บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 1280: เข้าสู่วิหารเซียน
………………..
ตอนที่ 1280: เข้าสู่วิหารเซียน
วิหารเซียน?
ทุกผู้ล้วนตกตะลึง ดวงตารุ่มร้อน
ณ ใจกลางซากโบราณรังอีกา เพลิงแสงในสะดือสันเขาระเบิดออก เมฆเซียนละล่อง และวิหารลึกลับหลังหนึ่งก็ค่อย ๆ ลอยสู่เวหา ทอแสงเซียนสู่นภา
ทั่วฟ้าดินสว่างไสว
ร่างหนึ่งพลันพุ่งเข้าไปยังวิหารเซียน
ยอดฝีมือทั้งหลายจากเผ่าภูตหลวนคราม ลัทธิทางช้างเผือกและตระกูลอวี่โบราณล้วนตะลึงนิ่ง เพราะร่างนั้นมิได้มาจากสามขุมกำลังใหญ่ของพวกเขา!
มิต้องสงสัยเลยว่ามีบางผู้คิดชิงลงมือ ฉวยโอกาสปล้นบ้านยามไฟไหม้
เฟิงอวิ๋นเลี่ยแค่นเสียงอย่างเย็นชาและกำลังจะออกไปขวาง
ทว่าภาพอันน่ากลัวหนึ่งพลันปรากฏ แสงเซียนพุ่งออกมาจากวิหาร สลายร่างที่พุ่งเข้าไปมิเหลือดี!
เพียงพริบตา วิญญาณก็ลอยจาก
ทุกผู้อ้าปากค้าง สันหลังเย็นวาบ
พวกเขาล้วนเห็นชัดเจนว่าผู้ที่ชิงลงมือนั้นเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตไร้ขีดจำกัด
ทว่าเขากลับไร้จังหวะให้หลบเลี่ยง ถูกถล่มโจมตีสิ้นชีพคาที่!
ทุกผู้รู้สึกราวถูกน้ำเย็นเฉียบราดหัวหนึ่งถังใหญ่ สงบสติลงทันที
แม้โอกาสจะแสนเย้ายวน แต่ก็ยังต้องมีชีวิตเพื่อให้ได้มา วิหารเซียนลึกลับซึ่งลอยสู่ฟ้านั้น มิต้องสงสัยเลยว่ามิใช่ใครก็เข้าไปได้
ทั่วฟ้าดินสว่างไสวเยี่ยงกลางวัน วิหารเซียนลอยค้างกลางเวหา
ทั่ววิหารเรียบง่ายแต่โอ่อ่าเยี่ยงทองเทวะเทหลอม เปี่ยมด้วยบรรยากาศเคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์
บนชายคาวิหารเซียนมีรูปปั้นสัตว์ร้ายมากมาย ทั้งเถาอู้ หงส์เพลิง ปี้อัน ซวนหนี เซี่ยจื้อ วานรชาดและอื่น ๆ
พวกมันล้วนอาบแสงเซียน ดูราวมีชีวิต
เหนือวิหารเซียนมีป้ายลอยค้างอยู่พร้อมอักษรปีศาจโบราณว่า ‘หอกาสวรรค์’
ประตูวิหารเซียนเปิดอยู่ ทว่ากลับปกคลุมด้วยหมอกเซียนหนาทึบ การมองภาพภายในวิหารให้ชัดเจนเป็นไปมิได้
“ว่าแล้วเชียว เป็นวิหารที่ขุมกำลังเซียนสูงสุด ‘เขาเทพอีกา’ ในยุคสิ้นกฎเกณฑ์ทิ้งไว้”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าวกับตนเอง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ผู้อาวุโสอื่น ๆ ล้วนตื่นเต้นไม่ต่าง
วิหารเซียนนี้เหนือธรรมดาเกินไป ปกคลุมด้วยหมอกเซียน เคร่งขรึมศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเช่นวิหารพำนักเซียนตามคำร่ำลือ
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงกรีดร้องก็ดังมาจากฝั่งลัทธิทางช้างเผือก
ชายชุดแดงผู้หนึ่งยกมือขึ้นกุมศีรษะ ร่างโอนเอน สีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด
อวี่ฮว่าเซิงกล่าวเตือนเสียงต่ำ “อย่าใช้จิตสัมผัสอีก!”
ทุกผู้ล้วนพรั่นพรึง ตระหนักแล้วว่าชายชุดแดงผู้นี้ลอบใช้จิตสัมผัส พยายามตรวจสอบภาพภายในวิหารเซียนนี้ ทว่าก็ถูกผลกระทบโต้กลับ!
