ฟากฟ้าเมฆครึ้ม ใจกลางลานฝึกซ้อม
ลูกดอกที่เป็นประหนึ่งพายุฝนสาดซัดเข้าใส่ยังซูอี้เพียงผู้เดียว เสียงอันคมกล้าของมันที่แหวกผ่านอากาศ ดังก้องสะท้อนฟ้าดินประหนึ่งมวลคลื่น
หลายผู้คนต่างเผยสีหน้าซีดเผือด
อย่าได้กล่าวถึงผู้บ่มเพาะทั่วไป ต่อให้เป็นยอดฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ ตามปกติแล้วไม่มีทางคิดต่อกรกับกองทัพติดอาวุธอันพร้อมสรรพเช่นนี้
อย่างไรแล้ว ผู้บ่มเพาะวิถียุทธ์แรกก็คือคนธรรมดา ไม่ว่าเป็นยอดฝีมือเก่งกาจเช่นไร ก็เป็นเพียงร่างของมนุษย์
น่าฉงน ซูอี้ไม่แปรเปลี่ยนทิศทางก้าวเดิน เขายังคงมุ่งหน้าเข้าหาฉินเหวินเยวียนบนเวทียกสูง
ฝีเท้ามั่นคง เสื้อผ้าพลิ้วไสว
ภายใต้สายตาไม่เชื่อของผู้คน ลูกดอกส่วนใหญ่เคลื่อนผ่านตัวเขาฉิวเฉียด หาได้ทำร้ายใดไม่
แต่ดาบบงการฟ้าดินในมือกลับขยับเคลื่อนไหวประหนึ่งมีชีวิต!
เคร้ง เคร้ง…
เสียงการปะทะดังต่อเนื่อง ลูกดอกมากมายก่อนพวกมันทันเข้าใกล้ซูอี้ จะถูกตัดออกร่วงหล่นกับพื้น
ภาพฉากนี้ทำเอาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมึนงง รวมถึงชะงักงัน
เผชิญลูกดอกที่ราวกับเป็นห่าฝน อีกฝ่ายกลับยังกล้ารุกคืบต่อโดยไร้รอยขีดข่วน ผู้ใดบ้างจะไม่นึกทึ่ง?
พบเห็นซูอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะลูกดอกหน้าไม้ เสียงตะโกนสั่งดังปรากฏขึ้นอีกครั้งในลานฝึกฝน
“บุก!”
รอบด้านลานฝึกฝน กลุ่มคนในชุดเกราะหนักติดอาวุธเช่นหอกและง้าว ต่างแปรเปลี่ยนรูปขบวนรบ ถาโถมเป็นประหนึ่งพายุโหม พุ่งเข้าหาซูอี้ผู้เดียวดาย
ทหารนับพัน ขบวนรบกล้าแกร่ง ปลายหอกหนาแน่นเปรียบดังป่าไม้!
ทหารชั้นหัวกะทิสังกัดจวนผู้ว่าการเหล่านี้ต่างได้รับการฝึกรับศึกอย่างหนักหนา
นี่คือหนึ่งในไพ่ตายของฉินเหวินเยวียน
ด้วยพละกำลังของกองทัพนี้ รวมกับกลยุทธ์มืดฟ้ามัวดิน ต่อให้สุดท้ายไม่อาจสังหารซูอี้ แต่สภาพร่างกายก็สมควรหมดเรี่ยวแรง!
ซูอี้ยืนนิ่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย
เขาไร้ความกลัวเกรง เพียงแต่รู้สึกนึกรำคาญ
ประหนึ่งพยัคฆ์ที่พบเจอฝูงหนูบุกเข้าใส่
วิ้ง!
ซูอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ปราณวิญญาณแท้จริงภายในกายไหลหลั่งสู่ดาบบงการฟ้าดิน
เสียงคำรามดาบเลือนลั่นในฟากฟ้าแดนดิน
คมดาบเกิดประกายแสงสีครามเจิดจ้า ประหนึ่งแสงวิญญาณเคลื่อนตัว ลวดลายอักษรบัญญัติซึ่งถูกแกะสลักไว้ ได้ปรากฏขึ้น
‘คว้าล้ำลึก’
มันคือการคว้าเอาความลึกล้ำของฟ้าดินมาควบคุม!
ในแง่การกระทำ มันคือการนำเอาฟ้าดินมาใช้ประหนึ่งเป็นของส่วนตน
“ฆ่า!”