บรรยากาศอึมครึมไปชั่วขณะ
วิหารเซียนบังเกิด โอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อม
ทว่าเมื่อครู่ ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดผู้หนึ่งถูกสังหารในพริบตา และครานี้ กระทั่งใช้จิตสัมผัสสำรวจยังทำมิได้ ใครเล่าจะไม่กลัว?
ชั่วขณะนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าลองทำการใดอีก
“นายน้อย ให้ตาเฒ่าไร้ค่าผู้นี้ลองดูเถิด”
ในฝั่งเผ่าภูตหลวนคราม ชายชราชุดขาวลุกขึ้น
“ระวังด้วย หากสังเกตเห็นสิ่งใดมิชอบมาพากล ถอยทันที อย่าบุกเข้าไปนะ”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยกล่าว
ชายชราชุดขาวพยักหน้า ร่างของเขาทะยานสู่เวหา เดินเข้าไปยังวิหารเซียนทีละก้าว
สายตาทุกคู่จับจ้องเป็นตาเดียว
“เตรียมตัวลงมือ หากมีโอกาส ลงมือได้เลย”
ประกายในตาของอวี่ฮว่าเซิงวูบไหว ถ่ายทอดเสียงต่อคณะลัทธิทางช้างเผือกที่เหลือ
ขณะเดียวกัน อวี่ชิงอันก็บอกยอดฝีมือจากตระกูลอวี่โบราณให้เตรียมตัวเช่นกัน
บรรยากาศเงียบสงัดกดดัน
เมื่ออยู่ห่างจากวิหารเซียนร้อยจั้ง ชายชราชุดขาวพลันใช้ร่มสำริดคันหนึ่งขวางไว้ตรงหน้าตน
เปรี้ยง!!!
แสงเซียนพุ่งเข้ากระแทกคันร่ม
ทันใดนั้น ร่างของชายชราชุดขาวก็ถูกกระแทกกระเด็นไป ร่มสำริดในมือแหลกสลาย
ชายชราชุดขาวตะลึงอึ้ง ถอยกลับไม่กล้ามุ่งหน้าเข้าไปใกล้อีก
ภาพนี้ทำให้ทุกผู้รู้สึกยากรับมือ
แสงเซียนนั้นร้ายกาจเกินไป มันกวาดออกมาจากประตูหอกาสวรรค์ บดขยี้ราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดได้โดยง่าย ยากต่อกรไหว
ทว่าหากหยุดลงที่นี่ ก็มิมีผู้ใดเต็มใจ
ในช่วงกาลต่อมานี้ เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลอวี่โบราณและลัทธิทางช้างเผือกก็แยกกันเข้าไปทดสอบ
ทว่า ไม่ว่าจะใช้เคล็ดวิชาหรือสมบัติใดก็ไร้ผล
สิ่งนี้ทำให้หัวใจทุกผู้หนักอึ้ง
โอกาสอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ แต่กลับคว้าไว้มิได้ ช่างแสนทรมานยิ่งนัก
ทันใดนั้น ก็มีหนึ่งเสียงก็หัวเราะขึ้น
“หากไม่มีผู้ใดสนใจ ก็ให้ข้าลงมือแล้วกัน”
พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็เหยียบย่างสู่อากาศเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
แสงเซียนทั่วฟ้าดินสว่างไสวเจิดจ้า อาบลงบนร่างของเขา ทำให้ดูสูงส่งเหนือผู้ใด
เขาคือซูอี้
“นายน้อย นั่นเขา!”
สีหน้าของเฟิงซานหูมิสู้ดี เขากัดฟันเค้นเสียง
“ใช่เจ้าค่ะ เขาฆ่าผู้อาวุโสซิงหยา!”
ดวงตาของเฟิงมู่อวิ๋นเย็นชา
“คนผู้นี้ช่างกล้าจริง ๆ…”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยขมวดคิ้ว แปลกใจยิ่งนัก มิคาดเลยว่าตัวตนผู้สังหารเฟิงซิงหยาจะกล้าเผยร่องรอยชัดเจนเพียงนี้
“นายน้อย ฉวยโอกาสนี้สังหารสัตว์ร้ายนี่ก่อนเถอะขอรับ!”
บางผู้เข่นเขี้ยว กระเหี้ยนกระหือรืออยากล้างแค้น
“ทนไปก่อน”
เฟิงอวิ๋นเลี่ยสูดหายใจลึก ๆ “หากเขาตายหน้าวิหารเซียนนั่น ย่อมดีที่สุด”
ยามนี้มียอดฝีมือจากลัทธิทางช้างเผือกและตระกูลอวี่โบราณอยู่ในละแวก เฟิงอวิ๋นเลี่ยมิต้องการลดคู่แข่งให้พวกเขาเหล่านี้
“ไฉนไม่ลงมือเสียเล่า?”
หลังซูอี้มาถึง เขาก็มองไปยังทุกผู้จากเผ่าภูตหลวนคราม
เฟิงอวิ๋นเลี่ยและคณะล้วนผงะอึ้งราวมิอยากเชื่อ
“นี่เจ้าจงใจหาเรื่องหรือ?”
น้ำเสียงของเฟิงอวิ๋นเลี่ยเย็นชา
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “แล้วเช่นไร?”
เฟิงอวิ๋นเลี่ย “…”
เหล่าผู้ทรงอำนาจจากเผ่าภูตหลวนครามล้วนเดือดดาล แทบรั้งจิตสังหารในใจมิอยู่
ว่าถึงผู้เย่อหยิ่งก็เคยเห็นอยู่ แต่มิเคยพบพานความสามหาวเยี่ยงนี้!
ไกลออกไป เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ยอดฝีมือจากตระกูลอวี่โบราณและลัทธิทางช้างเผือกก็อดประหลาดใจมิได้จนต้องมองซูอี้ใหม่อีกครั้ง
“พวกเจ้ารู้ไม่หรือว่าคนผู้นี้คือใคร? กล้ายั่วยุเผ่าภูตหลวนครามตรง ๆ ไม่กลัวตายหรือไร?”
อวี่ฮว่าเซิงเอ่ยขึ้น
เขาไม่ได้ปรากฏตัวบนโลกหล้าเสียนาน แทบไม่อยากเชื่อว่าจะมีชายหนุ่มผู้ใจกล้าเช่นนี้อยู่ด้วย
เหล่าราชันแห่งภูมิจากลัทธิทางช้างเผือกล้วนส่ายหน้า
ขณะเดียวกัน อวี่ชิงอันและคณะรอบกายต่างก็กำลังคุยกันเรื่องนี้เช่นกัน ทว่าน่าเสียดายที่ก็ไม่มีผู้ใดทราบที่มาของชายหนุ่มชุดเขียวเช่นกัน
ท้ายที่สุด เฟิงอวิ๋นเลี่ยก็สงวนท่าที หาโจมตีไม่
เขามองซูอี้อย่างสุขุมด้วยนัยน์ตาเย็นชา “จำไว้ว่า ยามนี้เจ้าสามหาวเพียงไร ยามตายก็จะอนาถเพียงนั้น!”
ซูอี้แย้มยิ้ม กล่าวเสียงลุ่มลึก “เป็นวาจาที่ดี”
กล่าวจบ เขาก็มิสนใจเหล่ายอดฝีมือจากเผ่าภูตหลวนครามอีก และเดินไปยังวิหารเซียนห่างออกไป
มือซ้ายของเขา ชิ้นหยกสั่นสะเทือนเบา ๆ
มิต้องสงสัยเลยว่าเว่ยซานติดอยู่ในวิหารเซียนนั่น!
และนี่คือสิ่งที่ทำให้ซูอี้ประหลาดใจ
ต้องทราบว่าจากวาจาของหลูอวิ๋น ผู้บวงสรวงสวรรค์แห่งหอเก้าสวรรค์ เว่ยซานอยู่ในสันเขาอีกามาตั้งแต่เก้าปีก่อน
และวิหารเซียนนี่ก็เพิ่งโผล่มาในคืนนี้!
นี่หมายความโดยมิต้องสงสัยว่าเว่ยซานพบที่แห่งนี้และถูกขังอยู่ข้างในเก้าปีก่อนวิหารเซียนปรากฏ!
“เจ้านั่นไปจริงแฮะ”
“ต่างอันใดกับส่งตนเองไปตายเล่า?”
“รอดูเถอะ”
ยามนี้ ทุกสายตาต่างมองไปที่ซูอี้
พวกเฟิงอวิ๋นเลี่ยสะกดกลั้นโทสะกรุ่นอก อยากให้ซูอี้ตายหน้าวิหารเซียน แต่ขณะเดียวกันก็มิอยากให้เขาตายเช่นนี้ มันง่ายเกินไปสำหรับเขา
เป็นอารมณ์อันย้อนแย้งยิ่ง
ส่วนพวกอวี่ฮว่าเซิงจากลัทธิทางช้างเผือกและอวี่ชิงอันจากตระกูลอวี่โบราณล้วนมองเฉย ๆ
พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าผู้มากประสบการณ์ในโลกหล้า ย่อมรู้ว่าครานี้ต้องปล่อยไปมิขวาง
ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด
วิหารเซียนอันเจิดจรัสโอ่อ่าลอยนิ่งเหนือเวหา ศักดิ์สิทธิ์เคร่งขรึม
เหนือท้องนภา วังวนธารยาวแห่งอสนีบาตสีเลือดเองก็หยุดนิ่ง ปราณที่แผ่ออกมาชวนให้ผู้คนใจหาย
บรรยากาศเงียบสงัด
ซูอี้เหมือนไม่รับรู้สิ่งใด เคลื่อนกายสู่วิหารเซียนดุจเดินทอดน่อง
จนกระทั่งร่างของเขาห่างจากวิหารเซียนร้อยจั้ง ทุกผู้ก็กลั้นหายใจ
เพราะเมื่อครู่ หนึ่งราชันแห่งภูมิในขอบเขตไร้ขีดจำกัดถูกแสงเซียนประหารลงที่นี่
กระทั่งชายชราชุดขาวจากเผ่าภูตหลวนครามยังถูกแสงเซียนซัดกระเด็นไป!