เสียงคำรามเลือนลั่นภายใต้ฟากฟ้า เสียงชุดเกราะอันหนักอึ้งพร้อมคมหอกและง้าว มันเข้าปิดล้อมสังหารจากทั่วทิศทาง
หอกและง้าวจำนวนเหลือคณานับทิ่มแทงใส่ซูอี้
ภาพฉากนี้ หลายผู้คนต่างต้องสูดลมหายใจเข้าลึก หัวใจนิ่งค้าง
แต่ชั่วพริบตา ซูอี้ยกดาบบงการฟ้าดินขึ้น ชี้ขึ้นไปบนฟากฟ้าราวกับท้าทายสวรรค์
ตูม!
ภาพอันตระการตาเผยปรากฏ มวลเมฆหนาเหนือกายของซูอี้ระเบิดเสียงคำรามในฉับพลัน สายฝนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมาประหนึ่งห้วงดาราร่วงหล่น
แต่ยามเมื่อมองขึ้นไป ผู้คนจะพบเห็นรูโหว่ประหนึ่งฟากฟ้าถูกเบิกออก เป็นภาพอัศจรรย์เหนือกว่าใครจะจินตนาการ
“นี่…”
ผู้คนในลานฝึกต่างตื่นตะลึง ปรมาจารย์ทั้งหลายสีหน้าแปรเปลี่ยน
ดาบทะลวงชั้นเมฆ?
พลังอำนาจเช่นนี้ ใช่ผู้คนธรรมดาสามารถควบคุมได้หรือ?
กองกำลังที่บุกเข้าหาซูอี้ ยามนี้แตกตื่นต่อภาพฉากที่พบเห็น สภาวะของพวกเขาเกิดผันแปร
ชั่วเวลานี้ที่เม็ดฝนร่วงหล่น จู่ ๆ มันราวกับถูกดูดกลืนโดยแรงดึงดูดที่ไม่อาจมองเห็น เหล่าเม็ดฝนที่สะท้อนแสงส่องประกายเคลื่อนไปลอยล้อมปกคลุมยังดาบบงการฟ้าดินในมือซูอี้ ราวกับดวงดาวนับพันโคจรโดยมีดาบเป็นศูนย์กลาง
หนึ่งดาบดึงห้วงดาราจักร ฟ้าดินสั่นสะเทือน!
ชั่วพริบตา ซูอี้ราวกับดึงห้วงดาราจักรเบื้องบนฟากฟ้ามาครอบครองเป็นของตน อำนาจยิ่งใหญ่เหนือฟ้า ประหนึ่งพลังเทพเซียน สะท้านสะเทือนโลกหล้า
กระทั่งร่างของเขายังเปลี่ยนไปประหนึ่งมายาลวงตา
ตูม!
ทันใดนั้น เมื่อซูอี้สับดาบฟาดฟันเบื้องหน้า กองกำลังในชุดเกราะนับร้อยชีวิตในพื้นที่สิบจั้งรอบกาย ประหนึ่งสวรรค์ลงโทษทัณฑ์ ชุดเกราะพวกเขาระเบิดออกราวเศษกระดาษ ร่างกายถูกทำลาย เลือดเนื้อปลิวกระเซ็น แขนและขาขาดวิ่น เกิดเป็นแอ่งเลือดเนื้อผสานรวม กระจัดกระจายทั่วทั้งบริเวณ
ไกลห่างจากบริเวณสิบจั้ง กองกำลังในชุดเกราะหนาที่ยังเหลือรอดต่างนิ่งงัน ใจพวกเขาแทบกระดอนออกจากอก
ภายในระยะสิบจั้ง กองกำลังร่วมร้อยคนที่เมื่อครู่มีชีวิต ยามนี้กลับกลายเป็นเศษเนื้อแหลกเละตามพื้น เบ่งบานออกเป็นสายธารโลหิต!
ภาพฉากนองเลือดนี้ เป็นผลให้ผู้คนที่อยู่ไกลห่างเกิดนิ่งค้าง กระทั่งกรีดร้องออก
“น่าสะพรึงนัก!”
“นี่มันวิชาเซียนประการใด?”
“ดาบทะลวงเมฆ หยดน้ำร่วงหล่นจากฟากฟ้าสังหารศัตรู นี่ไม่ใช่อะไรที่มนุษย์ธรรมดาจะควบคุมได้แล้ว!”
“มีเพียงเทพเซียนเดินดินในตำนานจึงจะครอบครองความสามารถเช่นนี้ได้!”
…เสียงฮือฮายังคงดำเนินต่อไป
จางจือเหยียนและหยวนอู่ทงต่างแตกตื่น นับเป็นโชคดีที่พวกเขาได้พบเห็นปาฏิหาริย์แห่งเทพเซียนเดินดิน
ภาพฉากที่ได้เห็นจึงทำพวกเขาบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นเป็นครั้งแรก
ซูอี้ผู้นี้คือเทพเซียนเดินดินผู้ปิดซ่อนการบ่มเพาะเอาไว้หรือเปล่า?
ฉินเหวินเยวียนเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน
เขาเองยังนึกคิดเช่นเดียวกัน ใจขณะนี้เกิดเป็นความหนักอึ้งอันล้นพ้น
“ไสหัวไป!”
ที่ในลาน ซูอี้ถือดาบในมือ สายตาลุ่มลึกจับจ้อง ถ้อยคำกล่าวออกเย็นเยือก
ครืน…
กองกำลังในชุดเกราะหนักซึ่งถูกฝึกฝนอย่างดีต่างสั่นเทา พวกเขาหวาดเกรงจนถอยหนี ประหนึ่งนกหวาดเกรงเสียงประทัด
หนึ่งดาบสังหารร้อยผู้คน ผู้ใดบ้างจะไม่หวาดกลัว?
ในสายตาของผู้อื่น ซูอี้ในชั่วเวลานี้เปรียบดังเทพเซียนเดินดิน ไกลโพ้นจากที่ผู้คนธรรมดาเช่นพวกเขาสามารถต่อกรได้!
หาได้มีผู้ใดกล้าเยาะเย้ยการเผ่นหนี
หากเป็นพวกเขา ก็คงแตกตื่นและไม่กล้าต่อต้านเช่นเดียวกัน
“เจ้ายังมีอะไรอีก จงใช้มันออกมา”
ซูอี้ก้าวเดินต่อ ดวงตายังคงเฉยชาเช่นเคย
มวลเมฆบนฟากฟ้ารวมตัวเช่นเดิม รูโหว่ที่เคยปรากฏไม่มีอีกต่อไป
กระนั้น พลังอำนาจหนึ่งดาบก็ยังคงตราตรึงในใจผู้คน
“ผู้น้อยฉินยอมโค้งศีรษะและยอมรับ มีสิ่งใดแปรเปลี่ยนชีวิตพ่อลูกผู้นี้ได้บ้าง?”
ที่บนเวทียกสูง ฉินเหวินเยวียนกล่าวคำเสียงแหบแห้ง
ชั่วเวลานี้ เขาได้ตระหนักแล้วว่าไพ่ตายที่ตนตระเตรียมเอาไว้ ต่อหน้า ‘อำนาจสวรรค์’ เช่นนี้ไร้ค่าเพียงใด
ทางด้านฉินเฟิงนั้นแตกตื่นหมดสิ้น เป็นความหวาดกลัวจนตัวแข็งค้างกับพื้น
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
ซูอี้ยังคงก้าวเท้า เดินขึ้นยังบนเวทีกว้างยกสูง ร่างสูงสง่าปรากฏอย่างเฉยชา
ชิ้ง!
ฉินเหวินเยวียนไม่กล่าววาจาอื่นใดอีก แต่ดึงกระบี่ข้างเอวตนออก สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง เผยซึ่งสภาวะที่ปรมาจารย์ผู้หนึ่งพึงมี
สภาวะปราณวิญญาณในร่างแปรเปลี่ยนในพริบตา ความกล้าและความเยือกเย็นบังเกิด พริบตาหนักแน่นราวกับเป็นขุนเขา ตัวเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่ชางถู!
“เช่นนั้นฉินผู้นี้คงได้แต่ต้องสู้จนตัวตาย!”
ฉินเหวินเยวียนใช้กระบี่ลั่นการโจมตีออก
เคร้ง!
ปราณกระบี่อันไร้เทียบเปรียบโหมกระพือราววายุคลั่ง เคลื่อนผ่านฟากฟ้า พุ่งทะยานหาซูอี้
คมกระบี่เผยประกายแดงฉานร้อนแรงประหนึ่งถูกรนโดยอัคคีอมตะ
ในสายตาหลายคนที่รับชมต่างเกิดรู้สึกหวาดเสียวอยู่ภายใน
กระทั่งหยวนอู่ทงและจางจือเหยียนยังต้องหรี่ดวงตา ได้ตระหนักทันทีที่อีกฝ่ายออกกระบวนท่า ฉินเหวินเยวียนทุ่มเทเรี่ยวแรงหมดสิ้น ใช้เคล็ดวิชาเอกลักษณ์ของตน ‘วายุอัคคีกระบี่สะบั้น’ ออกมา!