ทว่าเกินคาด เมื่อซูอี้เดินไปถึง กลับไร้ซึ่งอุบัติเหตุใด ๆ
“นี่…”
ทุกผู้ล้วนตะลึงมิอยากเชื่อ
“หรือจิตสังหารรอบวิหารเซียนจะสลายไปแล้ว?”
บางผู้กระซิบ ดวงตาแผดเผารุ่มร้อน
“ลองดูหน่อย”
บางผู้ใช้มีดขว้างเล่มหนึ่งพุ่งไปทางวิหารเซียน
เปรี๊ยะ!
หนึ่งแสงเซียนอุบัติ มีดขว้างแหลกเป็นผง!
ทุกผู้ตะลึงค้าง
จิตสังหารรอบวิหารเซียนมิได้หายไปแท้ ๆ ทว่ากลับมิขวางชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นแต่ต้นจนจบ!
“นี่มันเรื่องอันใดกัน? หรือเขาจะค้นพบเคล็ดลับของวิหารเซียนนั้นจนได้รับการยอมรับเข้าไปโดยสวัสดิภาพ?”
ผู้เฒ่าผู้หนึ่งขมวดคิ้ว
โดยเฉพาะเหล่ายอดฝีมือจากเผ่าภูตหลวนครามซึ่งหน้าง้ำเป็นพิเศษ
ไม่คาดเลยว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเหลือเชื่อเช่นนี้
“นายน้อย หากไม่หยุดเขาไว้ เกรงว่าโอกาสในวิหารเซียนจะถูกคนผู้นั้นชิงไปก่อนนะขอรับ!”
บางผู้กระวนกระวาย
เฟิงอวิ๋นเลี่ยโบกมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ลนลานอันใด ผู้ฝึกตนวิ่งได้ แต่วิหารจะไปไหนเสียได้ ยามที่เขาได้โอกาสเดินออกมาจากวิหารเซียน นั่นแหละยามตายของเขา!”
ทุกผู้ล้วนสะดุ้ง และพลันเงียบเสียงลง
การรอกระต่ายออกจากโพรงเป็นความคิดที่ดี!
ขณะสนทนา ร่างของซูอี้ก็พลิ้วเข้าไปในวิหารเซียน หายเข้าประตูอันปกคลุมด้วยหมอกเซียนไป
เห็นเช่นนี้ ทุกผู้ก็ล้วนคิดริษยาอย่างอดมิได้
พวกเขามาถึงก่อน แต่กลับถูกจิตสังหารของวิหารเซียนหมายหัว ไม่อาจเข้าไปได้
ทว่ายามนี้ คนเพิ่งมากลับเข้าไปในวิหารเซียนได้โดยมิพบอันตรายใด!
เลือกปฏิบัติกันโดยแท้!
ตัวตนอาวุโสบางผู้ยิ่งเคียดแค้น สัมผัสจิตมุ่งร้ายจากวิหารเซียนได้
“นี่ก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะถึงอย่างไร ในที่สุดก็มีผู้เข้าไปในวิหารเซียนได้ เพียงพอจะนำโอกาสแห่งเซียนกลับมาได้แล้ว”
อวี่ฮว่าเซิงพลันออกปาก
ดวงตาทุกคู่วูบไหว
“ผู้อาวุโสกล่าวได้ตรงใจข้าเลย เราควรใช้โอกาสนี้ปรึกษาว่าจะแบ่งโอกาสนี้กันเช่นไรนะ เพื่อมิให้เกิดเหตุผิดใจยามชายหนุ่มผู้นั้นกลับมาพร้อมโอกาส”
อวี่ชิงอันกล่าวยิ้ม ๆ
หัวใจทุกผู้สะท้าน
เฟิงอวิ๋นเลี่ยครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะพยักหน้าตอบเรียบ ๆ “ก็ควรเป็นเช่นนั้น”