มันคือหนึ่งในเคล็ดวิชาขั้นสวรรค์อันสูงล้ำ ยามใดใช้งาน กระบี่จะรวดเร็วเปรียบดังสายลม อำนาจร้อนแรงประหนึ่งอัคคี เป็นสภาวะพลังอันยิ่งใหญ่
ซูอี้ส่ายศีรษะ ข้อมือขยับเล็กน้อย ดาบบงการฟ้าดินในมือเสียดแทงออกเรียบง่าย
ไม่สะทกสะท้านใด ประหนึ่งตอบรับโดยธรรมชาติ
เคร้ง!
กระบี่ในมือฉินเหวินหยวนถูกต้านรับ มันไม่อาจรุกคืบไปต่อ
ประกายอัคคีสาดกระเซ็น ซูอี้โคจรพลังอีกครา ดาบบงการฟ้าดินทอประกายแสงเย็นเยือก ตวัดกระบี่ของอีกฝ่ายเปิดช่องโหว่ก่อนจะเสียบแทงฉับพลันไปยังเป้าหมาย
ฉึก!
แสงสีครามปลายดาบทิ่มแทงหน้าอกฉินเหวินเยวียน ร่างนั้นดิ้นรนอยู่ครู่ ก่อนจะกลิ้งกระเด็นไปยังด้านข้างหลายตลบ จนแทบร่วงหล่นจากเวทีพื้นที่ยกสูง
เสื้อผ้าด้านหน้านั้นกระจุยกระจาย แต่โชคยังดีที่แว่นอันหนึ่งบดบังตำแหน่งหัวใจ มันปรากฏรอยดาบฝังลึกบนผิวกระจก
เห็นได้ชัด ว่าแว่นนี้ช่วยชีวิตฉินเหวินเยวียนเอาไว้!
แม้กระนั้น หลายคนที่นี้ก็ยังต้องอ้าปากค้างตื่นตะลึง
ก่อนหน้านี้มู่ชางถูประลองกับซูอี้ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พาลให้จิตสำนึกของผู้คนต่างคิด ว่าซูอี้ไม่ควรสังหารฉินเหวินเยวียนได้ง่ายนัก
แต่ท้ายที่สุดความเป็นประจักษ์ ว่าเพียงหนึ่งดาบลงมือ หากไม่มีโชคช่วย ฉินเหวินเยวียนคงดับสิ้น!
“เป็นไปไม่ได้!”
ฉินเหวินเยวียนคล้ายไม่อาจยอมรับ กระทั่งคำรามกราดเกรี้ยว
เขาไม่นึกว่าตนเองจะด้อยยิ่งกว่ามู่ชางถู
ซูอี้ราวพบเห็นความคิด เสียงแค่นกล่าวคำออก “ก็แค่ปรมาจารย์คนหนึ่ง คิดว่าคู่ควรเป็นศัตรูกับซูผู้นี้งั้นหรือ?”
ก่อนจะทันสิ้นคำ ดาบในมือขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง
มันเป็นดาบที่ขยับเคลื่อนไหวเรียบง่าย แต่มากพอนำพาความสิ้นหวังแก่ฉินเหวินเยวียน ว่าไร้หนทางหลบหนี ประหนึ่งเผชิญตาข่ายฟ้าดินจับตัวเอาไว้
“ตาย!”
ฉินเหวินเยวียนคำราม กระบี่ในมือขยับออกซึ่งหน้า ท่วงท่าประหนึ่งผ่าหินหยก ตัวเขาคิดลากซูอี้ตกตาย
เพียงชั่วอึดใจ ข้อมือเขาเจ็บปวดสาหัส กระบี่ในมือร่วงหล่น
ถัดจากนั้น หนึ่งดาบทิ่มแทงลำคอ และทะลวงผ่านไป
อั่ก!
โลหิตสาดกระเซ็น
“พี่ชายข้า… จะ…จะล้าง…จะล้างแค้นให้ข้า!”
น้ำเสียงฉินเหวินเยวียนติดขัด ร่างกายอ่อนแรง สีหน้าเจ็บปวด แสดงความไม่ยินดี โทสะ และนึกเสียใจ
ซูอี้ชักดาบกลับ ถ้อยคำประชดประชันเอ่ยตอบ “ขอให้มาเถอะ”
พลั่ก!
ร่างฉินเหวินเยวียนร่วงหล่นจากเวทียกสูงสู่พื้นเบื้องล่าง นัยน์ตาเบิกกว้าง ตัวเขาไม่ได้ตายโดยสงบ
ฝูงชนที่รับชมต่างเงียบงัน
ปรมาจารย์เช่นจางจือเหยียนเกิดหวาดกลัว ความหนาวเย็นโลดแล่นผ่านแผ่นหลัง
ฉินเหวินเยวียน ยอดฝีมือทรงอำนาจแห่งมหานครอวิ๋นเหอ ผู้มีอิทธิพล และผู้ที่เป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์แห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอกว่าสามสิบปี สุดท้ายกลับจบชีวิตเช่นนี้!
ผู้ใดบ้างจะไม่ตกตะลึง?
ผู้ยิ่งใหญ่มากมายในพื้นที่ พวกเขาต่างแตกตื่น และหวาดกลัวไม่แพ้กัน
เรื่องนี้มันหนักหนาและชวนพรั่นพรึงยิ่งกว่าการเอาชนะมู่ชางถู
คนหนุ่มรุ่นใหม่ผู้หนึ่ง กระทำได้ถึงเพียงนี้ จิตใจพวกเขาเกิดว่างเปล่า
ทุกสิ่งอย่างที่ได้เห็นวันนี้ มันราวกับกาพย์แห่งตำนาน นองด้วยเลือด ตื่นตะลึง และเหลือเชื่อ!
หวงเฉียนจวิน หยวนลั่วซี หยวนลั่วอวี่ และอีกหลายคนต่างเงียบงัน ในใจพวกเขาต่างอัดแน่นด้วยความตระหนกยากบรรยาย
“เร่งรีบสังหารโจรชั่วผู้นี้! เร็วเข้า!”
ชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องหวาดกลัวดังปรากฏ ฉินเฟิงกำลังหลบหนีอย่างแตกตื่น ประหนึ่งผู้ไร้ซึ่งสติและคลุ้มคลั่ง
ซูอี้ขยับเท้าเล็กน้อย กระบี่ของฉินเหวินเยวียนที่ร่วงหล่นกับพื้น มันถูกคว้าจับขึ้น ก่อนที่เขาจะขว้างโยนออกไปเรียบง่าย
ฟึ่บ!
ระยะสิบจั้ง ร่างฉินเฟิงก็ถูกกระบี่ทะลวงแผ่นหลัง ร่างล้มร่วงหล่นกับพื้น ตกตายด้วยประการนี้
จนคนตกตาย หาได้มีผู้ยิ่งใหญ่คนใดภายในที่นี้หาญกล้า เข้าช่วยเหลือบุตรชายแห่งผู้ว่าการเขตปกครองแม้สักคน
ภาพฉากที่ได้เห็น มันทำผู้คนสะท้านใจอีกครา
ก่อนหน้านี้ซูอี้กล่าวว่า คิดสังหารฉินเหวินเยวียนและบุตรชาย หลายคนต่างไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง และไม่เชื่อว่าจะกระทำได้
ทว่าเวลานี้ พวกเขาได้แต่นิ่งเงียบ
“ผู้ใดมีเรื่องราวคิดสะสางกับซูอี้ผู้นี้อีก?”
บนเวทียกสูง ซูอี้กวาดสายตามองพร้อมกล่าวคำด้วยอาการอันสงบ
ถ้อยคำยังคงดังสะท้อนในพื้นที่ลานฝึกฝนอยู่นาน ทว่าไม่มีผู้ใดตอบรับ
ซูอี้เพียงลำพัง เอาชนะผู้นำสำนักดาบชิงเหอ ทลายกองทัพติดอาวุธและชุดเกราะนับพัน สังหารผู้ว่าการเขตปกครองและบุตรชายด้วยดาบ!
ผู้ใดยังหาญกล้าตอบรับคำถามนี้?
หลังกวาดมอง ซูอี้ไม่คิดประหลาดใจ
เขามองยังฟากฟ้า เก็บดาบบงการฟ้าดิน พร้อมถือร่มกระดาษไว้ในมือข้างหนึ่ง
ยามเมื่อร่มกระดาษเบ่งบานออก
ซ่า~
มวลเมฆหนาบนฟากฟ้า พวกมันราวกับรอคอยได้ปลดปล่อยเม็ดฝนที่อัดอั้น
เม็ดฝนร่วงหล่นหนักหนา ประหนึ่งพวกมันยินดี!